เอาภาพนี้มาแปะแทนเพราะไม่อยากเอาภาพสปอยล์ขึ้นภาพแรก
- ต่อจากตอนที่แล้วที่เป็นเรื่องของยัยเอ๋อกับไอ้หนูหัวทอง มาตอนนี้เป็นเรื่องของพระเอกบ้าง
- โดยช่วงนี้พระเอกกำลังเครียดจัดเพราะเขียนงานส่งบ.ก.กี่งานก็ลงถังตลอด (โดนคอมเมนต์ว่าเรื่องสั้นขายได้ (แบบขายขาด) แต่ไม่มีงานไหนเหนือกว่าที่เคยได้รางวัลเลย) แถมโดนขู่อีกต่างหากว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังโดนไอ้แว่นรุ่นน้องแซงหน้าเอาซักวันแน่
- เอาไปให้อ.คิริยะอ่านก็โดนคอมเมนต์แรงๆ กลับมาว่าสมัยเขียนเรื่องสั้นอาทิตย์ละเรื่องยังดุดีกว่านี้อีก
- เจอคอมเมนต์แบบนี้เข้าไปพระเอกเลยมุปั่นงานออกมายิ่งกว่าเดิม แต่ปั่นเท่าไหร่ก็ยังลงถังตลอด เลยเร่งปั่นหนักจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่เป็นอันสังสรรค์กับเพื่อน คนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนี้ก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอยู่ห่างๆ
- จนวันหนึ่ง คนน้องก็ถามพระเอกขึ้นมาว่าทำไมถึงอยากเป็นนักเขียนนิยาย พระเอกก็บอกว่าสาเหตุคงมาจากตอนที่แม่ตายนั่นแหละ
- พระเอกเล่าให้ฟังว่าตอนที่แม่ตายใหม่ๆ นั้นตัวเองจิตตกขนาดหนัก ขนาดที่ปล่อยไว้แป๊บๆ ก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ เห็นเด็กคนอื่นมีแม่ในขณะที่ตัวเองไม่มีอีกแล้วก็อดเสียใจแกมอิจฉาไม่ได้ สุดท้ายก็พาลไม่ยอมออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เคยเป็นของแม่
- ระหว่างนั้น พระเอกเห็นในห้องแม่มีหนังสือเยอะแยะ (เพราะแม่ชอบอ่านหนังสือ) ก็เลยหยิบหนังสือของแม่มาอ่าน ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเรื่องราวที่บรรดานักเขียนที่แม่ชอบสร้างขึ้น สิ่งเหล่านั้นช่วยให้พระเอกลืมเรื่องการตายของแม่กับความเหงาที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยได้
- ด้วยเหตุนี้ พระเอกจึงอยากเป็นนักเขียนนิยาย อยากเป็นคนที่สามารถสร้างโลกแบบนั้นขึ้นในได้บ้าง คนน้องได้ยินแบบนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ พร้อมกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...
- วันรุ่งขึ้นที่เป็นวันเสาร์ พระเอกกำลังนอนหลับสบายเพราะเมื่อคืนปั่นงานดึก แต่อยู่ๆ ก็มีคนมาร้องตะโกนกรอกหูให้ตื่น พระเอกเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นคนน้องแต่งชุดออกไปเที่ยวข้างนอก มาบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวข้างนอกกัน
- พระเอกงง คนน้องก็อ้างเอาดื้อๆ ว่าเมื่อคืนชั้นอุตส่าห์ชงกาแฟให้นายนะ วันนี้ตอบแทนชั้นบ้างสิยะ ว่าจบก็บอกพระเอกว่าอยากไปกินร้านน้ำแข็งไสเจ้าดังเจ้านึง ให้ไปด้วยกันด้วย พระเอกก็อึ้ง แต่ไม่รู้จะเถียงคนน้องยังไง สุดท้ายก็เลยต้องยอมเออออไปด้วยอย่างเสียไม่ได้
คนน้องในชุดออกไปข้างนอกประจำตอนนี้
- ปรากฏว่าร้านน้ำแข็งไสที่ว่าดันตั้งอยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นไปถึงจะได้กิน พระเอกก็บ่นเละเทะว่าจะกินน้ำแข็งไสต้องลำบากเดินขึ้นเขางี้ด้วยเรอะ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมไปด้วย เพราะดันสัญญากับคนน้องไปแล้วว่าจะไป (มีบ่นด้วยว่าถ้าอยู่บ้านละก็ป่านนี้ปั่นต้นฉบับได้ไม่รู้กี่หน้าแล้ว เลยโดนคนน้องแขวะซะว่าต้นฉบับลงถังตลอดน่ะนะ)
- เดินกันจนพระเอกแทบลิ้นห้อย (แต่คนน้องเดินสบายๆ) ก็ขึ้นมาถึงร้านน้ำแข็งไสที่ว่าจนได้ สั่งน้ำแข็งไสมาเสร็จ พระเอกเห็นหน้าตาไม่ได้ต่างจากน้ำแข็งไสร้านอื่นตรงไหนก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าหน้าตาแบบนี้จะอร่อยกว่าร้านอื่นได้ยังไง
- แต่พอตักเข้าปากเท่านั้นก็ออกรีแอ็คชั่น
"อร่อย" จนเว่อร์ไปเลย คนน้องเห็นพระเอกกินท่าทางเอร็ดอร่อยก็แอบอมยิ้มอย่างดีใจ
