... ครั้งนี้ เป็นสิงคโปร์ครั้งที่ 2
และครั้งนี้ น้องสิงโตไม่ใช่ตัวเอก...
-----'ถ้าถามว่าสิงคโปร์มีอะไร คำตอบของฉันก็คงเป็น'----
ใบที่ 1
October 29 15.47 ย่านธุรกิจและธนาคาร
'ตึก' รู้ตัวอีกทีก็ชอบมองตึกของที่นี้ไปแล้ว ตึกที่ดูไปก็ไม่ได้แตกต่างกับบ้านเราซักนิด แท่งสี่เหลียมสูงๆ แปะกระจกสีฟ้าเยอะๆ มีหลอดไฟเป็นตับ ดูไปก็ไม่ได้โดดเด่นตรงไหน แต่ถ้าคุณลองหยุดยืนอยู่บนฟุตบาทซักนิด แล้วเงยหน้ามองขึ้นซักหน่อย คุณจะเห็นการเรียงตัวของตึก การเรียงตัวที่สลับซ้อนทับกัน การเรียงตัวที่เหมือนมีการคิด ถูกจับวางอย่างตั้งใจ และใส่ใจ
ช่างเป็นโชคดีของพวกเขาจริงๆ ที่มีหน่วยงานดีๆ อย่าง Urban Redevelopment Authority - URA
ใบที่ 2
October 29 17.08 Helix Bridge
'สะพานแนว' ครั้งแรกที่มาสิงคโปร์ จุดหมายที่อยากจะไปเซย์ไฮมากที่สุดก็คือความแนวของสะพาน Henderson wave bridge สะพานไม้ทรงรูปเกลียวคลื่นที่สะกิดต่อมความอยากฮิปยอมนั่งรถประจำทางออกไปเที่ยวหานางเพียงลำพัง มาคราวนี้ต่อมความฮิปก็สะดุดรักกับสะพานเหล็กเกลียวอันนี้อีก คนคิดคิดได้ไง ทำสะพานข้ามฟากธรรมดาให้มันไม่ธรรมดา และที่มันจะโคตรไม่ธรรมดา เพราะเกลียวเหล็ก และ ตัวอักษรที่สะพานนี้มันมาจากสิ่งที่เรียกว่า "DNA"
ใบที่ 3
October 29 17.31 Esplanade Bridge
'ไอติมเวเฟอร์ประกบ' ระหว่างทางจากตึกน้องทุเรียน (Esplanade) ไปหาน้องสิงโต (Merlion) จะมีรถเข็นไอศครีมคันเล็ก 1 คัน คุณลุงหน้าจีน 1 คน และคนยืนรอบๆ หลายคน พวกเขารวมทั้งฉันกำลังยืนรอคุณลุงหยิบไอศครีมก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่านยี่ห้อได้ว่า Magnolia ออกมาจากตู้ ไอศครีมมีหลายสี มีหลายสีตามรสชาติบนเมนู คุณลุงหยิบมีดเล่มยาวหั่นแบ่งไอศครีม 1 ก้อนจะหั่นไ้ปประมาณ 2 ชิ้น หยิบเวเฟอร์สองแผ่นประกบและส่งให้พวกเรา ส่วนเราก็ควัก 1.20 SGD ส่งให้คุณลุก ถ้าตีเป็นเงินไทยตอนนี้ก็ประมาณ 30 กว่าบาท ไอศครีมและเวเฟอร์แค่เนี่ย 30 บาท !! ถ้าอยู่กรุงเทพก็คงกรีดร้องไปละ แต่เพราะเป็นที่นี้ ที่อากาศร้อนชื้นแบบนี้ละมั้ง ที่ทำให้รู้สึกว่า ไอติม 1.20 SGD นี้ กินกี่ครั้งกี่ครั้ง ...ก็คุ้ม
ใบที่ 4
October 29 20.01 Esplanade Hall
'กลางคืน' จุดขายของสิงคโปร์ที่มาเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 ก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ หลอดไฟหลายหลอดที่ทำให้เมืองเล็กๆที่ดูไม่มีอะไรให้ทำมากนักกลับดูมีชีวิตชีวาและกวักมือเรียกผู้คนให้ออกมาเดินเล่น ออกกำลังกาย นั่งชมวิว กินข้าว และแฮงค์เอ้าท์
สำหรับฉัน วันที่ 'กลางคืน' ของที่นี้สวยงามที่สุด คือวันที่ฉันยืนอยู่ที่Sand Sky Park บน Marina Bay Sand และมอง
ใบที่ 5
October 29 20.59 Garden by the Bay
'เมืองอวตาล' ต้นไม้ประหลาดที่เหมือนมีดาวประดับอยู่ สิ่งที่เรียกร้องให้ฉันอยากกลับมาเยี่ยมเยียนประเทศเล็กๆนี้อีกครั้ง ครั้งแรกที่ฉันมาสิงคโปร์ เมืองอวตาลเหล่านี่ยังอยู่ในช่วงกำลังเติบโต กำลังถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่าง และมันก็เสร็จหลังจากฉันที่ฉันกลับไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สวนสาธารณะนี้สร้างจากดินที่ได้จากการถมทะเล ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่สามารถให้พลังงานได้ ความไฮเทคนี้เป็นอะไรที่สร้างความแนวให้กับประเทศนี้ไปเลย รู้สึกเหมือนกำลังมีโลกอนาคตตั้งคู่ขนานกับโลกปัจจุบัน...
