หากใครติดตามข่าวต่างประเทศเป็นประจำน่าจะเคยได้ยินข่าวโศกนาฏกรรมเบงกาซี ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่อันดับ2ของลิเบียวันที่ 11 กันยายน 2012 เมื่อม็อบจำนวนมากบุกเข้าโจมตีที่พำนักของ คริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย รวมถึงฐานลับในเบงกาซีของสหรัฐฯ ทำให้ทูตคริสโตเฟอร์และเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน3คนเสียชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้นนอกจากลิเบียจะถูกประณามจากทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯเองก็ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย จน ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศถูกไต่สาน และเธอต้องออกมาแถลงขอโทษ
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือขายดีชื่อ 13 Hours ของ มิทเชล ซัคคอฟฟ์ และเหล่านาวิกโยธินที่รอดชีวิต ต่อมาเรื่องนี้ไปเตะตา ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมทำลายล้าง จึงนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi เขียนบทโดย ชัค โฮแกน เจ้าของผลงาน The Town
หนังเล่าถึงช่วงหลังอาหรับสปริง ประเทศลิเบียกลายสภาพเป็นรัฐล้มเหลว บ้านป่าเมืองเถื่อนที่คนขายปืนกันในตลาดแบบโจ๋งครึ่ม ก่อน 11 กันยายน 2012 วันครบรอบ 911 แจ็ค ซิลวา (จอห์น กราซินสกี้) อดีตนาวิกโยธินได้รับการว่าจ้างให้มาคุ้มครองฐานลับของสหรัฐฯในเบงกาซี ลิเบีย โดยมี โรน วู้ดส (เจมส์ แบดจ์ เดล) เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งต่อมา โรน แจ็ค ทันโต้ บูน ทิก ออซ เป็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธิน 6 นาย ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตชาวอเมริกันหลายสิบคนในคืนเดือดที่จะตามหลอกหลอนพวกเขาไปชั่วชีวิต
บทภาพยนตร์มุ่งยกย่องวีรกรรมอันกล้าหาญของทหารกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้กับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวนมากซึ่งดาหน้าบุกเข้าหาตลอด 13 ชั่วโมง แม้จะพอทราบเรื่องราวมาบ้างก็ยังดูสนุก ลุ้นระทึกไปกับการเอาตัวรอดของตัวละครในห้วงเวลาวิกฤติ ชอบบรรยากาศหวาดระแวงจากความวุ่นวายอลหม่านของสถานการณ์สับสนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยู่ฝ่ายไหน มิตรหรือศัตรู หลายอย่างทำให้นึกถึง Black Hawk Down ชื่นชมความรับผิดชอบของ นาวิกโยธินทั้ง6นาย ถึงจะเสียเปรียบเรื่องคนพวกเขาก็สู้ไม่ถอย แสดงถึงความเป็นมืออาชีพมากๆ เสียดายพาร์ทดราม่ายังด้อยกว่า Lone Survivor เยอะ
การบอกเล่าผ่านมุมมองของทหารนาวิกโยธินหรือฝ่ายบู๊น่าสนใจในแง่ที่ภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกมองว่า โหดร้าย ป่าเถื่อน เลือดเย็น ใช้แต่กำลัง ซึ่งในเรื่องนี้ไม่เหมือน American Sniper ที่ตัวละครสมัครใจไปรบ ภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ผิดกับ 13 Hours นาวิกโยธินหลายคนมีความจำเป็นต้องทิ้งลูกทิ้งเมียมาทำงานที่จะเรียกว่าอันตรายที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็ยังส่งเสียงตัดพ้อต่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯจากคนผู้น้อยตัวเล็กๆในกระทรวง ทั้งประเด็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ผู้เสี่ยงภัย และปัญหาการออกคำสั่งในสายงานการบังคับบัญชาที่ยุ่งเหยิง ทำให้เกิดความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือจนนำไปสู่การสูญเสีย (มีแอบแขวะเรียกเจ้าหน้าที่ CIA สายบุ๋นว่าพวกสายลับ เจมส์ บอนด์ ถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกเพราะหน้าสิ่วหน้าขวานกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย)