- กินเสร็จพระเอกก็ชวนกันจะกลับบ้าน แต่คนน้องบอกยังไม่หมด ยังมีที่อื่นต้องไปอีก ว่าจบก็ก้าวฉับๆ ออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกอย่างตกใจของพระเอกแม้แต่นิดเดียว
- เดินตามไปพักหนึ่งจนทันกันที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง สิ่งที่พระเอกได้เห็นก็คือ ภาพดวงอาทิตย์ทอประกายเหนือภูเขาอันงดงาม
- พระเอกยืนมองตาค้าง คนน้องก็บอกว่าตัวเองเคยเห็นภาพทิวทัศน์ที่นี่จากทีวี ก็เลยอยากให้พระเอกได้เห็นภาพนี้ด้วย
- คนน้อง
"สิ่งสำคัญของนิยายไม่ว่าจะแนวไหนก็คือ 'ทำให้คนประทับใจ' ดังนั้นนายถึงได้ชอบนิยายไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากสร้างความประทับใจนั้นขึ้นมาให้ได้ อันดับแรกนายก็ต้องประทับใจให้ได้ก่อนสิ เอาแต่มุดหัวอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือแบบนั้นจะเอาตัวออกจากหลุมได้ยังไงล่ะ"
- พระเอกได้ยินดังนั้นก็หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมา ในใจนึกไปถึงคำพูดที่เพื่อนอ้วนเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ตัวเองก็ได้คนน้องช่วยไว้เสมอ
- นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของเพื่อนอ้วนนั้นไม่ผิดจากความจริงแม้แต่น้อย
กลับมาให้ทีมคนน้องได้กรี๊ดกร๊าดกันอีกรอบแล้วแฮะ หลังจากไปคุยเรื่องยัยเอ๋อกับไอ้หนูไปพักนึง
อ่านตอนนี้แล้วแอบนึกถึงเพลง
"ลมใต้ปีก" (เพลง Wind Beneath My Wings ที่เป็นเพลงชอังกฤษนะไม่ใช่เพลงของคุณประภาษ) ขึ้นมาเลยทีเดียว
รอดูตอนต่อไปแฮะว่าได้กำลังใจจากคนน้องแล้ว พระเอกจะปั่นนิยายแบบไหนออกมา
[Spoil] Domestic na Kanojo #82 - ลมใต้ปีก
- ต่อจากตอนที่แล้วที่เป็นเรื่องของยัยเอ๋อกับไอ้หนูหัวทอง มาตอนนี้เป็นเรื่องของพระเอกบ้าง
- โดยช่วงนี้พระเอกกำลังเครียดจัดเพราะเขียนงานส่งบ.ก.กี่งานก็ลงถังตลอด (โดนคอมเมนต์ว่าเรื่องสั้นขายได้ (แบบขายขาด) แต่ไม่มีงานไหนเหนือกว่าที่เคยได้รางวัลเลย) แถมโดนขู่อีกต่างหากว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังโดนไอ้แว่นรุ่นน้องแซงหน้าเอาซักวันแน่
- เอาไปให้อ.คิริยะอ่านก็โดนคอมเมนต์แรงๆ กลับมาว่าสมัยเขียนเรื่องสั้นอาทิตย์ละเรื่องยังดุดีกว่านี้อีก
- เจอคอมเมนต์แบบนี้เข้าไปพระเอกเลยมุปั่นงานออกมายิ่งกว่าเดิม แต่ปั่นเท่าไหร่ก็ยังลงถังตลอด เลยเร่งปั่นหนักจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่เป็นอันสังสรรค์กับเพื่อน คนน้องเห็นพระเอกเป็นแบบนี้ก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอยู่ห่างๆ
- จนวันหนึ่ง คนน้องก็ถามพระเอกขึ้นมาว่าทำไมถึงอยากเป็นนักเขียนนิยาย พระเอกก็บอกว่าสาเหตุคงมาจากตอนที่แม่ตายนั่นแหละ
- พระเอกเล่าให้ฟังว่าตอนที่แม่ตายใหม่ๆ นั้นตัวเองจิตตกขนาดหนัก ขนาดที่ปล่อยไว้แป๊บๆ ก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ เห็นเด็กคนอื่นมีแม่ในขณะที่ตัวเองไม่มีอีกแล้วก็อดเสียใจแกมอิจฉาไม่ได้ สุดท้ายก็พาลไม่ยอมออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องที่เคยเป็นของแม่
- ระหว่างนั้น พระเอกเห็นในห้องแม่มีหนังสือเยอะแยะ (เพราะแม่ชอบอ่านหนังสือ) ก็เลยหยิบหนังสือของแม่มาอ่าน ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเรื่องราวที่บรรดานักเขียนที่แม่ชอบสร้างขึ้น สิ่งเหล่านั้นช่วยให้พระเอกลืมเรื่องการตายของแม่กับความเหงาที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยได้
- ด้วยเหตุนี้ พระเอกจึงอยากเป็นนักเขียนนิยาย อยากเป็นคนที่สามารถสร้างโลกแบบนั้นขึ้นในได้บ้าง คนน้องได้ยินแบบนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ พร้อมกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...
