Hello
วันนี้จะเล่าเรื่องแก๊งชะนีจะพาไปติดเกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ ค่ะ  4 วัน 3 คืน แบบราคาย่อมเยา
แต่เราขอเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยนะคะ การเดินทางของพวกเราเริ่มต้นที่โคราช ไปหัวหิน  จากมหาวิทยาลัยเพื่อไปทัศนศึกษาดูงาน  จากนั้นก็เลยคิดว่าเดินทางต่ออีกหน่อยก็ไปเที่ยวทางใต้ได้แล้วเลยตัดสินใจเลือก อาดัง ราวี หลีเป๊ะ หินงาม เป็นจุดหมายปลายทางของเราค่ะ
(ไปมาเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ขอมาเล่าให้ฟังวันนี้นะคะ)

ขอแบ่งเป็น 5 วัน (เริ่มจากวันเดินทางเลยค่ะ)

DAY 1  : จากหัวหิน ไป หาดใหญ่ ด้วยรถไฟฟรี  
DAY 2  : ลงรถไฟ ต่อรถตู้  ขึ้นเรือไปติดเกาะ    
DAY 3 : ตื่นเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้น สนอคเกิ้ล ท่องทะเลกับพี่สมาน  
DAY 4 : ปีนเขา อาบแดด เดินเที่ยวหลีเป๊ะ        
DAY 5 : ขึ้นเรือกลับฝั่ง ตระเวนกินที่หาดใหญ่    

งบประมาณ (ต่อคน)
0 บาท  :  ตั๋วรถไฟฟรี
1000 บาท : ตั๋วเครื่องบินกลับ
1300 บาท : ค่ารถตู้ + เรือข้ามฟาก
200 บาท  :  ค่าที่พัก(คืนละ 400 บาท * 3 คืน)
300 บาท  : ค่าเช่าเรือพี่สมานไปดำน้ำสนอคเกิ้ล
400 บาท  : ค่าเรือข้ามฟากไปมา(เกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ) 4 รอบ
2000 บาท : ค่าอาหารรวมๆ ตั้งแต่เริ่มทริปค่ะ ประมาณ 10 มื้อได้ค่ะ
รวมค่าใช้จ่ายโดยประมาณ คนละ 5000 - 6000 ค่ะ




DAY 1  : จากหัวหิน ไป หาดใหญ่ ด้วยรถไฟฟรี

         ช่วงกลางวันเราอยู่ที่หัวหิน ไปทัศนศึกษาที่ศูนย์วิทยุการบินหัวหิน  จากนั้นก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปขึ้นรถไฟค่ะ
(ตั๋วรถไฟฟรีตอนนั้นเราไปจองตั้งแต่ช่วงเช้าที่สถานีหัวหิน แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยกเลิกไปหรือยังนะคะ)
17.15 น. รถเร็วขบวน 171 ก็มาถึงหัวหิน เป็นบรรยากาศที่น่าตื่นเต้นมากๆสำหรับพวกเรา เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถไฟลงใต้แบบนี้ เฮฮากันใหญ่เลยค่ะ บรรยากาศบนรถไฟ คนเยอะพอสมควรขึ้นไปจากหัวหินก็ต้องรีบไปหาจับจองที่นั่งค่ะ เพราะพวกเราไปกัน 6 คน มีแต่ผู้หญิงหมดเลย ก็อยากนั่งใกล้ๆกันค่ะ  หาที่นั่งยากพอสมควรเพราะว่าคนเยอะค่ะ  แต่ในที่สุดเราก็ได้ที่นั่งใกล้ๆกัน เพราะพี่ผู้ชายที่ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันคงเห็นใจ ว่าเป็นผู้หญิงหมดเลย แล้วมาเป็นกลุ่ม เค้าเลยให้เรามานั่งตรงที่เค้า เพราะพี่เค้าบอกว่าไม่เป็นไรผมมาคนเดียว  เราก็เลยได้ที่นั่งใกล้ๆกันค่ะ

