สวัสดีครับ
เริ่มแรกกระทู้นี้ผมต้องการจะเล่าเรื่องทริปล่าแสงเหนือที่ประเทศไอซ์แลนด์ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้ ถ่ายรูปไว้เยอะ ตั้งใจมาทำรีวิวอย่างดีเลยครับ แต่คิดไปคิดมาเล่าไปก็อายเค้าเปล่าๆ เพราะไปเหยียบไอซ์แลนด์ถึง 10 วัน ในช่วงที่เค้าทำนายกันว่าน่าจะได้เห็นแสงมากที่สุด แต่ท้องฟ้ากับมืดครึ้ม ฝนตกสลับกับหิมะแทบจะทุกวัน โดยที่ไม่มีแสงลอดออกมาให้เห็นสักกะแอะเดียว เลยตัดสินใจมาทำรีวิวประเทศเกาหลีเหนือแทน เพราะเห็นมีคำว่าเหนือเหมือนกัน คงจะทดแทนกันได้ซะงั้น 55555
ปกติแล้วผมชอบเที่ยวธรรมชาติ อะไรก็ได้ที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ดูท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งพวกปรากฏการณ์ธรรมชาติ อย่างฝนดาวตก อย่างแสงเหนือที่กล่าวมาจะทำให้ผมฟินมากๆ ผมเฉยๆกับความเป็นเมือง มีตึก มีความเจริญ รู้สึกไม่ค่อยอินเท่าไร สำหรับเกาหลีเหนือนั้นผมไม่ได้ไปเที่ยวธรรมชาติที่ผมชอบเลยสักนิด ไม่มีจุดพีค ไม่มีที่ถ่ายรูปสวยๆ ส่วนมากคืออยู่ในเมืองกับจุดสำคัญๆต่าง อาคาร พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ อนุเสาวรีย์ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีและประทับใจได้มากขนาดนี้ เกาหลีเหนือมีอะไรที่ประเทศอื่นไม่มี อาจจะเป็นความลึกลับของบ้านเมืองจากกระแสข่าวที่ออกมา อาจจะเป็นด้วยอานุภาพของท่านผู้นำ หลายๆปัจจัยมารวมกัน ช่ายแล้วครับ ที่เกาหลีเหนือไม่มีแสงเหนือ แต่จะมีอะไรนั้นตามผมมาชมกันเลยครับ
ทริปนี้เริ่มมาจากผมจองโปร 0 บาทของแอร์เอเชียไปเมืองจีนไว้ตั้งแต่ปลายปี 2556 เพื่อที่จะเดินทางไปธิเบตกับเพื่อนอีก 6 คน แต่พอใกล้วันเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ สมาชิกหลายคนกลับติดธุระ ไปได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทริปมันก็เลยล่มน่ะสิครับ คราวนี้ผมเป็นคนที่เสียดาย อะไรที่จองไปแล้ว จ่ายเงินไปแล้ว คิดว่าต้องใช้ให้คุ้ม ถึงจะเป็นโปรตั๋วถูกมากๆก็ตาม เพราะฉะนั้นบอกตัวเองยังไงก็ต้องไป คราวนี้ผมก็เลยลองเปิดแผนที่ประเทศจีนดูว่าจะวางแผนการเดินทางครั้งนี้อย่างไร เฉินตู เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง คุณหมิง ซีอาน มือใช้ปากกาลากไปลากมา แต่ตาดันไปสะดุดกับแผ่นดินของอีกประเทศนึงบนคาบสมุทรเกาหลี ผมเคยได้ยินว่ามีคณะทัวร์ฝรั่งเดินทางจากจีนไปเกาหลีเหนือโดยรถไฟ คุณเคยตัดสินใจอะไรภายในเสี้ยววินาทีมั๊ยครับ ผมใช้เวลาไม่นานหาข้อมูลเพิ่มเติม อีเมลไปถามเรื่องวีซ่า ข้อจำกัดสำหรับชาวไทย เชคเรื่องกฏข้อบังคับที่ทางการเกาหลีเหนือกำหนดมา พอสำรวจแล้วว่าตัวเองผ่านทุกข้อ ไม่เกิน 3 วันผมรีบโอนเงินไปจองหนึ่งที่นั่งสำหรับทัวร์นี้ ซึ่งก็โชคดีมากๆในเรื่องของวันและเวลา เพราะพอดีกับตั๋วไปยังประเทศจีนที่ผมจองไว้ข้ามปี ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว
