Spotlight คือหนังในกลุ่มหนังตัวเต็งที่จะกวาดรางวัล Oscar ในปีนี้ และพอหนังเรื่องนี้เข้าฉาย ผมจึงไม่รีรอที่จะตีตั๋วเข้าไปชมทันที
ยอมรับว่าผมไม่รู้จักผู้กำกับหนังเรื่องนี้อย่าง Tom McCarthy และนี่คือผลงานเรื่องแรกของเค้าที่ผมจะมีโอกาสได้ชม ซึ่งยอมรับว่า ผมตื่นเต้นมากก่อนที่จะเข้าไปชมหนังเรื่องนี้
แต่โดยรวมแล้วสำหรับ Spotlight ผมไม่ได้รู้สึกประทับใจเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะ ก่อนเข้าไปชม ผมค่อนข้างคาดหวังไว้สูง พอหนังไม่ได้เป็นเท่าที่คาดหวัง มันจึงทำให้ไม่ได้ประทับใจมาก
Spotlight ดำเนินเรื่องรวดเร็วมาก แม้ว่าผมจะตามเส้นเรื่องทันตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ยอมรับว่า ผมเก็บรายละเอียดย่อยๆไม่ได้ทั้งหมด และจุดสำคัญบางอย่างของหนัง ผมก็ไม่เคลียร์ในการดูรอบแรก ผมจึงต้องเข้าไปดูรอบ 2 ซึ่งรอบนี้ดีขึ้นเยอะ ทำให้ผมเก็บรายละเอียดได้เกือบหมด
ผมชอบในแง่การดำเนินเรื่องที่สนุกมากๆ การตัดต่อที่รวดเร็ว ฉับไว เหมือนเป็นการกระตุ้นให้เราต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อเสียก็มี คือ เราไม่ทันได้ละเมียดกับความรู้สึกของตัวละครเท่าที่ควร โดยเฉพาะประเด็นสำคัญของตัวละคร
ดนตรีประกอบเร้าอารมณ์ ให้ความรู้สึกตื่นเต้น น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา แม้จะรู้สึกว่าดนตรีประกอบจะค่อนข้างซ้ำๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดแต่อย่างใด
พาร์ทการแสดงเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังไว้สูงสำหรับเรื่องนี้ แต่เมื่อผมดูจบ ผมกลับไม่ได้รู้สึกประทับใจมากนัก แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี อาจจะเพราะผมไม่อินกับเรื่องราวในเรื่องนี้มากนัก ทำให้ไม่รู้สึกมากมายกับการแสดง หรืออาจจะอย่างที่เขียนไปในตอนแรกว่า หนังตัดต่อเร็ว ทำให้ผมไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับความรู้สึกของตัวละครเท่าที่ควร
แต่ผมก็ยังอยากพูดถึงการแสดงของ Michael Keaton ในเรื่องนี้ผมชอบการแสดงของเค้ามากที่สุด ส่วนตัวชอบ Michael Keaton ในเรื่องนี้มากกว่า Birdman อีก โดยเฉพาะประเด็นความรู้สึกผิด ที่เค้าก็เก็บไว้จากการที่เค้าละเลยหน้าที่ในอดีต เสียดายที่หนังไม่ได้ขยี้มันเท่าที่ควร ตัวละคร Robby เป็นตัวละครที่ต้องต่อสู้ทั้งเรื่อง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ต่อสู้กับคนรอบข้างที่ไม่มีใครกล้าจะพูดอะไร ต่อสู้กับความรู้สึกที่อยากเปิดโปงเรื่องนี้ให้เร็ว แต่ต้องข่มใจไว้ เพราะจะต้องหาข้อมูลเพื่อเปิดโปงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่บาทหลวงไม่กี่คน มันมีความอึดอัดอยู่ตลอดเวลา และ Michael ก็สื่อสารออกมาได้ดีมากๆ
ผมชอบที่หนังเรื่องนี้มีตัวละครสีเทาเต็มไปหมด เพราะคนในชีวิตจริงก็แบบนี้แหละ ไม่มีใครดีไปทุกด้านและไม่มีใครเลวไปทุกด้านเช่นกัน
- ตัวละครอย่าง Robby ที่ดูเผินๆอาจจะเป็นตัวละครเอก อยู่ในทีมสืบสวนที่ตีแผ่เรื่องราวอันอื้อฉาว แต่ครั้งหนึ่ง เค้าก็เคยละเลยในเรื่องสำคัญ จนปล่อยให้มันเลยเถิดมาจนถึงวันนี้