- วันรุ่งขึ้นที่เป็นวันเสาร์ พระเอกกำลังนอนหลับสบายเพราะเมื่อคืนปั่นงานดึก แต่อยู่ๆ ก็มีคนมาร้องตะโกนกรอกหูให้ตื่น พระเอกเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นคนน้องแต่งชุดออกไปเที่ยวข้างนอก มาบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวข้างนอกกัน
- พระเอกงง คนน้องก็อ้างเอาดื้อๆ ว่าเมื่อคืนชั้นอุตส่าห์ชงกาแฟให้นายนะ วันนี้ตอบแทนชั้นบ้างสิยะ ว่าจบก็บอกพระเอกว่าอยากไปกินร้านน้ำแข็งไสเจ้าดังเจ้านึง ให้ไปด้วยกันด้วย พระเอกก็อึ้ง แต่ไม่รู้จะเถียงคนน้องยังไง สุดท้ายก็เลยต้องยอมเออออไปด้วยอย่างเสียไม่ได้
คนน้องในชุดออกไปข้างนอกประจำตอนนี้
- ปรากฏว่าร้านน้ำแข็งไสที่ว่าดันตั้งอยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นไปถึงจะได้กิน พระเอกก็บ่นเละเทะว่าจะกินน้ำแข็งไสต้องลำบากเดินขึ้นเขางี้ด้วยเรอะ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมไปด้วย เพราะดันสัญญากับคนน้องไปแล้วว่าจะไป (มีบ่นด้วยว่าถ้าอยู่บ้านละก็ป่านนี้ปั่นต้นฉบับได้ไม่รู้กี่หน้าแล้ว เลยโดนคนน้องแขวะซะว่าต้นฉบับลงถังตลอดน่ะนะ)
- เดินกันจนพระเอกแทบลิ้นห้อย (แต่คนน้องเดินสบายๆ) ก็ขึ้นมาถึงร้านน้ำแข็งไสที่ว่าจนได้ สั่งน้ำแข็งไสมาเสร็จ พระเอกเห็นหน้าตาไม่ได้ต่างจากน้ำแข็งไสร้านอื่นตรงไหนก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าหน้าตาแบบนี้จะอร่อยกว่าร้านอื่นได้ยังไง
- แต่พอตักเข้าปากเท่านั้นก็ออกรีแอ็คชั่น "อร่อย" จนเว่อร์ไปเลย คนน้องเห็นพระเอกกินท่าทางเอร็ดอร่อยก็แอบอมยิ้มอย่างดีใจ
- กินเสร็จพระเอกก็ชวนกันจะกลับบ้าน แต่คนน้องบอกยังไม่หมด ยังมีที่อื่นต้องไปอีก ว่าจบก็ก้าวฉับๆ ออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกอย่างตกใจของพระเอกแม้แต่นิดเดียว
- เดินตามไปพักหนึ่งจนทันกันที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง สิ่งที่พระเอกได้เห็นก็คือ ภาพดวงอาทิตย์ทอประกายเหนือภูเขาอันงดงาม
- พระเอกยืนมองตาค้าง คนน้องก็บอกว่าตัวเองเคยเห็นภาพทิวทัศน์ที่นี่จากทีวี ก็เลยอยากให้พระเอกได้เห็นภาพนี้ด้วย
- คนน้อง "สิ่งสำคัญของนิยายไม่ว่าจะแนวไหนก็คือ 'ทำให้คนประทับใจ' ดังนั้นนายถึงได้ชอบนิยายไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากสร้างความประทับใจนั้นขึ้นมาให้ได้ อันดับแรกนายก็ต้องประทับใจให้ได้ก่อนสิ เอาแต่มุดหัวอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือแบบนั้นจะเอาตัวออกจากหลุมได้ยังไงล่ะ"
- พระเอกได้ยินดังนั้นก็หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมา ในใจนึกไปถึงคำพูดที่เพื่อนอ้วนเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ตัวเองก็ได้คนน้องช่วยไว้เสมอ
- นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของเพื่อนอ้วนนั้นไม่ผิดจากความจริงแม้แต่น้อย
กลับมาให้ทีมคนน้องได้กรี๊ดกร๊าดกันอีกรอบแล้วแฮะ หลังจากไปคุยเรื่องยัยเอ๋อกับไอ้หนูไปพักนึง
อ่านตอนนี้แล้วแอบนึกถึงเพลง "ลมใต้ปีก" (เพลง Wind Beneath My Wings ที่เป็นเพลงชอังกฤษนะไม่ใช่เพลงของคุณประภาษ) ขึ้นมาเลยทีเดียว
รอดูตอนต่อไปแฮะว่าได้กำลังใจจากคนน้องแล้ว พระเอกจะปั่นนิยายแบบไหนออกมา