หลังจากจ่ายเงินมัดจำเรียบร้อย ด้วยความที่ตื่นเต้นบวกกับดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ไปเหยียบแผ่นดินเกาหลีเหนือ จึงโพสสเตตัสบอกความในใจให้เพื่อนๆได้อ่านบนเฟสบุ๊ค บังเอิญน้องที่รักการเดินทางเหมือนกันได้ไปเห็นเข้าและมีแผนกำลังจะไปเกาหลีเหนือพอดี ทริปนี้ผมเลยได้สมาชิกมาอีก 1 คนเป็นเพื่อนร่วมทาง น้องเป็นคนหาดใหญ่ครับ เราเลยนัดพบกันที่ LCCT ของสนามบินกัวลาลัมเปอร์ในวันเดินทาง เพราะผมจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่นั่นอยู่ดี น้องจะได้ไม่ต้องขึ้นมาเจอที่กทม.ให้เสียเวลา
ถึงจะเป็นเพื่อนบนเฟสบุ๊คกันมานาน แต่นี่เป็นการพบกันครั้งแรกครับ น้องเดินทางแบกเป้คนเดียวมาพอสมควร ทำให้ทริปนี้เราค่อนข้างที่จะคุยกันรู้เรื่องและเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เรื่องราวที่พูดคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องเที่ยวเรื่องเดินทาง ซึ่งมันซึมซับเข้าไปอยู่ในทุกอณูของชีวิตและจิตใจของพวกเรามาตั้งนานแล้วครับ ผมและน้องเดินทางมาถึงเมืองเฉินตูประเทศจีนในตอนบ่ายๆ หลังจากนั้นจึงซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศมาลงยังเมืองเสิ่นหยาง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เราเดินออกมาจากสนามบินด้วยอุณหภูมิเลขตัวเดียว ซึ่งยังถือว่าไม่หนักหนาเกินไปสำหรับฤดูหนาวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เราสองคนรีบซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองดานดง ซึ่งเป็นชายแดนมิตรภาพระหว่างประเทศจีนและเกาหลีเหนือ และที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเราในทริปนี้ครับ
ประมาณ 3 ชม. รถทัวร์ส่งผมและน้องลงที่หน้าโรงแรมที่จองไว้ใกล้กับสถานีรถไฟในเมืองดานดง เรารีบโยนกระเป๋าเข้าห้องแล้วเดินออกไปยังริมแม่น้ำยาหลูจุดพรมแดนกั้นกลางของทั้งสองประเทศก่อนที่พระอาทิตย์จะตกอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกครับที่สายตาผมได้สัมผัสกับแผ่นดินของประเทศเกาหลีเหนือ และสะพานที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ เป็นสะพานแห่งประวัติศาสตร์ปัจจุบันเหลือแค่เพียงครึ่งเดียวค่อนมาทางฝั่งจีน เนื่องจากถูกทำลายลงในช่วงสงครามเกาหลี ด้านซ้ายมือของผมคือแผ่นดินประเทศจีน ส่วนด้านขวามือของผมคือแผ่นดินของประเทศเกาหลีเหนือ ฟินมากครับพูดตรงๆ อยากจะมาเห็นมายืนตรงจุดนี้มานานแล้ว ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศสองฝั่งริมแม่น้ำอย่างเต็มที่จนพระอาทิตย์ตกก็เดินกลับโรงแรม วันนี้ภารกิจสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ
สะพานซ้ายคือสะพานที่ใช้งานจริง ส่วนสะพานขวาคือสะพานเก่าที่ถูกทำลายลงในช่วงสงคราม ปัจจุบันเหลือแค่ครึ่งเดียวค่อนมาทางประเทศจีนและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้าชม ราคาค่าเข้า 30 หยวน บริเวณป้ายไฟสีแดงๆคือจุดสิ้นสุดของสะพาน ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำพอดีครับ
หลังจากจ่ายค่าเข้าชมแล้วก็ขึ้นมาถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์ทหารซึ่งตั้งอยู่บริเวณตีนสะพาน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมมีนัดกับคณะทัวร์ตอน 8.00 เพื่อพูดคุยถึงกฏระเบียบต่างๆในช่วงที่ข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ ที่สำคัญคือนัดมารับ Tourist Card และจ่ายเงินค่าทัวร์ในส่วนที่เหลือด้วย รอจนถึงแปดโมงกว่ายังไม่มีวี่แววหัวหน้าทัวร์หรือฝรั่งหัวแดงให้เห็นซักคน ผมกับน้องใจชักไม่ดี กลัวจะโดนหลอก เพราะไม่เคยเจอบริษัทไหนให้จ่ายเงินส่วนที่เหลือในวันเดินทางได้ แถมเป็นต่างประเทศอีกด้วย ไอ้เอเย่นจากประเทศอังกฤษที่รับเงินค่ามัดจำมันชิ่งหนีไปแล้วป่าววะ 55555 กังวลได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มีคนจีนใส่สูทแต่งตัวดี ท่าทางรีบร้อนมากๆ เข้ามาในสถานีรถไฟซึ่งเป็นจุดนัดพบและตระโกนเรียกชื่อเราเบาๆ เฮ้อ โล่งอก นี่ไม่โดนหลอกแล้วใช่มั๊ยเนี่ย
หัวหน้าทัวร์คนจีนรีบพาเราไปพบกับคณะทัวร์ที่เหลืออีก 7 คน มาจากสหราชอาณาจักร 2 คน ไอร์แลนด์ 4 คน โรมาเนีย 1คน รวมผมและน้องจากไทยแลนด์เป็นทั้งหมด 9 คน ผมรีบจ่ายเงินในส่วนที่เหลือให้เรียบร้อยและรับ Tourist Card มาถือไว้ในมือ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นพิธี เพราะทราบว่าไอ้กระดาษใบนี้จะโดนริบคืนตอนขาออกในวันกลับ หลังจากนั้นได้รับแจ้งจากหัวหน้าทัวร์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งพาที่ดีที่สุดในยามนั้นว่า พวกเราทั้ง 9 จะต้องเดินทางไปกันเอง เนื่องจากว่าสมาชิกมีไม่ถึงตามจำนวนที่กำหนด โดยจะมีไกด์ท้องถิ่นมารับที่สถานีรถไฟกรุงเปียงยางเมื่อเดินทางไปถึง
หัวหน้าทัวร์ผู้ซึ่งไม่ได้เดินทางไปกับเรา พาคณะทั้ง 9 คน มาทำเรื่องที่ช่องตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งประทศจีนซึ่งตั้งอยู่ด้านในของสถานีรถไฟดานดง หลังจากนั้นเดินไปส่งเราถึงเตียงที่นอนบนรถไฟ รอไม่นานนักขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างๆช้าๆ ข้ามสะพานมิตรภาพจีน-เกาหลีเหนือ มีวิวทางด้านขวามือเป็นสะพานชำรุดหรือที่เรียกว่า Broken bridge ที่ผมได้มาเยี่ยมชมไปเมื่อวาน
ไม่ถึง 10 นาทีรถไฟก็เทียบท่าเข้าชานชาลาฝั่งเกาหลีเหนือ ดูพวกเราทั้ง 9 คนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนับเป็นครั้งแรกของทุกคนกับการมาที่นี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวผู้ชายชาวโรมาเนีย ที่ดูจะดีใจกว่าทุกคนในคณะ เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศสุดท้ายในทวีปเอเชียที่ยังขาดอยู่ของเค้า ดีใจด้วยจริงๆครับ
ภาพนี้คือสาวๆชาวเกาหลีเหนือที่มาทำงานยังประเทศจีน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปต่อวีซ่าในการออกนอกประเทศเดือนละครั้งครับ
ภาพขบวนรถไฟของเราในวันนี้
ผู้โดยสารทุกคนต้อง กรอกใบตม. ใบศุลกากร สารพัด ซึ่งบางอย่างพอจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่บ้าง ก็มั่วๆกันไป พอรถไฟจอดสนิท ที่ฝั่งเกาหลีเหนือหรือเมืองซินจูนี้เราไม่ต้องลงจากรถ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเอกสารคือใบ Tourist Card ตรวจหนังสือเดินทาง และตรวจกระเป๋าทุกใบ ก่อนเดินทางมาครั้งนี้ผมได้รับเอกสารแจ้งเตือนจากทางบริษัทว่าอะไรที่ห้ามเอาเข้า อะไรที่ควรระวังเป็นพิเศษในการจัดกระเป๋า จึงทำการบ้านและปฎิบัติตามมาดีพอสมควร