- ทนาย Macleish ที่หาผลประโยชน์จากเหยื่อโดยการยอมความกับศาสนจักร ครั้งหนึ่งเค้าก็เคยส่งข้อมูลบาทหลวง 20 คนที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ไปให้กับ Boston Globe
- ทนาย Sullivan ที่ปฏิเสธในการให้ข้อมูลแก่ Robby มาตลอด อาจจะเพราะเป็นจรรยาบรรณของวิชาชีพหรือเพราะกลัวผลลัพท์ที่จะตามมาก็แล้วแต่ แต่ถึงจุดหนึ่งเค้าก็ยินดีให้ความร่วมมือกับ Robby ทำให้คดีคลี่คลายไปได้ จากการยืนยันข้อมูลของ Sullivan นั่นเอง
- ทนาย Garabedian ที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนไม่เป็นมิตร เสียงดัง แต่ลึกๆแล้ว เค้าคือคนที่พยายามเปิดโปงเรื่องนี้มาตลอด
- บาทหลวงท่านหนึ่งที่ Sacha ไปหาที่บ้าน ท่านยอมรับว่าเคยละเมิดทางเพศเด็กอย่างตรงไปตรงมา แต่ท่านก็บอกว่าเค้าไม่ได้มีความสุขในการทำแบบนั้น
หนังเน้นย้ำประเด็น การละเลยหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ Boston Globe มากๆ โดยทั้งเรื่องจะมีตัวละครหลายตัวที่บอกว่า เคยส่งข้อมูลเบาะแส มาให้ Boston Globe แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเกิดคำถามอย่างหนักหน่วงสำหรับผมว่า เราควรชื่นชมหรือตำหนิการทำงานของ Boston Globe กันแน่ โดยเฉพาะ Robby ที่ได้ข้อมูลจาก ทนาย MacLeish ว่ามีบาทหลวง 20 คนที่ล่วงละเมิดเด็ก แต่เค้าซึ่งรับผิดชอบคอลัมน์ Metro ในตอนนั้น กลับลงข่าวแค่นั้น ไม่ได้สืบหาข้อมูลเพื่อตีแผ่อะไรเพิ่มเติมอีก เอาเข้าจริง Robby ลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมคิดว่าหนังไม่ได้ตั้งคำถามไปแค่กับสื่อเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามหนักแน่นกับพวกเราทุกคนว่า ทุกวันนี้เราละเลยสิ่งสำคัญอะไรไปหรือเปล่า เราอาจจะรู้ความจริงอะไรบางอย่าง แต่เราก็อาจกลัวที่จะพูดออกไป เราคิดถึงแค่ตัวเอง เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เลยปล่อยให้ผ่านๆไป โดยอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อยนั้น อาจจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อใครบางคนก็ได้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันทุกคน ไม่ว่าคุณหรือผม ตอนดูหนังเรื่องนี้ เหมือนผมถูกตบหน้าตลอดแทบทั้งเรื่อง เออ เราน่าจะคิดอะไรได้บ้างหลังดูหนังเรื่องนี้จบนะ
แม้หนังจะต่อว่าพวกเราอย่างรุนแรง ที่พวกเราละเลยหน้าที่ ไม่กล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เห็นแก่ตัวเองเป็นสำคัญ ไม่คิดถึงคนอื่นๆในสังคมที่ได้รับผลกระทบ แต่บทสรุปของหนังกลับยังมีมุมดีๆที่หนังยังให้โอกาสพวกเราทุกคน ผ่านบทพูดของตัวละคร Baron ในตอนท้ายเรื่อง
"Sometimes it's easy to forget that we spend most of our time stumbling around the dark. Suddenly, a light gets turned on and there's a fair share of blame to go around. I can't speak to what happened before I arrived, but all of you have done some very good reporting here. Reporting that I believe is going to have an immediate and considerable impact on our readers. For me, this kind of story is why we do this."