ไมเคิล เบย์ ยังคงบ้าพลังเหมือนเดิม จัดเต็มฉากแอ็คชั่นตามสไตล์ โดยเฉพาะตอนท้ายพีคมาก ยิงกันหูดับตับไหม้ งานภาพสวยแปลกตาด้วยการใช้เทคนิคสโลว์ สะเก็ดระเบิดสวยคล้ายกับไฟเย็น มุมกล้องตามลูกปืนครกจากปล่องขึ้นฟ้าก่อนจะค่อยๆตกลงพื้นก็เจ็งดี ทว่าหนังมาตกมาตายตรงยาวเกินไป(อีกแล้ว) มียืดๆอยู่หลายตอน ชั่วโมงแรกของหนังจึงทำให้ผู้ชมหลายคนเกิดอารมณ์อึดอัด ตรึงเครียดเล็กๆ ส่วนความกดดันยังไม่เท่า The Hurt Locker
จอห์น กราซินสกี้ ทำได้ดีพอสมควรกับการรับบทนำในหนังใหญ่ครั้งแรก ด้าน เจมส์ แบดจ์ เดล เปลี่ยนลุคจนแทบจำไม่ได้ คาแร็กเตอร์ของเขาเด่นกว่าใคร สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเป็นทหารจริงๆ แถมยังเป็นผู้นำที่ดีด้วย แต่ที่ขโมยซีนสร้างสีสันได้มากคือ Peyman Moaadi ซึ่งแสดงเป็น Amahl ล่ามชาวลิเบีย อีกคนที่น่าพูดถึง Alexia Barlier เจ้าหน้าที่ CIA สาว ตัวแทนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายนั่งโต๊ะ นานๆทีถึงออกภาคสนาม เธอคือตัวแทนของผู้หญิงคนเดียวในหนัง
หากมองกว้างๆ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi พูดแต่ในมุมของอเมริกันชนฝ่ายเดียว ชี้ให้เห็นถึงการเดินหมากอันผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถามว่าน่าเห็นใจไหม ไม่เลยกับการแอบล้วงลูกเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น โดยไม่เคยสำนึกว่าที่ผ่านมาคนของตัวเองทำลายประเทศไปแล้วกี่ประเทศ ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปแล้วกี่คน แต่สิ่งที่น่าอดสูที่สุดก็คือ แม้แต่ในประเทศที่(อ้างว่า)เจริญกว่าใครอย่างสหรัฐฯ คำว่า วีรบุรุษ ยังคงต้องแลกมาด้วยชีวิต
คะแนน 7.5/10
โดย นกไซเบอร์
เครดิต
https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ตัวอย่างหนัง
http://movie.bugaboo.tv/watch/212852/?link=4
รีวิวหนัง : 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi คืนเดือดในลิเบีย
หากใครติดตามข่าวต่างประเทศเป็นประจำน่าจะเคยได้ยินข่าวโศกนาฏกรรมเบงกาซี ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่อันดับ2ของลิเบียวันที่ 11 กันยายน 2012 เมื่อม็อบจำนวนมากบุกเข้าโจมตีที่พำนักของ คริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย รวมถึงฐานลับในเบงกาซีของสหรัฐฯ ทำให้ทูตคริสโตเฟอร์และเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน3คนเสียชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้นนอกจากลิเบียจะถูกประณามจากทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯเองก็ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย จน ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศถูกไต่สาน และเธอต้องออกมาแถลงขอโทษ
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือขายดีชื่อ 13 Hours ของ มิทเชล ซัคคอฟฟ์ และเหล่านาวิกโยธินที่รอดชีวิต ต่อมาเรื่องนี้ไปเตะตา ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมทำลายล้าง จึงนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi เขียนบทโดย ชัค โฮแกน เจ้าของผลงาน The Town
หนังเล่าถึงช่วงหลังอาหรับสปริง ประเทศลิเบียกลายสภาพเป็นรัฐล้มเหลว บ้านป่าเมืองเถื่อนที่คนขายปืนกันในตลาดแบบโจ๋งครึ่ม ก่อน 11 กันยายน 2012 วันครบรอบ 911 แจ็ค ซิลวา (จอห์น กราซินสกี้) อดีตนาวิกโยธินได้รับการว่าจ้างให้มาคุ้มครองฐานลับของสหรัฐฯในเบงกาซี ลิเบีย โดยมี โรน วู้ดส (เจมส์ แบดจ์ เดล) เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งต่อมา โรน แจ็ค ทันโต้ บูน ทิก ออซ เป็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธิน 6 นาย ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตชาวอเมริกันหลายสิบคนในคืนเดือดที่จะตามหลอกหลอนพวกเขาไปชั่วชีวิต