เจ้าหน้าที่เริ่มเรียกผู้โดยสารเข้ามาตรวจทีละคน นั่งตรวจกันบนเตียงนอนนี่แหละครับ โดยให้ท่านอื่นออกไปยืนรอบริเวณทางเดินในตู้รถไฟ แออัดกันน่าดู ผมโดนถามนี่นั่นโน่น พอประมาณให้ทราบที่มาที่ไปของทริปนี้ พร้อมทั้งให้ผมเปิดกล้องเปิดโทรศัพท์มือถือให้ดู ทุกชิ้นผ่านไปด้วยดี แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะยังไม่ค่อยชินกับ GoPro เท่าไหร่ เนื่องจากดูแล้วดูอีก พลิกไปพลิกมา กลัวจะเป็นกล้องสอดแนมมั้งครับ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าสะพายของผมซึ่งในนั้นมีไอพอดไว้ฟังเพลง กระเป๋าสตางค์ และของใช้เล็กๆน้อยๆส่วนตัว เกือบจะรอดแล้วเชียว เจ้าหน้าที่ดันไปเจอซองกระดาษใส่เงิน ที่ตีพิมพ์เป็นรูปธนบัตรของเกาหลีใต้ และมีพิมพ์ภาษาเกาหลีอย่างชัดเจนอยู่บนซอง ผมได้มาจากร้านแลกเงินชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพ คิดในใจซวยแล้วผมไม่น่าพลาดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าหน้าที่เริ่มโวยวายเสียงดัง หยิบมันขึ้นมาถือแล้วบอกผมว่า No No No No ให้ผมเอาเงินออกให้หมดแล้วยึดซองนั้นไป แถมยังเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นมาดูไอ้ซองเจ้าปัญหานี้อีกด้วย ดีนะที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นต่อ ผมชักหวั่นๆ
ตอนแรกได้ยินมาจากชาวต่างชาติว่าเดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดเท่าไหร่ แต่กลับกันพอมาถึงทุกคนโดนตรวจอย่างโหด ซึ่งคิวต่อไปเป็นของน้องที่มาด้วยกับผม เช่นกันครับ ให้เปิดกระเป๋าทุกใบ ตรวจกล้อง ตรวจโทรศัพท์มือถือ ตรวจไอแพด ตรวจคอมพิวเตอร์แลปท๊อป คนตรวจอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตาสีตาสา แต่เป็นคนมีความรู้ด้านไอทีเป็นอย่างดี เลื่อนขึ้นเลื่อนลง คลิ๊กลิงค์นั้นไฟลท์นี้อย่างคล่องแคล่วว่องไวอย่างผู้ชำนาญ จากกรณีดังกล่าวทำให้น้องโดนยึดแลปท๊อปไว้โดยให้มารับขากลับ เพราะเจ้าหน้าที่ดันไปเจอไฟล์คลิ๊ปอนาจารที่ลบแล้วแต่ไม่หมด เหลือค้างไว้ในเครื่อง น้องเองก็ยังงงว่าไปค้นเจอได้อย่างไร 5555 งานนี้นอกจากโดนยึดแล้วยังโดนปรับด้วยครับ น้องจ่ายไปทั้งหมดประมาณ 1200 บาท
กว่าจะตรวจครบทุกคนบนรถไฟ เวลาก็ผ่านไปนานกว่า 2 ชม. จึงได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง และนี่คือวิวที่พบได้ข้างทางระหว่างเมืองซินจู มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงกรุงเปียงยางครับ 5 ชั่วโมงบนรถไฟผมพยายามที่จะไม่หลับ ถึงจะมีงีบไปบ้าง 10-15 นาที แต่ก็พยายามตื่นตัวนั่งมองวิวไปเรื่อยๆบ้าง ชวนเพื่อนต่างชาติคุยบ้าง เอาข้าวกล่องที่ห่อมาจากฝั่งเมืองจีนและเสบียงขึ้นมากินบ้าง เพราะรู้สึกว่าเวลาของผมที่มีอยู่เพียงจำกัดในประเทศนี้เป็นสิ่งมีค่า ทุกนาทีต้องใช้ให้คุ้ม ถึงแม้ว่าสิ่งที่เห็นจากสองข้างทางจะเริ่มเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างกันมาก คือเป็นทุ่งนา มีการทำเกษตรกรรม มีชาวบ้าน มีวัว มีรถเกวียน แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีครับได้เห็นถึงวิถีชิวิตของคนเกาหลีเหนือในต่างจังหวัด และนี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากมาที่นี่โดยเครื่องบิน