ไม่สำคัญว่าอดีตที่ผ่านมา เราผิดพลาดอะไรไปบ้าง เราคิดถึงตัวเองมากแค่ไหน เราละเลยอะไรที่สำคัญไปแล้วบ้าง แต่สิ่งที่พวกเราควรจะพิจารณาก็คือ "ณ ปัจจุบัน พวกเราได้ทำอะไรแล้วหรือยัง"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Spotlight - ณ ปัจจุบัน พวกเราได้ทำอะไรแล้วหรือยัง (Spoil)
ยอมรับว่าผมไม่รู้จักผู้กำกับหนังเรื่องนี้อย่าง Tom McCarthy และนี่คือผลงานเรื่องแรกของเค้าที่ผมจะมีโอกาสได้ชม ซึ่งยอมรับว่า ผมตื่นเต้นมากก่อนที่จะเข้าไปชมหนังเรื่องนี้
แต่โดยรวมแล้วสำหรับ Spotlight ผมไม่ได้รู้สึกประทับใจเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะ ก่อนเข้าไปชม ผมค่อนข้างคาดหวังไว้สูง พอหนังไม่ได้เป็นเท่าที่คาดหวัง มันจึงทำให้ไม่ได้ประทับใจมาก
Spotlight ดำเนินเรื่องรวดเร็วมาก แม้ว่าผมจะตามเส้นเรื่องทันตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ยอมรับว่า ผมเก็บรายละเอียดย่อยๆไม่ได้ทั้งหมด และจุดสำคัญบางอย่างของหนัง ผมก็ไม่เคลียร์ในการดูรอบแรก ผมจึงต้องเข้าไปดูรอบ 2 ซึ่งรอบนี้ดีขึ้นเยอะ ทำให้ผมเก็บรายละเอียดได้เกือบหมด
ผมชอบในแง่การดำเนินเรื่องที่สนุกมากๆ การตัดต่อที่รวดเร็ว ฉับไว เหมือนเป็นการกระตุ้นให้เราต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อเสียก็มี คือ เราไม่ทันได้ละเมียดกับความรู้สึกของตัวละครเท่าที่ควร โดยเฉพาะประเด็นสำคัญของตัวละคร
ดนตรีประกอบเร้าอารมณ์ ให้ความรู้สึกตื่นเต้น น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา แม้จะรู้สึกว่าดนตรีประกอบจะค่อนข้างซ้ำๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดแต่อย่างใด
พาร์ทการแสดงเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังไว้สูงสำหรับเรื่องนี้ แต่เมื่อผมดูจบ ผมกลับไม่ได้รู้สึกประทับใจมากนัก แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี อาจจะเพราะผมไม่อินกับเรื่องราวในเรื่องนี้มากนัก ทำให้ไม่รู้สึกมากมายกับการแสดง หรืออาจจะอย่างที่เขียนไปในตอนแรกว่า หนังตัดต่อเร็ว ทำให้ผมไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับความรู้สึกของตัวละครเท่าที่ควร
แต่ผมก็ยังอยากพูดถึงการแสดงของ Michael Keaton ในเรื่องนี้ผมชอบการแสดงของเค้ามากที่สุด ส่วนตัวชอบ Michael Keaton ในเรื่องนี้มากกว่า Birdman อีก โดยเฉพาะประเด็นความรู้สึกผิด ที่เค้าก็เก็บไว้จากการที่เค้าละเลยหน้าที่ในอดีต เสียดายที่หนังไม่ได้ขยี้มันเท่าที่ควร ตัวละคร Robby เป็นตัวละครที่ต้องต่อสู้ทั้งเรื่อง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ต่อสู้กับคนรอบข้างที่ไม่มีใครกล้าจะพูดอะไร ต่อสู้กับความรู้สึกที่อยากเปิดโปงเรื่องนี้ให้เร็ว แต่ต้องข่มใจไว้ เพราะจะต้องหาข้อมูลเพื่อเปิดโปงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่บาทหลวงไม่กี่คน มันมีความอึดอัดอยู่ตลอดเวลา และ Michael ก็สื่อสารออกมาได้ดีมากๆ
ผมชอบที่หนังเรื่องนี้มีตัวละครสีเทาเต็มไปหมด เพราะคนในชีวิตจริงก็แบบนี้แหละ ไม่มีใครดีไปทุกด้านและไม่มีใครเลวไปทุกด้านเช่นกัน
- ตัวละครอย่าง Robby ที่ดูเผินๆอาจจะเป็นตัวละครเอก อยู่ในทีมสืบสวนที่ตีแผ่เรื่องราวอันอื้อฉาว แต่ครั้งหนึ่ง เค้าก็เคยละเลยในเรื่องสำคัญ จนปล่อยให้มันเลยเถิดมาจนถึงวันนี้
