“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน
ตอนที่ 4 ยอคยาการ์ตา(ต่อ)
เราขี่รถไปเรื่อยๆ จนถึงทางแยกใหญ่ที่เลี้ยวซ้ายไป Solo ไปเที่ยวชม Prambanan (Complex Candi Prambanan) ระหว่างทางเจอมัสยิดสวยมาก เหมือนจำลองมาจากเซนต์บาซิล และโบสถ์หยดเลือดในรัสเซีย ชื่อ Masjid An Nurumi ตรงไปจนถึงพรามบานันที่อยู่มุมถนนด้านซ้ายของแยกใหญ่ ด้านขวาเป็นมัสยิดสวยมาก ชื่อ Masjid Raya Muttaquu จำลองแบบจาก Disney Land เลี้ยวซ้ายไปที่จอดรถมอเตอร์ไซด์ มีค่าฝากรถ 3,000 รูเปีย จ่ายค่าเข้าชมคนละ 272,000 รูเปีย ให้เลือกดื่มชา กาแฟ หรือน้ำเปล่า ก่อนเข้าไป เราดื่มน้ำเปล่าและกรอกใส่ขวดของเราคนละ 1 ขวด ส่วนคนอินโดมีทางเข้าต่างหาก จ่ายคนละ 30,000 รูเปีย
พรามบานัน เป็น ฮินดูสถานในเมืองโซโล เป็นสิ่งก่อสร้างรูปปรางค์ใหญ่โตมาก นอกจากปรางค์องค์ใหญ่ที่สุดที่บูชาพระศิวะ แล้ว มีปรางค์รองลงมาเพื่อบูชาพระวิษณุและพระพรหม รายล้อมด้วยศาลเจ้าเล็กๆ อีก 224 ศาล ตอนนี้เหลือแต่ซากที่เป็นร่องรอยว่าไม่ได้เล็กอย่างที่บอก สร้างราวๆ ปี ค.ศ. 900 เศษ ตอนเดินออกจากพรามบานันฝนตก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงใส่เสื้อกันฝนลุยฝนออกไป เสื้อกันฝนของลุงขาดเกือบหมดตัว วิ่งไปตามแผนที่ ที่คนให้เช่ามอเตอร์ไซด์วาดให้ บอกว่า ขากลับถ้าเจออนุสาวรีย์ตูกู ให้เลี้ยวซ้าย
ป้าคิดว่า ตูกู เป็นคนที่มีความสำคัญต่อการประกาศอิสรภาพ พอเห็นเป็นคนยืน 2 คน ไม่คิดว่าใช่ จึงเลยไปกว่า 8 กม. จอดถามหนุ่มสาวคู่หนึ่งบอกว่าต้องย้อนกลับไป เพิ่งรู้ว่า อนุสาวรีย์ตูกูมีคน 2 คน เป็นสัญลักษณ์แทนการต่อสู้ ที่เน้นชาติ คือ ประชาชน ลืมนึกถึงทางแยกที่จะเลี้ยวซ้ายไปบุโรพุทโธ ก็มีคนยืน 2 คน กว่าจะหาทางกลับได้ก็หลงไปอีกสถานีหนึ่ง จอดถามหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้เรื่อง จึงลองคลำทางเอง ในที่สุดก็ทะลุไปทางที่เราวิ่งตอนเช้า