ใบที่ 6
October 31 08.07 Moni Gallery Hostel , Serangoon
'โฮสเทล' สถานที่ที่ไม่ได้มีดีแค่ราคาสบายกระเป๋า แต่ที่นี้ เป็นที่อนุญาตให้คนไม่รู้จักกันทักทายกันได้ ยิ้มให้กันได้ พูดคุยกันได้ และ ชวนไปปาร์ตี้กันได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าคุณจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง คุณต้องไม่ตกใจเมื่อเปิดประตูห้องอาบน้ำออกมาจะเจอกับผู้ชายกำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก หรือการที่คุณเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วมีผู้ชายดันอาบน้ำแบบแง้มประตูไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในห้องน้ำรวม
ใบที่ 7
October 30 19.17 Malacca Satay Lok Lok , Jalan Besar Plaza
'Malacca Satay Lok Lok' ร้านอาหารบุฟเฟต์ที่บังเอิญมาเจอะเจอและได้ลิ้มลอง ดูไปดูมามันเหมือนเป็นการผสมกันระหว่าง โอเด้ง และ จิ้มจุ่ม เมื่อได้เมนูbuffet มา นิ้วมือป้อมๆ ของเราก็ชี้ไปที่น้ำซุปที่มีติด tag ไว้ว่า SIGNATURE มันเป็นปกติของคนเรานิเนอะที่มักจะโดนคำว่า signature หลอกได้เสมอ รออยู่ซักพัก หม้อใบใหญ่ที่เติมน้ำมาซะเกือบล้น ถูกนำมาวางบนเตาสีดำที่เอาไว้ใช้ย่างได้ น้ำสีน้ำตาลขนๆชวนให้พวกเราสงสัยเหลือเกินว่านี้มันคืออะไร ก่อนจะบรรจงตักขึ้นมาชิม จนถึงบางอ้อเลยว่า นี่มันน้ำสะเต๊ะใส่ถั่วลิสงนิ !!
ใบที่ 8
October 30 20.28 Arab street
'ย่านอาหรับ' Arab street เป็นถนนที่เชื่อมระหว่าง Jalan Besar street และ Haji lane ถนนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของชาวอาหรับในสิงคโปร์ เป็นส่วนหนึ่งในชุมชมย่าน Kampong Glam เป็นย่านที่อยู่อาศัยกันของชาวมาเล และ ชาวมุสลิม ถนนเส้นนี้ยาวขนานไปกับตึกสองชั้นที่มีสไตล์เฉพาะตัวที่เรียกกันว่า Shop house เปิดค้าขายสินค้าต่างๆ และแหล่งผ้าอาหรับ ต้อนรับคนที่นี้และนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมชุมชนแห่งนี้ทั้งยามวันและกลางคืนให้เลือกซื้อจับจ่ายและเยี่ยมชมวัฒนธรรมเก่าแก่ของอีกเชื้อสายนึงที่รวมอยู่ในประเทศนี้
ประเทศที่มีความหลากหลายเชื้อชาติปะปนกันแต่กลับรวมกันเป็นหนึ่งและทำให้ประเทศเล็กๆนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาอันดับต้นๆ ของภูมิภาค
ใบที่ 9
October 30 20.29 The Ramen Stall, North Bridge Road
'ร้านราเมนไม่มีหมู' The Ramen Stall ร้านอาหารราเมนญี่ปุ่นที่แอบซ่อนอยู่ในชุมชนมุสลิม อยู่บนถนน North Bridge ที่ตัดกับ Arab street ร้านที่ปรับตัวให้เข้ากับคนท้องถิ่ง ร้านราเมนที่ไม่มีหมู ไม่มีน้ำมันหมู และไม่มีเครื่องดื่มมึนเมา และที่ร้านแห่งนี้ช่างสะดุดตาที่สุด ก็เพราะภาพวาด
ใบที่ 10
October 30 20.39 Big Bear Burger, North Bridge Road
'ไอเดีย' ร้านอาหารอีกร้านบนนถนนสาย North Bridge ที่เดินผ่านแล้วต้องหยุดถ่ายรูป ร้าน Big Bear Burger ร้านที่ดึงดูดฉันด้วยแค่ภาพของกินบนเสา !!
