เดินเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ถ่ายรูปตึกที่พาหุรัด เยาวราช

หายไปจากพันทิปนานเลย วันนี้ว่างพอดีเลยแวะกลับเอารูปมาให้ดูกันเล่นๆเผื่อจะมีคนติชมให้ชื่นใจกันบ้าง
แต่ก่อนตั้งแต่กระทู้รูปจากกล้องฟิล์ม มาคราวนี้หันมาจับดิจิตอลแล้วครับ ตอนนี้ใช้ Sony a7 คู่กับเลนส์ 28mm f2 นะครับ
และตามเคย กระทู้ไม่มีสาระเหมือนเดิม เป็นแค่บ่นๆให้ฟังว่าเจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง
จุดประสงค์การตั้งกระทู้ก็แค่อยากหาคนคุยด้วยน่ะครับ อยากให้มาแลกเปลี่ยนกันนะ ทั้งเรื่องรูปเรื่องเที่ยวเลย
เข้าเรื่องกันดีกว่า ผมแบ่งเป็นสองทริปนะครับ ทริปพาหุรัดกับเยาวราช ไปวันละที่ ไปกันเลยดีกว่า



วันนั้นเราเริ่มจากสถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพง นัดเจอกับเพื่อนตอนประมาณบ่ายสอง ขึ้นจากรถไปใต้ดินตรงไปที่ทางออก 1 กะว่าจะเรียกตุ๊กตุ๊กไปลงพาหุรัด เป้าหมายคืออยากดูผ้าไปทำกระเป๋าแล้วก็อยากลองกินอาหารอินเดียด้วย พอดีกับเพื่อนทักมาเมื่อวันก่อนว่ามีเวลาว่างก่อนไปเรียนตอนเย็น เลยชวนกันไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยดีกว่า กลับมาต่อเรื่องตุ๊กตุ๊ก เจอราคาคนไทยกันเองเข้าไปพี่คนขับคิด 150 บาทถ้วน อืม ไปขึ้นรถเมล์ก็ได้ นั่งสาย 40 ไปลงพาหุรัดในราคาคนละ 13 บาท ประหยัดไปตั้งเยอะเลยคนไทย


รถพาไปส่งตรงไหนก็ไม่รู้ของพาหุรัดแต่กระเป๋ารถเมล์บอกว่าพาหุรัดเราก็เลยเชื่อว่าพาหุรัด ทั้งๆที่ตามเซ้นส์แล้วเราว่านี่มันสำเพ็งมากกว่า แต่ช่างเถอะ หิว หาอะไรกินดีกว่า


เป้าหมายคือร้านอาหารอินเดียชื่อ Punjab Sweets Bangkok เห็นในอินสตาแกรมของพี่คนนึงเมื่อสองสามวันก่อนเลยอยากลองบ้าง เปิดแผนที่จากในกูเกิลแมพแล้วเดินตามเข้าตรอกเข้าซอย โผล่มาอีกทีก็มายืนงงๆอยู่สะพานหันแล้ว หันซ้ายหันขวาเจอป้ายร้านอะไร Pun นี่แหละ ใช่แล้วร้านที่ตามหา หลับหูหลับตาเดินเข้าไปมึนๆนั่นแหละ ความพีคอยู่ตรงที่กลับมาถึงห้องแล้วถึงรู้ว่ามันคนละร้านกับในลายแทง ร้านที่เรากินมันชื่อ Punjabi
Dhaba


รูปถ่ายจากหลังร้าน อินดงอินเดียมากมีแต่พี่แขก


บรรยากาศในร้านก็เหมือนร้านอาหารชาติอื่น ต่างกันตรงที่ทุกคนในร้านเป็นอินเดีย พูดกันแต่ภาษาอินเดีย ทีวีเปิดเอ็มวีเพลงอินเดียที่เพื่อนบอกว่าพระเอกหล่อมาก แล้วในร้านก็ไม่ได้ฉุนเครื่องเทศแบบที่จินตนาการไว้ ซึ่งดีแล้วเดี๋ยวหัวเหม็น