เอารถกลับไปคืน แล้วก็ไปที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งอยู่ที่ถนนคนเดิน ด้านหนึ่งเป็นร้านค้า อีกด้านหนึ่งเป็นฟุตบาทกว้าง มีต้นไม้ให้ร่มเงาสำหรับผู้คนเดินจับจ่าย ซื้อของ มีกำแพงปูนยาวตลอดแนวบริเวณที่ให้คนเดินแลแผงขายสินค้า ตรงป้ายรถเมล์มีที่ขายตั๋วมีทางเข้าทางออก เวลารถเข้าเทียบป้ายต้องจอดชิดป้าย ให้ประตูรถตรงกับประตูป้ายเพราะรถสูงมาก เหมือนต้องการให้พ้นน้ำช่วงน้ำท่วม ค่าตั๋วคนละ 3,600 รูเปีย เขาบอกว่ามี 2 สายที่ไปสถานีขนส่ง คือสาย 1 กับ สาย 3 แต่เราไปถึงหลัง 6 โมงเย็นใกล้ค่ำแล้ว จึงได้ไปสาย 3A คนแน่นตลอดเพราะประชากรอินโดเป็น 4 เท่าของไทย
ตอนที่ยืนโหนรถเมล์อากาศร้อนมาก ผู้โดยสารแต่ละคนเต็มไปด้วยเหงื่อ รวมทั้งเราด้วย ป้ามีความรู้สึกว่าอากาศไม่พอหายใจ รถเมล์คันเล็ก คนแน่น เป็นระบบปิดกระจก ปรับอากาศแต่อากาศไม่พอกับจำนวนคนที่แน่น จนอึดอัด โชคดีที่เราได้นั่งไปมากกว่าครึ่งทาง รถไปส่งที่สถานีขนส่ง ซึ่งอยู่นอกเมือง เดินทางเป็นชั่วโมงจึงถึง มองไปมีแต่ความมืด สว่างเป็นจุดๆ ตรงป้ายรถเมล์ มีร้านค้า มีคนรอรถอยู่หลายคน แต่ดูเหมือนไม่ใช่สถานีขนส่งเอาเสียเลย เรารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนกับผู้โดยสารหน้าใหม่คนอื่นๆ พอดีมีคนวิ่งมาถาม เหมือนกำลังหาผู้โดยสาร เราจึงบอกว่าเราจะไปสุระบายา เขาชี้ให้ไปซื้อตั๋วข้างหน้า
เราคิดว่าจะต้องขึ้นบันไดไป เราจึงเดินตามหนุ่มสาวที่ลงรถเมล์พร้อมเราแล้วขึ้นไปก่อน แต่เสียงเรียกตามมาว่าไม่ใช่ ให้ลงไปอีกด้านหนึ่ง พอเดินไป เห็นมีตู้มืดๆ แต่มีคนนั่งอยู่ ป้าจึงพูดว่า สุระบายา เขาบอกว่า สุระบายา คนละ 500 ป้างงอีก ทำไมถูกจัง แต่เขาบอกว่า 2 คน 1,000 แล้วก็ฉีกตั๋วให้ ป้าถามหารถ เขาชี้ไปที่รถกำลังจอดอยู่ พอเราเดินไปถึง มีคนรอรับอยู่ บอกให้ขึ้น ป้าทวนอีกที เขาบอกว่าใช่
ข้างบนมีผู้โดยสารอยู่เกือบเต็มเราต้องแยกกันนั่ง ป้าได้นั่งกับชายหนุ่ม ดูท่าทางเป็นคนมีความรู้ จึงถามเขาว่า จากตรงนั้นไปสุระบายาใช้เวลาเท่าไร เขาบอกว่า 7 ชม. ป้าจึงถามเรื่องค่าโดยสาร เขาบอกว่า 500 เป็นค่าขึ้นรถ ส่วนค่าโดยสารต่างหากอีก 100,000 อาจมีค่าอาหารเพิ่มด้วย เขาเดินทางประจำเพราะภรรยาอยู่ย้อกยา แต่เขาทำงานที่สุระบายา พอเขารู้ว่าป้าไปกับลุงเขารีบบอกว่าเขาจะย้ายที่นั่งเพื่อให้ลุงกับป้านั่งด้วยกัน