[CR] ไม่มีแสงเหนือที่เกาหลีเหนือ
สวัสดีครับ
เริ่มแรกกระทู้นี้ผมต้องการจะเล่าเรื่องทริปล่าแสงเหนือที่ประเทศไอซ์แลนด์ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้ ถ่ายรูปไว้เยอะ ตั้งใจมาทำรีวิวอย่างดีเลยครับ แต่คิดไปคิดมาเล่าไปก็อายเค้าเปล่าๆ เพราะไปเหยียบไอซ์แลนด์ถึง 10 วัน ในช่วงที่เค้าทำนายกันว่าน่าจะได้เห็นแสงมากที่สุด แต่ท้องฟ้ากับมืดครึ้ม ฝนตกสลับกับหิมะแทบจะทุกวัน โดยที่ไม่มีแสงลอดออกมาให้เห็นสักกะแอะเดียว เลยตัดสินใจมาทำรีวิวประเทศเกาหลีเหนือแทน เพราะเห็นมีคำว่าเหนือเหมือนกัน คงจะทดแทนกันได้ซะงั้น 55555
ปกติแล้วผมชอบเที่ยวธรรมชาติ อะไรก็ได้ที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ดูท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งพวกปรากฏการณ์ธรรมชาติ อย่างฝนดาวตก อย่างแสงเหนือที่กล่าวมาจะทำให้ผมฟินมากๆ ผมเฉยๆกับความเป็นเมือง มีตึก มีความเจริญ รู้สึกไม่ค่อยอินเท่าไร สำหรับเกาหลีเหนือนั้นผมไม่ได้ไปเที่ยวธรรมชาติที่ผมชอบเลยสักนิด ไม่มีจุดพีค ไม่มีที่ถ่ายรูปสวยๆ ส่วนมากคืออยู่ในเมืองกับจุดสำคัญๆต่าง อาคาร พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ อนุเสาวรีย์ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีและประทับใจได้มากขนาดนี้ เกาหลีเหนือมีอะไรที่ประเทศอื่นไม่มี อาจจะเป็นความลึกลับของบ้านเมืองจากกระแสข่าวที่ออกมา อาจจะเป็นด้วยอานุภาพของท่านผู้นำ หลายๆปัจจัยมารวมกัน ช่ายแล้วครับ ที่เกาหลีเหนือไม่มีแสงเหนือ แต่จะมีอะไรนั้นตามผมมาชมกันเลยครับ
ทริปนี้เริ่มมาจากผมจองโปร 0 บาทของแอร์เอเชียไปเมืองจีนไว้ตั้งแต่ปลายปี 2556 เพื่อที่จะเดินทางไปธิเบตกับเพื่อนอีก 6 คน แต่พอใกล้วันเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ สมาชิกหลายคนกลับติดธุระ ไปได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทริปมันก็เลยล่มน่ะสิครับ คราวนี้ผมเป็นคนที่เสียดาย อะไรที่จองไปแล้ว จ่ายเงินไปแล้ว คิดว่าต้องใช้ให้คุ้ม ถึงจะเป็นโปรตั๋วถูกมากๆก็ตาม เพราะฉะนั้นบอกตัวเองยังไงก็ต้องไป คราวนี้ผมก็เลยลองเปิดแผนที่ประเทศจีนดูว่าจะวางแผนการเดินทางครั้งนี้อย่างไร เฉินตู เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง คุณหมิง ซีอาน มือใช้ปากกาลากไปลากมา แต่ตาดันไปสะดุดกับแผ่นดินของอีกประเทศนึงบนคาบสมุทรเกาหลี ผมเคยได้ยินว่ามีคณะทัวร์ฝรั่งเดินทางจากจีนไปเกาหลีเหนือโดยรถไฟ คุณเคยตัดสินใจอะไรภายในเสี้ยววินาทีมั๊ยครับ ผมใช้เวลาไม่นานหาข้อมูลเพิ่มเติม อีเมลไปถามเรื่องวีซ่า ข้อจำกัดสำหรับชาวไทย เชคเรื่องกฏข้อบังคับที่ทางการเกาหลีเหนือกำหนดมา พอสำรวจแล้วว่าตัวเองผ่านทุกข้อ ไม่เกิน 3 วันผมรีบโอนเงินไปจองหนึ่งที่นั่งสำหรับทัวร์นี้ ซึ่งก็โชคดีมากๆในเรื่องของวันและเวลา เพราะพอดีกับตั๋วไปยังประเทศจีนที่ผมจองไว้ข้ามปี ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว
หลังจากจ่ายเงินมัดจำเรียบร้อย ด้วยความที่ตื่นเต้นบวกกับดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ไปเหยียบแผ่นดินเกาหลีเหนือ จึงโพสสเตตัสบอกความในใจให้เพื่อนๆได้อ่านบนเฟสบุ๊ค บังเอิญน้องที่รักการเดินทางเหมือนกันได้ไปเห็นเข้าและมีแผนกำลังจะไปเกาหลีเหนือพอดี ทริปนี้ผมเลยได้สมาชิกมาอีก 1 คนเป็นเพื่อนร่วมทาง น้องเป็นคนหาดใหญ่ครับ เราเลยนัดพบกันที่ LCCT ของสนามบินกัวลาลัมเปอร์ในวันเดินทาง เพราะผมจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่นั่นอยู่ดี น้องจะได้ไม่ต้องขึ้นมาเจอที่กทม.ให้เสียเวลา
ถึงจะเป็นเพื่อนบนเฟสบุ๊คกันมานาน แต่นี่เป็นการพบกันครั้งแรกครับ น้องเดินทางแบกเป้คนเดียวมาพอสมควร ทำให้ทริปนี้เราค่อนข้างที่จะคุยกันรู้เรื่องและเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เรื่องราวที่พูดคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องเที่ยวเรื่องเดินทาง ซึ่งมันซึมซับเข้าไปอยู่ในทุกอณูของชีวิตและจิตใจของพวกเรามาตั้งนานแล้วครับ ผมและน้องเดินทางมาถึงเมืองเฉินตูประเทศจีนในตอนบ่ายๆ หลังจากนั้นจึงซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศมาลงยังเมืองเสิ่นหยาง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เราเดินออกมาจากสนามบินด้วยอุณหภูมิเลขตัวเดียว ซึ่งยังถือว่าไม่หนักหนาเกินไปสำหรับฤดูหนาวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เราสองคนรีบซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองดานดง ซึ่งเป็นชายแดนมิตรภาพระหว่างประเทศจีนและเกาหลีเหนือ และที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเราในทริปนี้ครับ
ประมาณ 3 ชม. รถทัวร์ส่งผมและน้องลงที่หน้าโรงแรมที่จองไว้ใกล้กับสถานีรถไฟในเมืองดานดง เรารีบโยนกระเป๋าเข้าห้องแล้วเดินออกไปยังริมแม่น้ำยาหลูจุดพรมแดนกั้นกลางของทั้งสองประเทศก่อนที่พระอาทิตย์จะตกอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกครับที่สายตาผมได้สัมผัสกับแผ่นดินของประเทศเกาหลีเหนือ และสะพานที่ผมกำลังยืนอยู่นี้ เป็นสะพานแห่งประวัติศาสตร์ปัจจุบันเหลือแค่เพียงครึ่งเดียวค่อนมาทางฝั่งจีน เนื่องจากถูกทำลายลงในช่วงสงครามเกาหลี ด้านซ้ายมือของผมคือแผ่นดินประเทศจีน ส่วนด้านขวามือของผมคือแผ่นดินของประเทศเกาหลีเหนือ ฟินมากครับพูดตรงๆ อยากจะมาเห็นมายืนตรงจุดนี้มานานแล้ว ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศสองฝั่งริมแม่น้ำอย่างเต็มที่จนพระอาทิตย์ตกก็เดินกลับโรงแรม วันนี้ภารกิจสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ
สะพานซ้ายคือสะพานที่ใช้งานจริง ส่วนสะพานขวาคือสะพานเก่าที่ถูกทำลายลงในช่วงสงคราม ปัจจุบันเหลือแค่ครึ่งเดียวค่อนมาทางประเทศจีนและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้าชม ราคาค่าเข้า 30 หยวน บริเวณป้ายไฟสีแดงๆคือจุดสิ้นสุดของสะพาน ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำพอดีครับ
หลังจากจ่ายค่าเข้าชมแล้วก็ขึ้นมาถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์ทหารซึ่งตั้งอยู่บริเวณตีนสะพาน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมมีนัดกับคณะทัวร์ตอน 8.00 เพื่อพูดคุยถึงกฏระเบียบต่างๆในช่วงที่ข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ ที่สำคัญคือนัดมารับ Tourist Card และจ่ายเงินค่าทัวร์ในส่วนที่เหลือด้วย รอจนถึงแปดโมงกว่ายังไม่มีวี่แววหัวหน้าทัวร์หรือฝรั่งหัวแดงให้เห็นซักคน ผมกับน้องใจชักไม่ดี กลัวจะโดนหลอก เพราะไม่เคยเจอบริษัทไหนให้จ่ายเงินส่วนที่เหลือในวันเดินทางได้ แถมเป็นต่างประเทศอีกด้วย ไอ้เอเย่นจากประเทศอังกฤษที่รับเงินค่ามัดจำมันชิ่งหนีไปแล้วป่าววะ 55555 กังวลได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มีคนจีนใส่สูทแต่งตัวดี ท่าทางรีบร้อนมากๆ เข้ามาในสถานีรถไฟซึ่งเป็นจุดนัดพบและตระโกนเรียกชื่อเราเบาๆ เฮ้อ โล่งอก นี่ไม่โดนหลอกแล้วใช่มั๊ยเนี่ย
หัวหน้าทัวร์คนจีนรีบพาเราไปพบกับคณะทัวร์ที่เหลืออีก 7 คน มาจากสหราชอาณาจักร 2 คน ไอร์แลนด์ 4 คน โรมาเนีย 1คน รวมผมและน้องจากไทยแลนด์เป็นทั้งหมด 9 คน ผมรีบจ่ายเงินในส่วนที่เหลือให้เรียบร้อยและรับ Tourist Card มาถือไว้ในมือ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นพิธี เพราะทราบว่าไอ้กระดาษใบนี้จะโดนริบคืนตอนขาออกในวันกลับ หลังจากนั้นได้รับแจ้งจากหัวหน้าทัวร์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งพาที่ดีที่สุดในยามนั้นว่า พวกเราทั้ง 9 จะต้องเดินทางไปกันเอง เนื่องจากว่าสมาชิกมีไม่ถึงตามจำนวนที่กำหนด โดยจะมีไกด์ท้องถิ่นมารับที่สถานีรถไฟกรุงเปียงยางเมื่อเดินทางไปถึง
หัวหน้าทัวร์ผู้ซึ่งไม่ได้เดินทางไปกับเรา พาคณะทั้ง 9 คน มาทำเรื่องที่ช่องตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งประทศจีนซึ่งตั้งอยู่ด้านในของสถานีรถไฟดานดง หลังจากนั้นเดินไปส่งเราถึงเตียงที่นอนบนรถไฟ รอไม่นานนักขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างๆช้าๆ ข้ามสะพานมิตรภาพจีน-เกาหลีเหนือ มีวิวทางด้านขวามือเป็นสะพานชำรุดหรือที่เรียกว่า Broken bridge ที่ผมได้มาเยี่ยมชมไปเมื่อวาน
ไม่ถึง 10 นาทีรถไฟก็เทียบท่าเข้าชานชาลาฝั่งเกาหลีเหนือ ดูพวกเราทั้ง 9 คนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนับเป็นครั้งแรกของทุกคนกับการมาที่นี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวผู้ชายชาวโรมาเนีย ที่ดูจะดีใจกว่าทุกคนในคณะ เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศสุดท้ายในทวีปเอเชียที่ยังขาดอยู่ของเค้า ดีใจด้วยจริงๆครับ
ภาพนี้คือสาวๆชาวเกาหลีเหนือที่มาทำงานยังประเทศจีน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปต่อวีซ่าในการออกนอกประเทศเดือนละครั้งครับ
ภาพขบวนรถไฟของเราในวันนี้
ผู้โดยสารทุกคนต้อง กรอกใบตม. ใบศุลกากร สารพัด ซึ่งบางอย่างพอจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่บ้าง ก็มั่วๆกันไป พอรถไฟจอดสนิท ที่ฝั่งเกาหลีเหนือหรือเมืองซินจูนี้เราไม่ต้องลงจากรถ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจเอกสารคือใบ Tourist Card ตรวจหนังสือเดินทาง และตรวจกระเป๋าทุกใบ ก่อนเดินทางมาครั้งนี้ผมได้รับเอกสารแจ้งเตือนจากทางบริษัทว่าอะไรที่ห้ามเอาเข้า อะไรที่ควรระวังเป็นพิเศษในการจัดกระเป๋า จึงทำการบ้านและปฎิบัติตามมาดีพอสมควร