ความบันเทิงเริ่มที่สั่งอาหารนี่แหละ ภาษาอังกฤษน่ะอ่านออก แต่อ่านออกแล้วไงในเมื่อเมนูเป็นแบบ Samosa Masala แล้วก็บลาๆๆซึ่งเป็นทับศัพท์ภาษาอินเดีย อ่านออกก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่สั่งคืออะไร สุดท้ายขอเพลย์เซฟสั่งที่พอจะรู้จักไปสี่ห้าอย่างมี Chicken Curry, Cheese Naan, Masala Tea, Samosa, แล้วก็ขนม Gulab Jamun





อันนี้ Samosa เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย คล้ายกะหรี่ปั๊บไส้ถั่วบ้านเราแล้วมีน้ำราดหวานๆ โอเคเลย กินได้


ขนม Gulab Jamun ขนมไส้นมกับอะไรก็ไม่รู้ หวานมาก มากๆๆ หอมๆกลิ่นนมด้วย


Masala Tea อร่อยสุดในมื้อนี้ละ ชานมต้มกับขิง กระวาน พริกไทยดำ กานพลู อบเชย กินกับขนม Gulab Jamun เข้ากันมาก อุ่นๆหอมๆ ถ้าได้กินตอนป่วยๆคงจะดีไม่น้อย


สภาพความเลอะเทอะ ตอนแรกก็ใช้ช้อนส้อมอยู่ดีๆทำไปทำมาเกิดเข้าถึงจิตวิญญาณอาหารอินเดียเลยใช้มือจ้วงมันเลย บ้านๆแมนๆนี่หละ แล้วที่ต้องใช้มือก็เพราะนานน่ะถ้าปล่อยไว้นานๆนานจะกลายเป็นเหนียว (อ่านรู้เรื่องมั้ยน่ะมีแต่คำว่านาน)


อิ่มแล้วเรียบร้อย มื้อนี้ 205 บาท ออกมาจากร้านแบบอิ่มเอมมาก อิ่มเหมือนงูเหลือมกินหมา แทบเดินไม่ไหว อาหารอินเดียครั้งแรกก็ไม่ได้น่าเกลียดนะ ก็กินได้ ไม่แย่อย่างที่โดนสปอยล์มา ไม่เหม็นเครื่องเทศด้วยหรือเพราะเราชอบก็ไม่รู้


จุดหมายต่อไปคือห้างดิโอลด์สยาม เคยนั่งรถผ่านแล้วรู้สึกว่าตึกนี้สีสวยดี อยากไปดูผ้าด้วยเพราะอ่านเจอมาว่ามีร้านขายผ้าญี่ปุ่นสวยๆอยู่ แต่ระหว่างทางหันไปไปหันมารอบตัวมีแต่อาคารสวยๆเลยถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเลย




เดินมาถึงดิโอลด์สยามก็อยากกรี๊ดจนเสียบุคลิก ตึกบ้าอะไรก็ไม่รู้สีสวยมาก มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด คุ้มค่ากับการเดินมามากๆ เสียเวลาถ่ายรูปอยู่นานเลย หันไปทางไหนก็ดีไปหมด






เจอตึกสีแบบนนี้แล้วท้องฟ้าสวยขนาดนั้นก็ชื่นใจแล้ว วันนี้ออกมาไม่เสียเที่ยวแล้ว ได้รูปถูกใจเยอะเลย พอใจแล้วก็เข้าไปเดินในห้างดีกว่า





ในดิโอลด์แบ่งเป็นโซนขายของต่างกันไป ชั้นสองเป็นผ้าไทย ชั้นบนสุดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วก็มีร้านอาหารฟาสฟู้ดด้วย โซนอาหารไทยขนมไทยก็มี มาที่เดียวครบเลย คนก็ไม่ค่อยพลุกพล่านมากเดินได้สบายๆ ส่วนเรื่องตามหาร้านผ้าก็หาร้านไม่เจอ ไม่รู้เราเซ่อหรือร้านหายไปแล้วก็ไม่รู้