ตอนเขามาเก็บเงินมีตั๋วรถพร้อมคูปองอาหารด้วย ชายหนุ่มที่มากับภรรยา และลูกสาว พูดภาษาอังกฤษได้ เขานั่งอีกด้านหนึ่งของทางเดินบนรถ เขาบอกเราว่า รถจะไปพักให้รับประทานอาหารที่นาวี่ ให้จดเบอร์รถไปเพราะเราอาจจะหารถไม่เจอตอนที่จะกลับขึ้นรถ เพราะรถเยอะและคนจอแจ ตอนแรกป้าก็สงสัยว่าทำไมเขาต้องรีบบอก ทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ใกล้กัน พอรถจอดให้ลงจึงรู้ว่าเขาลงรถไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะเราหลับตลอดทาง ตื่นเฉพาะตอนเปิดไฟที่ผู้โดยสารขึ้นมาหาที่นั่ง
พอลงรถไปเข้าห้องน้ำมีห้องอาบน้ำเต็มไปหมด ถ้าเรารู้ เราคงเตรียมตัวไปอาบน้ำ แทนการกินอาหาร ออกจากห้องน้ำ เดินเข้าไปในห้องอาหาร แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้อาหาร ยืนเก้ๆกังๆ จนสาวเสิร์ฟมาถามก็ยังสื่อภาษาไม่เข้าใจ เธอจึงเรียกให้หนุ่มมาช่วย เขาบอกให้ติ๊กรายการ เราไม่รู้เลยว่าอะไรบ้าง พอดีเขาเอาของร้อนควันฉุยมาเสิร์ฟสาวที่นั่งอยู่ ป้าจึงชี้บอกว่าเอาแบบนั้นมา 2 ที่ใช้ภาษาใบ้ มันคือ ข้าวต้มไก่ใส่กะทิ รสชาติไม่เลวทีเดียว มีน้ำชาแก้วใหญ่พ่วงมาด้วย ชาร้อนแต่หวาน กินแบบรีบๆ เพราะคนอื่นไม่ได้เสียเวลาแบบเรา
[CR][SR] “ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน ตอนที่ 4 ยอร์คยาการ์ตา พรัมบานัน อินโดนีเซีย
ตอนที่ 4 ยอคยาการ์ตา(ต่อ)
เราขี่รถไปเรื่อยๆ จนถึงทางแยกใหญ่ที่เลี้ยวซ้ายไป Solo ไปเที่ยวชม Prambanan (Complex Candi Prambanan) ระหว่างทางเจอมัสยิดสวยมาก เหมือนจำลองมาจากเซนต์บาซิล และโบสถ์หยดเลือดในรัสเซีย ชื่อ Masjid An Nurumi ตรงไปจนถึงพรามบานันที่อยู่มุมถนนด้านซ้ายของแยกใหญ่ ด้านขวาเป็นมัสยิดสวยมาก ชื่อ Masjid Raya Muttaquu จำลองแบบจาก Disney Land เลี้ยวซ้ายไปที่จอดรถมอเตอร์ไซด์ มีค่าฝากรถ 3,000 รูเปีย จ่ายค่าเข้าชมคนละ 272,000 รูเปีย ให้เลือกดื่มชา กาแฟ หรือน้ำเปล่า ก่อนเข้าไป เราดื่มน้ำเปล่าและกรอกใส่ขวดของเราคนละ 1 ขวด ส่วนคนอินโดมีทางเข้าต่างหาก จ่ายคนละ 30,000 รูเปีย
พรามบานัน เป็น ฮินดูสถานในเมืองโซโล เป็นสิ่งก่อสร้างรูปปรางค์ใหญ่โตมาก นอกจากปรางค์องค์ใหญ่ที่สุดที่บูชาพระศิวะ แล้ว มีปรางค์รองลงมาเพื่อบูชาพระวิษณุและพระพรหม รายล้อมด้วยศาลเจ้าเล็กๆ อีก 224 ศาล ตอนนี้เหลือแต่ซากที่เป็นร่องรอยว่าไม่ได้เล็กอย่างที่บอก สร้างราวๆ ปี ค.ศ. 900 เศษ ตอนเดินออกจากพรามบานันฝนตก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงใส่เสื้อกันฝนลุยฝนออกไป เสื้อกันฝนของลุงขาดเกือบหมดตัว วิ่งไปตามแผนที่ ที่คนให้เช่ามอเตอร์ไซด์วาดให้ บอกว่า ขากลับถ้าเจออนุสาวรีย์ตูกู ให้เลี้ยวซ้าย