ใบที่ 11
October 30 20.39 Sultan Mosque, Muscat street & North Bridge Road
'สถาปัตยกรรม' มัสยิดสุลต่านแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีความสำคัญมากของย่าน Kampong Glam รวมทั้งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของประเทศสิงคโปร์ มัสยิดแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Denis Santry เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Indo-saracenic สถาปัตยกรรมที่ผสมระหว่างอินเดียและยุโรป
ชั่วขณะที่มองเห็นมัสยิดนี้รู้สึกอึ้งในความสวยและความตระการตา โดยเฉพาะสีทองที่กระทบกับแสงโดดเด่นชัดเจน ให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังหลงอยู่ในโลกของอะลาดิน...
ใบที่ 12
October 31 09.46 MacRitchie Reservoir Park
'ที่ที่สบายใจ' MacRitchie Reservoir คือ อ่างเก็บน้ำเก่าแก่ เป็น 1 ใน 4 ของอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเขตป่าสงวนของสิงคโปร์ (Singapore national reserve park ) ภาพของพื้นที่สีเขียวและสีน้ำเงินตัดกับสีท้องฟ้าที่มีมืดครึ้มบ้าง สว่างจ้าบ้าง หรือสีที่ผสมปนเปกันไป ทั้ง ส้ม ทั้งแดงในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะหนีกลับบ้านไป ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาหล่อเลี้ยงคนสิงคโปร์ แต่มันยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่กักเก็บความสุข และความสบายใจ ของคนในประเทศ ...อีกด้วย
ใบที่ 13
October 31 10.03 Prunus trail
'ทางเดินระแนงไม้' Prunus trail ทางเดินระแนงไม้ที่เจอแรกสุด เส้นเปิดของ MacRitchie Nature Trail ทางเดินเส้นสั้นๆพร้อมกับวิวอ่างเก็บน้ำ MacRitchie Reservoir Park ด้านซ้ายมือ จุดจบของ trail จะไปบรรจบที่เส้น MacRitchie Nature Trail อีกครั้ง
ใบที่ 14
October 31 10.03 MacRitchie Nature Trail
'สวนสาธารณะป่า' MacRitchie Nature Trail เส้นทางเดินป่า เห้ยที่มันป่าจริงๆ พื้นดิน หิน กรวด ทราย มีเนินขึ้นลงให้ปวดขาเล่นๆเป็นพักๆ ระยะเส้นทางทั้งรอบก็ประมาณ 10 กว่ากิโลเบาๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงชิวๆ วนรอบ MacRitchie Reservoir ผ่านต้นไม้ ผ่านนก ผ่านลิง ผ่านแมลง และอื่นๆ ขณะที่ก้าวเดินซึบซับบรรยากาศ เราจะพบเห็นคนสิงคโปร์เอย นักท่องเที่ยวเอย ที่มาวิ่งออกกำลังกาย จ็อกกิง และมินิมาราธอนกันอย่างจริงจัง เสื้อกล้ามสีสะท้อนแสง กางเกงกีฬาดูโปร่งสบาย และรองเท้าผ้าใบสีเจ็บๆอย่างดี ในขณะที่ฉันใส่รองเท้าแตะ อย่างเจ็บ !!