จากในดิโอลด์มองไปจะเห็นอะไรไม่รู้ยอดแหลมๆสีทองๆ เพื่อนเปิดกูเกิลดูบอกว่าเป็นวัดสิกข์คุรุดวารา เวลายังพอมีอยู่เลยชวนกันไปดูสักหน่อย เดินออกมาเจอห้างไนติงเกลในตำนานจดลงไว้ว่าโอกาสหน้าจะมาช้อปปิ้ง




สุดท้ายเราไปจบทริปนี้กันที่วัดสิกข์แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะทางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน ข้างในวัดจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำว่าต้องทำอะไรตรงไหนบ้าง ทุกคนใจดีหมดเลย รู้สึกดีๆมากๆ เดินเล่นอยู่พักนึงก็ถึงเวลาเพื่อนต้องกลับไปเรียนเลยแยกย้ายกันไปเป็นอันจบทริปวันนั้น


ต่อไปเป็นทริปอีกวันนึงไปเยาวราชกัน




คราวก่อนไปพาหุรัดเลยติดใจอยากไปดูตึกที่เยาวราชบ้าง ปกติไปเยาวราชบ่อยแต่ไปช่วงเย็นๆดึกๆตลอด ไม่เคยเดินเยาวราชตอนกลางวันเลย ด้วยความเป็นปีชงของเพื่อนคนนึงในกลุ่มหรือเปล่าไม่รู้ทำให้หยิบจับอะไรก็วอดวายไปหมดจนจิตตกทวีตมาว่าพาไปทำบุญหน่อย ไอ้เราก็เป็นห่วงเพื่อน(เหรอ)เลยอาสาพาไปสะเดาะเคราะห์ ไปทั้งทีก็ไปเยาวราชเลยแล้วกัน ตกลงกันเรียบร้อยเป็นอันว่าเจอกันที่รถไฟใต้ดินหัวลำโพงตอนแปดโมงเช้า





เดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆก็มาถึงวัดมังกรกมลาวาศหรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดเล่งเน่ยยี่ ปล่อยเพื่อนไปไหว้พระสะเดาะเคราะห์ไปส่วนเราก็เดินถ่ายรูปดูผู้ดูคน วัดมังกรตอนเช้าคนไม่ค่อยเยอะมาก เดินได้สบายๆแต่ก็ยังไม่วายโดนธูปจี้แขน ถือซะว่าฟาดเคราะห์ละกัน


ทำบุญเสร็จแล้วก็ถึงตาเราบ้าง เดินเข้าซอยทะลุไปเยาวราชกันต่อ ที่คิดไว้คือเยาวราชตอนกลางวันจะเงียบๆ ร้านไม่ค่อยเปิด ไม่ค่อยมีคนเดิน สรุปว่าผิดหมดเลย รถเยอะคนแยะร้านค้าเปิดหมดทุกร้านเว้นแต่ร้านรถเข็นกับแผงลอยที่จะมีมาเสริมตอนช่วงเย็น ตั้งใจว่าจะกินแป๊ะก๊วยนมสดแต่ร้านก็ยังไม่มาเปิด หงอยไปเลย





เยาวราชเป็นย่านที่ของกินอร่อย หมูกรอบอร่อย เป็ดย่างอร่อย แป๊ะก๊วยนมสดอร่อย ไอติมโบราณอร่อย เกาลัดก็อร่อย เรียกได้ว่ามีแต่ของอร่อยไปตลอดตั้งแต่หัวถนนยันปลายถนน วันนั้นเราทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านข้าวหมูกรอบเจ้าประจำที่ตอนเย็นจะมีร้านข้าวหน้าเป็ดมาเปิดซ้อนหน้าร้าน บรรยากาศตอนกลางวันต่างกับกลางคืนตรงที่กลางวันคนไทยจะเยอะ แต่ถ้าตกเย็นปุ๊บชาวต่างชาติจะเริ่มยึดครองย่านนี้ไปแล้ว