- ทนาย Macleish ที่หาผลประโยชน์จากเหยื่อโดยการยอมความกับศาสนจักร ครั้งหนึ่งเค้าก็เคยส่งข้อมูลบาทหลวง 20 คนที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ไปให้กับ Boston Globe
- ทนาย Sullivan ที่ปฏิเสธในการให้ข้อมูลแก่ Robby มาตลอด อาจจะเพราะเป็นจรรยาบรรณของวิชาชีพหรือเพราะกลัวผลลัพท์ที่จะตามมาก็แล้วแต่ แต่ถึงจุดหนึ่งเค้าก็ยินดีให้ความร่วมมือกับ Robby ทำให้คดีคลี่คลายไปได้ จากการยืนยันข้อมูลของ Sullivan นั่นเอง
- ทนาย Garabedian ที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนไม่เป็นมิตร เสียงดัง แต่ลึกๆแล้ว เค้าคือคนที่พยายามเปิดโปงเรื่องนี้มาตลอด
- บาทหลวงท่านหนึ่งที่ Sacha ไปหาที่บ้าน ท่านยอมรับว่าเคยละเมิดทางเพศเด็กอย่างตรงไปตรงมา แต่ท่านก็บอกว่าเค้าไม่ได้มีความสุขในการทำแบบนั้น
หนังเน้นย้ำประเด็น การละเลยหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ Boston Globe มากๆ โดยทั้งเรื่องจะมีตัวละครหลายตัวที่บอกว่า เคยส่งข้อมูลเบาะแส มาให้ Boston Globe แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเกิดคำถามอย่างหนักหน่วงสำหรับผมว่า เราควรชื่นชมหรือตำหนิการทำงานของ Boston Globe กันแน่ โดยเฉพาะ Robby ที่ได้ข้อมูลจาก ทนาย MacLeish ว่ามีบาทหลวง 20 คนที่ล่วงละเมิดเด็ก แต่เค้าซึ่งรับผิดชอบคอลัมน์ Metro ในตอนนั้น กลับลงข่าวแค่นั้น ไม่ได้สืบหาข้อมูลเพื่อตีแผ่อะไรเพิ่มเติมอีก เอาเข้าจริง Robby ลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมคิดว่าหนังไม่ได้ตั้งคำถามไปแค่กับสื่อเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามหนักแน่นกับพวกเราทุกคนว่า ทุกวันนี้เราละเลยสิ่งสำคัญอะไรไปหรือเปล่า เราอาจจะรู้ความจริงอะไรบางอย่าง แต่เราก็อาจกลัวที่จะพูดออกไป เราคิดถึงแค่ตัวเอง เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เลยปล่อยให้ผ่านๆไป โดยอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อยนั้น อาจจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อใครบางคนก็ได้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันทุกคน ไม่ว่าคุณหรือผม ตอนดูหนังเรื่องนี้ เหมือนผมถูกตบหน้าตลอดแทบทั้งเรื่อง เออ เราน่าจะคิดอะไรได้บ้างหลังดูหนังเรื่องนี้จบนะ
แม้หนังจะต่อว่าพวกเราอย่างรุนแรง ที่พวกเราละเลยหน้าที่ ไม่กล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เห็นแก่ตัวเองเป็นสำคัญ ไม่คิดถึงคนอื่นๆในสังคมที่ได้รับผลกระทบ แต่บทสรุปของหนังกลับยังมีมุมดีๆที่หนังยังให้โอกาสพวกเราทุกคน ผ่านบทพูดของตัวละคร Baron ในตอนท้ายเรื่อง
"Sometimes it's easy to forget that we spend most of our time stumbling around the dark. Suddenly, a light gets turned on and there's a fair share of blame to go around. I can't speak to what happened before I arrived, but all of you have done some very good reporting here. Reporting that I believe is going to have an immediate and considerable impact on our readers. For me, this kind of story is why we do this."
ไม่สำคัญว่าอดีตที่ผ่านมา เราผิดพลาดอะไรไปบ้าง เราคิดถึงตัวเองมากแค่ไหน เราละเลยอะไรที่สำคัญไปแล้วบ้าง แต่สิ่งที่พวกเราควรจะพิจารณาก็คือ "ณ ปัจจุบัน พวกเราได้ทำอะไรแล้วหรือยัง"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/