ใบที่ 15
October 31 11.32 HSBC TreeTop Walk
'สะพานลอยฟ้า' สะพานแขวนที่พาดยาวเชื่อมเนินเขา 2 ลุกเข้าด้วยกัน มีควาวยาวประมาณ 250 เมตร และสูงจากระดับพื้นประมาณ 60 เมตร TreeTop walk เป็นจุดไฮไลท์ที่อยู่กึ่งกลางของ MacRitchie Nature Trail ร่องรอยเท้าในป่าล้วนแต่เหยียบย่ำเพื่อมาให้ถึงจุดจุดนี้ บนสะพานเมื่อเหยียบเข้ามาแล้วเราต้องอยู่กับมันไปจนสุด เพราะมันเป็นจุดที่มาแล้วไม่สามารถหันกลับได้ เพราะมันดันเป็นเส้นเดินทางเดียว ย้อนศรไม่ได้นะจ๊ะ อยู่บนนั่นค่อยๆซึบซับบรรยากาศ อากาศโปร่งๆ อ๊อกซิเจนชั้นดี เพื่อผ่อนคลาย ปล่อยใจ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และ...ฝรั่ง
[CR] [afootofwanderlust] : 27 ใบ ในสิงคโปร์ ที่ไม่มีน้องสิงโต
... ครั้งนี้ เป็นสิงคโปร์ครั้งที่ 2
และครั้งนี้ น้องสิงโตไม่ใช่ตัวเอก...
-----'ถ้าถามว่าสิงคโปร์มีอะไร คำตอบของฉันก็คงเป็น'----
ใบที่ 1
ช่างเป็นโชคดีของพวกเขาจริงๆ ที่มีหน่วยงานดีๆ อย่าง Urban Redevelopment Authority - URA
ใบที่ 2
'สะพานแนว' ครั้งแรกที่มาสิงคโปร์ จุดหมายที่อยากจะไปเซย์ไฮมากที่สุดก็คือความแนวของสะพาน Henderson wave bridge สะพานไม้ทรงรูปเกลียวคลื่นที่สะกิดต่อมความอยากฮิปยอมนั่งรถประจำทางออกไปเที่ยวหานางเพียงลำพัง มาคราวนี้ต่อมความฮิปก็สะดุดรักกับสะพานเหล็กเกลียวอันนี้อีก คนคิดคิดได้ไง ทำสะพานข้ามฟากธรรมดาให้มันไม่ธรรมดา และที่มันจะโคตรไม่ธรรมดา เพราะเกลียวเหล็ก และ ตัวอักษรที่สะพานนี้มันมาจากสิ่งที่เรียกว่า "DNA"
ใบที่ 3
'ไอติมเวเฟอร์ประกบ' ระหว่างทางจากตึกน้องทุเรียน (Esplanade) ไปหาน้องสิงโต (Merlion) จะมีรถเข็นไอศครีมคันเล็ก 1 คัน คุณลุงหน้าจีน 1 คน และคนยืนรอบๆ หลายคน พวกเขารวมทั้งฉันกำลังยืนรอคุณลุงหยิบไอศครีมก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าอ่านยี่ห้อได้ว่า Magnolia ออกมาจากตู้ ไอศครีมมีหลายสี มีหลายสีตามรสชาติบนเมนู คุณลุงหยิบมีดเล่มยาวหั่นแบ่งไอศครีม 1 ก้อนจะหั่นไ้ปประมาณ 2 ชิ้น หยิบเวเฟอร์สองแผ่นประกบและส่งให้พวกเรา ส่วนเราก็ควัก 1.20 SGD ส่งให้คุณลุก ถ้าตีเป็นเงินไทยตอนนี้ก็ประมาณ 30 กว่าบาท ไอศครีมและเวเฟอร์แค่เนี่ย 30 บาท !! ถ้าอยู่กรุงเทพก็คงกรีดร้องไปละ แต่เพราะเป็นที่นี้ ที่อากาศร้อนชื้นแบบนี้ละมั้ง ที่ทำให้รู้สึกว่า ไอติม 1.20 SGD นี้ กินกี่ครั้งกี่ครั้ง ...ก็คุ้ม
ใบที่ 4
'กลางคืน' จุดขายของสิงคโปร์ที่มาเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 ก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ หลอดไฟหลายหลอดที่ทำให้เมืองเล็กๆที่ดูไม่มีอะไรให้ทำมากนักกลับดูมีชีวิตชีวาและกวักมือเรียกผู้คนให้ออกมาเดินเล่น ออกกำลังกาย นั่งชมวิว กินข้าว และแฮงค์เอ้าท์
สำหรับฉัน วันที่ 'กลางคืน' ของที่นี้สวยงามที่สุด คือวันที่ฉันยืนอยู่ที่Sand Sky Park บน Marina Bay Sand และมอง
ใบที่ 5
'เมืองอวตาล' ต้นไม้ประหลาดที่เหมือนมีดาวประดับอยู่ สิ่งที่เรียกร้องให้ฉันอยากกลับมาเยี่ยมเยียนประเทศเล็กๆนี้อีกครั้ง ครั้งแรกที่ฉันมาสิงคโปร์ เมืองอวตาลเหล่านี่ยังอยู่ในช่วงกำลังเติบโต กำลังถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่าง และมันก็เสร็จหลังจากฉันที่ฉันกลับไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สวนสาธารณะนี้สร้างจากดินที่ได้จากการถมทะเล ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่สามารถให้พลังงานได้ ความไฮเทคนี้เป็นอะไรที่สร้างความแนวให้กับประเทศนี้ไปเลย รู้สึกเหมือนกำลังมีโลกอนาคตตั้งคู่ขนานกับโลกปัจจุบัน...