        ช่วงแรกพวกเรากังวลกันพอสมควรเรื่องความปลอดภัย และความไม่สะดวกสบายในการเดินทาง  แต่พอได้เดินทางด้วยรถไฟฟรีแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่สนุกสนานค่ะ ได้นั่งคุยกับเพื่อนนานกว่าการเดินทางทุกๆครั้ง  บางช่วงคุยกันต้องเร่งเสียงขึ้นบ้างเพราะเสียงรถไฟดังเชียว  แต่นั่งๆไปสักพักก็ชินค่ะ รถไฟขบวนที่เรานั่งเป็นรถแอร์ธรรมชาติ เปิดกระจก เปิดที่กั้นก็ได้รับลม สบายๆ และเสน่ห์ของรถไฟที่ทำให้เราได้สนุกสนานกันคือ มีของขายตลอดทางค่ะ  ชีวิตบนรถไฟ(ถ้าเราไม่นอน เราก็กิน  ถ้าเราไม่กิน เราก็หลับ ถ้าเราไม่หลับ เราก็นั่งเม้าท์กันค่ะ) รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แต่อาจจะใช้เวลานานในช่วงของการสับรางเพื่อให้รถไฟที่กำลังวิ่งเข้า กทม. ได้ไปก่อน (เป็นข้อเสียของรถไฟรางเดี่ยวความเร็วต่ำของไทยเลยค่ะ) คนจะเริ่มลงรถไฟไปเยอะที่สถานีสุราษฯ สถานีนครศรีธรรมราชค่ะ  พอถึงพัทลุงคนเริ่มบางตาลง  เช้านั้นไปถึงหาดใหญ่ประมาณ 08.00 น. ค่ะ  ใช้เวลาทั้งคืนอยู่บนรถไฟ นอนบ้าง นั่งบ้าง ฟังเพลงบ้าง ก็สนุกดีค่ะ แต่ถ้าใครที่ต้องการความสะดวกสบาย ก็ไม่แนะนำตัวเลือกนี้ค่ะ





DAY 2 : ลงรถไฟ ต่อรถตู้  ขึ้นเรือไปติดเกาะ

          ณ หาดใหญ่ พวกเราลงรถไฟด้วยอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เนื่องจากนั่งบ้างนอนบ้างมาทั้งคืน  หลังจากลงรถไฟแก๊งชะนีทั้งแก๊งก็ไปหาที่ล้างหน้าแปรงฟันค่ะ ปรึกษากันพักนึงเลยตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนชุดกันใหม่เลย (ห้องอาบน้ำที่สถานีรถไฟเลยค่ะ) อาบน้ำเสร็จพอให้สดชื่น เราก็ต้องไปหาซื้อตั๋วรถตู้ และตั๋วเรือจากท่าเรือปากบารา ไปเกาะหลีเป๊ะค่ะ  
09.00 น. ขึ้นรถตู้ไปท่าเรือปากบารา
11.30 น. ขึ้นเรือไปหลีเป๊ะ
14.00 น.  ถึงเกาะหลีเป๊ะค่ะ