เจ้าหน้าที่เริ่มเรียกผู้โดยสารเข้ามาตรวจทีละคน นั่งตรวจกันบนเตียงนอนนี่แหละครับ โดยให้ท่านอื่นออกไปยืนรอบริเวณทางเดินในตู้รถไฟ แออัดกันน่าดู ผมโดนถามนี่นั่นโน่น พอประมาณให้ทราบที่มาที่ไปของทริปนี้ พร้อมทั้งให้ผมเปิดกล้องเปิดโทรศัพท์มือถือให้ดู ทุกชิ้นผ่านไปด้วยดี แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะยังไม่ค่อยชินกับ GoPro เท่าไหร่ เนื่องจากดูแล้วดูอีก พลิกไปพลิกมา กลัวจะเป็นกล้องสอดแนมมั้งครับ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าสะพายของผมซึ่งในนั้นมีไอพอดไว้ฟังเพลง กระเป๋าสตางค์ และของใช้เล็กๆน้อยๆส่วนตัว เกือบจะรอดแล้วเชียว เจ้าหน้าที่ดันไปเจอซองกระดาษใส่เงิน ที่ตีพิมพ์เป็นรูปธนบัตรของเกาหลีใต้ และมีพิมพ์ภาษาเกาหลีอย่างชัดเจนอยู่บนซอง ผมได้มาจากร้านแลกเงินชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพ คิดในใจซวยแล้วผมไม่น่าพลาดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าหน้าที่เริ่มโวยวายเสียงดัง หยิบมันขึ้นมาถือแล้วบอกผมว่า No No No No ให้ผมเอาเงินออกให้หมดแล้วยึดซองนั้นไป แถมยังเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นมาดูไอ้ซองเจ้าปัญหานี้อีกด้วย ดีนะที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นต่อ ผมชักหวั่นๆ
ตอนแรกได้ยินมาจากชาวต่างชาติว่าเดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดเท่าไหร่ แต่กลับกันพอมาถึงทุกคนโดนตรวจอย่างโหด ซึ่งคิวต่อไปเป็นของน้องที่มาด้วยกับผม เช่นกันครับ ให้เปิดกระเป๋าทุกใบ ตรวจกล้อง ตรวจโทรศัพท์มือถือ ตรวจไอแพด ตรวจคอมพิวเตอร์แลปท๊อป คนตรวจอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตาสีตาสา แต่เป็นคนมีความรู้ด้านไอทีเป็นอย่างดี เลื่อนขึ้นเลื่อนลง คลิ๊กลิงค์นั้นไฟลท์นี้อย่างคล่องแคล่วว่องไวอย่างผู้ชำนาญ จากกรณีดังกล่าวทำให้น้องโดนยึดแลปท๊อปไว้โดยให้มารับขากลับ เพราะเจ้าหน้าที่ดันไปเจอไฟล์คลิ๊ปอนาจารที่ลบแล้วแต่ไม่หมด เหลือค้างไว้ในเครื่อง น้องเองก็ยังงงว่าไปค้นเจอได้อย่างไร 5555 งานนี้นอกจากโดนยึดแล้วยังโดนปรับด้วยครับ น้องจ่ายไปทั้งหมดประมาณ 1200 บาท
กว่าจะตรวจครบทุกคนบนรถไฟ เวลาก็ผ่านไปนานกว่า 2 ชม. จึงได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง และนี่คือวิวที่พบได้ข้างทางระหว่างเมืองซินจู มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงกรุงเปียงยางครับ 5 ชั่วโมงบนรถไฟผมพยายามที่จะไม่หลับ ถึงจะมีงีบไปบ้าง 10-15 นาที แต่ก็พยายามตื่นตัวนั่งมองวิวไปเรื่อยๆบ้าง ชวนเพื่อนต่างชาติคุยบ้าง เอาข้าวกล่องที่ห่อมาจากฝั่งเมืองจีนและเสบียงขึ้นมากินบ้าง เพราะรู้สึกว่าเวลาของผมที่มีอยู่เพียงจำกัดในประเทศนี้เป็นสิ่งมีค่า ทุกนาทีต้องใช้ให้คุ้ม ถึงแม้ว่าสิ่งที่เห็นจากสองข้างทางจะเริ่มเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างกันมาก คือเป็นทุ่งนา มีการทำเกษตรกรรม มีชาวบ้าน มีวัว มีรถเกวียน แต่มันก็ทำให้รู้สึกดีครับได้เห็นถึงวิถีชิวิตของคนเกาหลีเหนือในต่างจังหวัด และนี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากมาที่นี่โดยเครื่องบิน