ป้าคิดว่า ตูกู เป็นคนที่มีความสำคัญต่อการประกาศอิสรภาพ พอเห็นเป็นคนยืน 2 คน ไม่คิดว่าใช่ จึงเลยไปกว่า 8 กม. จอดถามหนุ่มสาวคู่หนึ่งบอกว่าต้องย้อนกลับไป เพิ่งรู้ว่า อนุสาวรีย์ตูกูมีคน 2 คน เป็นสัญลักษณ์แทนการต่อสู้ ที่เน้นชาติ คือ ประชาชน ลืมนึกถึงทางแยกที่จะเลี้ยวซ้ายไปบุโรพุทโธ ก็มีคนยืน 2 คน กว่าจะหาทางกลับได้ก็หลงไปอีกสถานีหนึ่ง จอดถามหนุ่มคนหนึ่ง ก็ไม่ได้เรื่อง จึงลองคลำทางเอง ในที่สุดก็ทะลุไปทางที่เราวิ่งตอนเช้า
เอารถกลับไปคืน แล้วก็ไปที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งอยู่ที่ถนนคนเดิน ด้านหนึ่งเป็นร้านค้า อีกด้านหนึ่งเป็นฟุตบาทกว้าง มีต้นไม้ให้ร่มเงาสำหรับผู้คนเดินจับจ่าย ซื้อของ มีกำแพงปูนยาวตลอดแนวบริเวณที่ให้คนเดินแลแผงขายสินค้า ตรงป้ายรถเมล์มีที่ขายตั๋วมีทางเข้าทางออก เวลารถเข้าเทียบป้ายต้องจอดชิดป้าย ให้ประตูรถตรงกับประตูป้ายเพราะรถสูงมาก เหมือนต้องการให้พ้นน้ำช่วงน้ำท่วม ค่าตั๋วคนละ 3,600 รูเปีย เขาบอกว่ามี 2 สายที่ไปสถานีขนส่ง คือสาย 1 กับ สาย 3 แต่เราไปถึงหลัง 6 โมงเย็นใกล้ค่ำแล้ว จึงได้ไปสาย 3A คนแน่นตลอดเพราะประชากรอินโดเป็น 4 เท่าของไทย
ตอนที่ยืนโหนรถเมล์อากาศร้อนมาก ผู้โดยสารแต่ละคนเต็มไปด้วยเหงื่อ รวมทั้งเราด้วย ป้ามีความรู้สึกว่าอากาศไม่พอหายใจ รถเมล์คันเล็ก คนแน่น เป็นระบบปิดกระจก ปรับอากาศแต่อากาศไม่พอกับจำนวนคนที่แน่น จนอึดอัด โชคดีที่เราได้นั่งไปมากกว่าครึ่งทาง รถไปส่งที่สถานีขนส่ง ซึ่งอยู่นอกเมือง เดินทางเป็นชั่วโมงจึงถึง มองไปมีแต่ความมืด สว่างเป็นจุดๆ ตรงป้ายรถเมล์ มีร้านค้า มีคนรอรถอยู่หลายคน แต่ดูเหมือนไม่ใช่สถานีขนส่งเอาเสียเลย เรารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนกับผู้โดยสารหน้าใหม่คนอื่นๆ พอดีมีคนวิ่งมาถาม เหมือนกำลังหาผู้โดยสาร เราจึงบอกว่าเราจะไปสุระบายา เขาชี้ให้ไปซื้อตั๋วข้างหน้า