          พวกเราตัดสินใจตั้งแต่แรกว่าจะนอนพักกันที่เกาะอาดัง เราก็เลยต้องรอเรือที่จะข้ามไปเกาะอาดังค่ะ  รอซัก 20 นาทีเห็นจะได้ ก็มีเรือไปเกาะอาดัง เราข้ามไปเกาะอาดังด้วยเรือหางยาว พร้อมกับครอบครัวชาวต่างชาติ และคนไทยหนึ่งครอบครัว  หลังจากข้ามไปที่เกาะอาดัง พวกเราก็ต้องไปหาที่นอนค่ะ  ในตอนแรกเลยหลังจากอ่านรีวิว การนอนเต้นท์ที่เกาะอาดัง หลายๆรีวิว เราตั้งใจว่าจะไปนอนเต้นท์  แต่สุดท้ายทนเสียงคลื่นไม่ไหวก็เลยตัดสินใจไปหาที่พักที่มิดชิดหน่อยโดยพักห้องพักของอุทยาน  ซึ่งโจทย์ห้องพักของพวกเรามีอยู่ว่า พวกเราจะนอนรวมกัน 6 คน เพราะค่อนข้างขี้กลัวทุกคน แล้วห้องที่เหลืออยู่ตอนนั้นคือ ห้องพักสำหรับ 10 คน (ซึ่งพวกเราไม่เลือกเพราะ ไม่สามารถจัดการกับเตียงที่ว่างอีก 4 เตียงนั้นได้)  พวกเราคิดว่ามันใหญ่เกินไป เลยหาห้องที่เล็กลงมาหน่อย ซึ่งได้มาจบที่ห้องพักรวม 4 ที่(มีที่นอนไม่มีเตียง) พวกเราตกลงเลือกห้องนี้เพราะอยากนอนรวมกันแบบให้รู้สึกปลอดภัย และอุ่นใจหน่อย ซึ่งเราจะนอนกัน 3 คืน  ที่พักที่พวกเราไปนอนเป็นห้องและมีที่นอน กับพัดลม  ห้องน้ำอยู่ด้านนอกนะคะ เป็นห้องน้ำรวม(มี 6 ห้องพอดีกับพวกเรา) หลังจากได้ที่นอน พวกเราก็เอาของเข้าไปไว้ที่ห้องแล้วก็ออกมาเล่นน้ำ และเดินเล่นริมหาดช่วงเย็น  และติดต่อเช่าเรือไปดำน้ำในวันถัดไปกับพี่ที่ดูแลอุทยานค่ะ  
       ช่วงเย็นวันแรกก็ได้มากินข้าวที่ร้านสวัสดิการของอุทยาน ซึ่งราคาอาหารสูงพอสมควร ข้าวไข่เจียวเริ่มต้น 80 บาท  เมนูอื่นๆก็สูงขึ้นไปตามลำดับค่ะ
วันที่พวกเราไปคนบนเกาะน้อยมากๆ มีประมาณ 6 ครอบครัวเห็นจะได้  ดีใจที่ตัดสินใจไปนอนที่เกาะอาดัง เพราะเหมือนเราอยู่ในเกาะส่วนตัวเลยค่ะ บรรยากาศเงียบสงบสุดๆ เหมาะที่จะนอนเงียบๆ ให้เวลามันผ่านไป
      หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็ไปอาบน้ำ ชาร์จแบตเตรียมพร้อมเดินทางวันถัดไป(เนื่องจากไฟของอุทยานจะเปิดปิดเป็นเวลาถ้าจำไม่ผิด 17.30 - 22.30 น. ค่ะ) ซึ่งการชาร์จแบตจะมีปลั๊กในห้องอยู่ 2 ตัว แต่พวกเราได้เตรียมปลั๊กพ่วงไปด้วยก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องชาร์จแบตค่ะ  
     เนื่องจากกิจกรรมรื่นเริงบนเกาะไม่ค่อยเยอะ หลังจากกินข้าวเสร็จ แก๊งชะนีอย่างพวกเราก็ต้องเตรียมชุด ฟิตติ้งชุด เตรียมใส่ในวันถัดไป
แต่ในคืนแรกพวกเราเกรงใจพี่ๆ และคนที่พักบนเกาะอย่างมาก  เพราะวันแรกที่ไปยังไม่แน่ชัดว่าไฟจะเปิดปิดถึงกี่โมงค่ะ  พวกเราก็ชวนกันไปเข้าห้องน้ำประมาณสี่ทุ่มกว่าๆได้ เพราะคิดว่าไม่น่าจะปิดไฟ  ห้องน้ำอยู่ห่างไปประมาณ 20 เมตรได้  พอพวกเราเข้าห้องน้ำ(กำลังจะถอดกางเกง) ไฟดับทั้งเกาะ ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมใจมาเจอความมืดขนาดนั้น พวกเราก็กรี้ดขึ้นพร้อมกัน  จนสักพักหลังจากเสียงกรี้ด ไฟก็ติดขึ้นมาใหม่อีกรอบ  พวกเราก็เลยรีบทำธุระให้เรียบร้อย แล้วก็เดินกลับมาที่ห้องพักเลยค่ะ  อีกสักพักไฟก็ดับลง (ช่วงที่ไปอากาศเย็นกำลังสบาย ไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดพัดลมอะไรเลยค่ะ อยู่ได้ด้วยลมทะเลเลย)


// เดินทางกลางทะเลอันดามันค่ะ

// เกาะหลีเป๊ะค่ะ

// เก้าอี้ไม้หน้าที่พัก