ใบที่ 6
'โฮสเทล' สถานที่ที่ไม่ได้มีดีแค่ราคาสบายกระเป๋า แต่ที่นี้ เป็นที่อนุญาตให้คนไม่รู้จักกันทักทายกันได้ ยิ้มให้กันได้ พูดคุยกันได้ และ ชวนไปปาร์ตี้กันได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าคุณจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง คุณต้องไม่ตกใจเมื่อเปิดประตูห้องอาบน้ำออกมาจะเจอกับผู้ชายกำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก หรือการที่คุณเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วมีผู้ชายดันอาบน้ำแบบแง้มประตูไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในห้องน้ำรวม
ใบที่ 7
'Malacca Satay Lok Lok' ร้านอาหารบุฟเฟต์ที่บังเอิญมาเจอะเจอและได้ลิ้มลอง ดูไปดูมามันเหมือนเป็นการผสมกันระหว่าง โอเด้ง และ จิ้มจุ่ม เมื่อได้เมนูbuffet มา นิ้วมือป้อมๆ ของเราก็ชี้ไปที่น้ำซุปที่มีติด tag ไว้ว่า SIGNATURE มันเป็นปกติของคนเรานิเนอะที่มักจะโดนคำว่า signature หลอกได้เสมอ รออยู่ซักพัก หม้อใบใหญ่ที่เติมน้ำมาซะเกือบล้น ถูกนำมาวางบนเตาสีดำที่เอาไว้ใช้ย่างได้ น้ำสีน้ำตาลขนๆชวนให้พวกเราสงสัยเหลือเกินว่านี้มันคืออะไร ก่อนจะบรรจงตักขึ้นมาชิม จนถึงบางอ้อเลยว่า นี่มันน้ำสะเต๊ะใส่ถั่วลิสงนิ !!
ใบที่ 8
'ย่านอาหรับ' Arab street เป็นถนนที่เชื่อมระหว่าง Jalan Besar street และ Haji lane ถนนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของชาวอาหรับในสิงคโปร์ เป็นส่วนหนึ่งในชุมชมย่าน Kampong Glam เป็นย่านที่อยู่อาศัยกันของชาวมาเล และ ชาวมุสลิม ถนนเส้นนี้ยาวขนานไปกับตึกสองชั้นที่มีสไตล์เฉพาะตัวที่เรียกกันว่า Shop house เปิดค้าขายสินค้าต่างๆ และแหล่งผ้าอาหรับ ต้อนรับคนที่นี้และนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมชุมชนแห่งนี้ทั้งยามวันและกลางคืนให้เลือกซื้อจับจ่ายและเยี่ยมชมวัฒนธรรมเก่าแก่ของอีกเชื้อสายนึงที่รวมอยู่ในประเทศนี้
ประเทศที่มีความหลากหลายเชื้อชาติปะปนกันแต่กลับรวมกันเป็นหนึ่งและทำให้ประเทศเล็กๆนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาอันดับต้นๆ ของภูมิภาค
ใบที่ 9
'ร้านราเมนไม่มีหมู' The Ramen Stall ร้านอาหารราเมนญี่ปุ่นที่แอบซ่อนอยู่ในชุมชนมุสลิม อยู่บนถนน North Bridge ที่ตัดกับ Arab street ร้านที่ปรับตัวให้เข้ากับคนท้องถิ่ง ร้านราเมนที่ไม่มีหมู ไม่มีน้ำมันหมู และไม่มีเครื่องดื่มมึนเมา และที่ร้านแห่งนี้ช่างสะดุดตาที่สุด ก็เพราะภาพวาด
ใบที่ 10
'ไอเดีย' ร้านอาหารอีกร้านบนนถนนสาย North Bridge ที่เดินผ่านแล้วต้องหยุดถ่ายรูป ร้าน Big Bear Burger ร้านที่ดึงดูดฉันด้วยแค่ภาพของกินบนเสา !!