เราคิดว่าจะต้องขึ้นบันไดไป เราจึงเดินตามหนุ่มสาวที่ลงรถเมล์พร้อมเราแล้วขึ้นไปก่อน แต่เสียงเรียกตามมาว่าไม่ใช่ ให้ลงไปอีกด้านหนึ่ง พอเดินไป เห็นมีตู้มืดๆ แต่มีคนนั่งอยู่ ป้าจึงพูดว่า สุระบายา เขาบอกว่า สุระบายา คนละ 500 ป้างงอีก ทำไมถูกจัง แต่เขาบอกว่า 2 คน 1,000 แล้วก็ฉีกตั๋วให้ ป้าถามหารถ เขาชี้ไปที่รถกำลังจอดอยู่ พอเราเดินไปถึง มีคนรอรับอยู่ บอกให้ขึ้น ป้าทวนอีกที เขาบอกว่าใช่
ข้างบนมีผู้โดยสารอยู่เกือบเต็มเราต้องแยกกันนั่ง ป้าได้นั่งกับชายหนุ่ม ดูท่าทางเป็นคนมีความรู้ จึงถามเขาว่า จากตรงนั้นไปสุระบายาใช้เวลาเท่าไร เขาบอกว่า 7 ชม. ป้าจึงถามเรื่องค่าโดยสาร เขาบอกว่า 500 เป็นค่าขึ้นรถ ส่วนค่าโดยสารต่างหากอีก 100,000 อาจมีค่าอาหารเพิ่มด้วย เขาเดินทางประจำเพราะภรรยาอยู่ย้อกยา แต่เขาทำงานที่สุระบายา พอเขารู้ว่าป้าไปกับลุงเขารีบบอกว่าเขาจะย้ายที่นั่งเพื่อให้ลุงกับป้านั่งด้วยกัน
ตอนเขามาเก็บเงินมีตั๋วรถพร้อมคูปองอาหารด้วย ชายหนุ่มที่มากับภรรยา และลูกสาว พูดภาษาอังกฤษได้ เขานั่งอีกด้านหนึ่งของทางเดินบนรถ เขาบอกเราว่า รถจะไปพักให้รับประทานอาหารที่นาวี่ ให้จดเบอร์รถไปเพราะเราอาจจะหารถไม่เจอตอนที่จะกลับขึ้นรถ เพราะรถเยอะและคนจอแจ ตอนแรกป้าก็สงสัยว่าทำไมเขาต้องรีบบอก ทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ใกล้กัน พอรถจอดให้ลงจึงรู้ว่าเขาลงรถไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะเราหลับตลอดทาง ตื่นเฉพาะตอนเปิดไฟที่ผู้โดยสารขึ้นมาหาที่นั่ง
พอลงรถไปเข้าห้องน้ำมีห้องอาบน้ำเต็มไปหมด ถ้าเรารู้ เราคงเตรียมตัวไปอาบน้ำ แทนการกินอาหาร ออกจากห้องน้ำ เดินเข้าไปในห้องอาหาร แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้อาหาร ยืนเก้ๆกังๆ จนสาวเสิร์ฟมาถามก็ยังสื่อภาษาไม่เข้าใจ เธอจึงเรียกให้หนุ่มมาช่วย เขาบอกให้ติ๊กรายการ เราไม่รู้เลยว่าอะไรบ้าง พอดีเขาเอาของร้อนควันฉุยมาเสิร์ฟสาวที่นั่งอยู่ ป้าจึงชี้บอกว่าเอาแบบนั้นมา 2 ที่ใช้ภาษาใบ้ มันคือ ข้าวต้มไก่ใส่กะทิ รสชาติไม่เลวทีเดียว มีน้ำชาแก้วใหญ่พ่วงมาด้วย ชาร้อนแต่หวาน กินแบบรีบๆ เพราะคนอื่นไม่ได้เสียเวลาแบบเรา
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น