กินข้าวอิ่มแล้วเรียกเก็บเงิน 2 คนกับเพื่อนรวมกันเป็นเงิน 102 บาท จังหวะที่ถามเพื่อนว่ามี 2 บาท ไหม ลุงเจ้าของร้านก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ เอาแค่นี้แหละ มาเดินเที่ยวกันสินะลูก ขอให้สนุกๆ แล้วลุงก็ยิ้มหวานจนเสียจริตอาเฮียเจ้าของร้านแล้วไปเก็บโต๊ะให้ลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ อะไรจะขนาดนั้นล่ะ ออกจากวัดมาแป๊บเดียวก็เจอเรื่องดีเลย ลุงทำเอาเรายิ้มแก้มแตก ไม่ใช่เพราะงกเงิน 2 บาท แต่ดีใจที่มีคนใจดีด้วย น้ำใจจากคนไม่รู้จักทำให้เราประทับใจได้เสมอ ยิ่งเรียกเราด้วยคำแสดงความเอ็นดูพวกหนู ลูก หนุ่มอะไรพวกนี้ด้วยนะ อยากเข้าไปกอดแรงๆเลย ไม่รู้สิครับ เราว่าเรามักจะมีดวงเรื่องเจอคนใจดีเวลาไปเที่ยว อย่างนึงอาจเป็นเพราะหน้าตาเราเด๋อๆ แต่ในใจเราก็คิดนะว่าความใจดีมีอยู่ในตัวคนไทยอยู่แล้ว แค่บางคนเค้าอาจจะเขินมากไปหน่อยเลยไม่ค่อยแสดงออกน่ะ





กินอิ่มแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะไปไหนต่อ ร้านขนมก็ไม่เปิด ท้องฟ้าก็ไม่สวยถ่ายรูปมาไม่ค่อยจะถูกใจเลย เพื่อนเลยขอให้พาไปโรงพยาบาลหน่อยจะไปล้างแผล ตกลงกันว่าไปราชวิถีแล้วกันเพราะหากจะไปไหนต่อจะได้ตั้งหลักที่อนุสาวรีย์ชัยได้ ระหว่างที่รอรถเมล์ก็มีตาคนนึงเดินค้ำไม่เท้ามารอรถ รถเมล์จอดเทียบท่าคุณตากำลังจะก้าวขึ้นรถแต่อยู่ๆก็ล้มลงไปนอน ตกใจอยู่สองวินาทีก่อนจะวิ่งเข้าไปพยุงคุณตาลุกขึ้นพร้อมกับพี่สาวร้านน้ำทับทิมแถวนั้นที่เข้ามาช่วย กระเป๋ารถเมล์ลงมาพยุงคุณตาจนขึ้นรถไป ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง บางคนอาจพูดให้ดูเท่ว่านี่ไง ความดีมีไว้ส่งต่อ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดแบบนั้น เราเห็นแค่ว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือแล้วเราสามารถช่วยได้เราก็ช่วย


รู้สึกดีจากการได้ช่วยคนอื่นแล้วรถเมล์ก็มาแต่ปรากฎว่าขึ้นผิดฝั่ง พี่กระเป๋ารถเมล์บอกว่าต้องข้ามไปขึ้นอีกทางนึง พอใกล้จะถึงป้ายรถเมล์เราเลยลุกขึ้นเตรียมลง ลุงที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เดินมาบอกเพื่อนว่าให้ขึ้นรถตรงไหนจะได้ไปถึงที่หมาย เอาอีกแล้ว มีคนใจดีด้วยอีกแล้ว ทริปนี้ถ้าไม่ติดว่าเราง่วงไปหน่อยจะถือเป็นทริปที่ดีมากเลย ได้ทำบุญ ได้ถ่ายรูป ได้กินอะไรที่อยากกิน ได้เจอแต่คนใจดี แถมยังได้ทำอะไรดีๆเพื่อคนอื่นด้วย นี่แค่ไปเที่ยวนิดๆหน่อยๆเองยังรู้สึกได้ว่ากลับมาแล้วมีแรงทำอะไรๆมากขึ้นเยอะเลย ขอบคุณความใจดีที่มนุษย์มีต่อกัน



จบแล้วครับกับกระทู้บ่นๆของผมเอง

มีรูปใหญ่ๆลงอยู่ในบล็อกนะ medium.com/@Alekleks ถ้าใครอยากดูก็แวะไปได้
ขอบคุณมากๆครับที่อ่านกัน ติชมได้เลยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่