ใบที่ 11
'สถาปัตยกรรม' มัสยิดสุลต่านแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีความสำคัญมากของย่าน Kampong Glam รวมทั้งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของประเทศสิงคโปร์ มัสยิดแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Denis Santry เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Indo-saracenic สถาปัตยกรรมที่ผสมระหว่างอินเดียและยุโรป
ชั่วขณะที่มองเห็นมัสยิดนี้รู้สึกอึ้งในความสวยและความตระการตา โดยเฉพาะสีทองที่กระทบกับแสงโดดเด่นชัดเจน ให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังหลงอยู่ในโลกของอะลาดิน...
ใบที่ 12
'ที่ที่สบายใจ' MacRitchie Reservoir คือ อ่างเก็บน้ำเก่าแก่ เป็น 1 ใน 4 ของอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเขตป่าสงวนของสิงคโปร์ (Singapore national reserve park ) ภาพของพื้นที่สีเขียวและสีน้ำเงินตัดกับสีท้องฟ้าที่มีมืดครึ้มบ้าง สว่างจ้าบ้าง หรือสีที่ผสมปนเปกันไป ทั้ง ส้ม ทั้งแดงในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะหนีกลับบ้านไป ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาหล่อเลี้ยงคนสิงคโปร์ แต่มันยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่กักเก็บความสุข และความสบายใจ ของคนในประเทศ ...อีกด้วย
ใบที่ 13
'ทางเดินระแนงไม้' Prunus trail ทางเดินระแนงไม้ที่เจอแรกสุด เส้นเปิดของ MacRitchie Nature Trail ทางเดินเส้นสั้นๆพร้อมกับวิวอ่างเก็บน้ำ MacRitchie Reservoir Park ด้านซ้ายมือ จุดจบของ trail จะไปบรรจบที่เส้น MacRitchie Nature Trail อีกครั้ง
ใบที่ 14
'สวนสาธารณะป่า' MacRitchie Nature Trail เส้นทางเดินป่า เห้ยที่มันป่าจริงๆ พื้นดิน หิน กรวด ทราย มีเนินขึ้นลงให้ปวดขาเล่นๆเป็นพักๆ ระยะเส้นทางทั้งรอบก็ประมาณ 10 กว่ากิโลเบาๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงชิวๆ วนรอบ MacRitchie Reservoir ผ่านต้นไม้ ผ่านนก ผ่านลิง ผ่านแมลง และอื่นๆ ขณะที่ก้าวเดินซึบซับบรรยากาศ เราจะพบเห็นคนสิงคโปร์เอย นักท่องเที่ยวเอย ที่มาวิ่งออกกำลังกาย จ็อกกิง และมินิมาราธอนกันอย่างจริงจัง เสื้อกล้ามสีสะท้อนแสง กางเกงกีฬาดูโปร่งสบาย และรองเท้าผ้าใบสีเจ็บๆอย่างดี ในขณะที่ฉันใส่รองเท้าแตะ อย่างเจ็บ !!
ใบที่ 15
'สะพานลอยฟ้า' สะพานแขวนที่พาดยาวเชื่อมเนินเขา 2 ลุกเข้าด้วยกัน มีควาวยาวประมาณ 250 เมตร และสูงจากระดับพื้นประมาณ 60 เมตร TreeTop walk เป็นจุดไฮไลท์ที่อยู่กึ่งกลางของ MacRitchie Nature Trail ร่องรอยเท้าในป่าล้วนแต่เหยียบย่ำเพื่อมาให้ถึงจุดจุดนี้ บนสะพานเมื่อเหยียบเข้ามาแล้วเราต้องอยู่กับมันไปจนสุด เพราะมันเป็นจุดที่มาแล้วไม่สามารถหันกลับได้ เพราะมันดันเป็นเส้นเดินทางเดียว ย้อนศรไม่ได้นะจ๊ะ อยู่บนนั่นค่อยๆซึบซับบรรยากาศ อากาศโปร่งๆ อ๊อกซิเจนชั้นดี เพื่อผ่อนคลาย ปล่อยใจ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และ...ฝรั่ง
afootofwɔndə:,ləst
by : http://afootofwanderlust.blogspot.com
IG : https://www.instagram.com/afootofwanderlust/
FB : https://www.facebook.com/afootofwanderlust/
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น