บทภาพยนตร์มุ่งยกย่องวีรกรรมอันกล้าหาญของทหารกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้กับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวนมากซึ่งดาหน้าบุกเข้าหาตลอด 13 ชั่วโมง แม้จะพอทราบเรื่องราวมาบ้างก็ยังดูสนุก ลุ้นระทึกไปกับการเอาตัวรอดของตัวละครในห้วงเวลาวิกฤติ ชอบบรรยากาศหวาดระแวงจากความวุ่นวายอลหม่านของสถานการณ์สับสนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยู่ฝ่ายไหน มิตรหรือศัตรู หลายอย่างทำให้นึกถึง Black Hawk Down ชื่นชมความรับผิดชอบของ นาวิกโยธินทั้ง6นาย ถึงจะเสียเปรียบเรื่องคนพวกเขาก็สู้ไม่ถอย แสดงถึงความเป็นมืออาชีพมากๆ เสียดายพาร์ทดราม่ายังด้อยกว่า Lone Survivor เยอะ
การบอกเล่าผ่านมุมมองของทหารนาวิกโยธินหรือฝ่ายบู๊น่าสนใจในแง่ที่ภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกมองว่า โหดร้าย ป่าเถื่อน เลือดเย็น ใช้แต่กำลัง ซึ่งในเรื่องนี้ไม่เหมือน American Sniper ที่ตัวละครสมัครใจไปรบ ภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ผิดกับ 13 Hours นาวิกโยธินหลายคนมีความจำเป็นต้องทิ้งลูกทิ้งเมียมาทำงานที่จะเรียกว่าอันตรายที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็ยังส่งเสียงตัดพ้อต่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯจากคนผู้น้อยตัวเล็กๆในกระทรวง ทั้งประเด็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ผู้เสี่ยงภัย และปัญหาการออกคำสั่งในสายงานการบังคับบัญชาที่ยุ่งเหยิง ทำให้เกิดความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือจนนำไปสู่การสูญเสีย (มีแอบแขวะเรียกเจ้าหน้าที่ CIA สายบุ๋นว่าพวกสายลับ เจมส์ บอนด์ ถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกเพราะหน้าสิ่วหน้าขวานกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย)
ไมเคิล เบย์ ยังคงบ้าพลังเหมือนเดิม จัดเต็มฉากแอ็คชั่นตามสไตล์ โดยเฉพาะตอนท้ายพีคมาก ยิงกันหูดับตับไหม้ งานภาพสวยแปลกตาด้วยการใช้เทคนิคสโลว์ สะเก็ดระเบิดสวยคล้ายกับไฟเย็น มุมกล้องตามลูกปืนครกจากปล่องขึ้นฟ้าก่อนจะค่อยๆตกลงพื้นก็เจ็งดี ทว่าหนังมาตกมาตายตรงยาวเกินไป(อีกแล้ว) มียืดๆอยู่หลายตอน ชั่วโมงแรกของหนังจึงทำให้ผู้ชมหลายคนเกิดอารมณ์อึดอัด ตรึงเครียดเล็กๆ ส่วนความกดดันยังไม่เท่า The Hurt Locker
จอห์น กราซินสกี้ ทำได้ดีพอสมควรกับการรับบทนำในหนังใหญ่ครั้งแรก ด้าน เจมส์ แบดจ์ เดล เปลี่ยนลุคจนแทบจำไม่ได้ คาแร็กเตอร์ของเขาเด่นกว่าใคร สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเป็นทหารจริงๆ แถมยังเป็นผู้นำที่ดีด้วย แต่ที่ขโมยซีนสร้างสีสันได้มากคือ Peyman Moaadi ซึ่งแสดงเป็น Amahl ล่ามชาวลิเบีย อีกคนที่น่าพูดถึง Alexia Barlier เจ้าหน้าที่ CIA สาว ตัวแทนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายนั่งโต๊ะ นานๆทีถึงออกภาคสนาม เธอคือตัวแทนของผู้หญิงคนเดียวในหนัง
หากมองกว้างๆ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi พูดแต่ในมุมของอเมริกันชนฝ่ายเดียว ชี้ให้เห็นถึงการเดินหมากอันผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถามว่าน่าเห็นใจไหม ไม่เลยกับการแอบล้วงลูกเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น โดยไม่เคยสำนึกว่าที่ผ่านมาคนของตัวเองทำลายประเทศไปแล้วกี่ประเทศ ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปแล้วกี่คน แต่สิ่งที่น่าอดสูที่สุดก็คือ แม้แต่ในประเทศที่(อ้างว่า)เจริญกว่าใครอย่างสหรัฐฯ คำว่า วีรบุรุษ ยังคงต้องแลกมาด้วยชีวิต
คะแนน 7.5/10
โดย นกไซเบอร์
เครดิต https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ตัวอย่างหนัง http://movie.bugaboo.tv/watch/212852/?link=4