บาหลีไม่มีเธอ: เมืองในหุบเขา (ตอนที่ 13)

ความเดิมตอนที่แล้ว --> http://ppantip.com/topic/34108068

********************


งบการเที่ยวครั้งนี้บานปลายไปมากจริง ๆ แค่ค่าเช่ารถก็สูงกว่าที่วางแผนไว้เกือบเท่าตัว ยังไม่รวมค่าโน่นนั่นนี่จิปาถะฮิโรชิมะ และที่มีราคาแพงที่สุดน่าจะเป็นค่าโง่ ซึ่งผมก็โง่ไปหลายรูเปียห์เลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนะครับ อย่างน้อยค่าโง่ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น

ถือว่าเป็นค่าคอร์สเรียนรู้ชีวิตก็แล้วกัน

ผมขับรถลงใต้เรื่อย ๆ จนถึงจุดหมายปลายทางของผม

‘วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์’ หรือ Pura Tirta Empul (บ้างก็เรียกว่า Tampak Siring Temple) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะบาหลี อยู่เหนือเมืองอูบูดขึ้นมานิดนึง ตำแหน่งน่าจะเปรียบได้กับจังหวัดสิงห์บุรีของไทย คือจะอยู่ตอนกลางของเกาะ ผมขับรถเข้ามาจอดภายในวัด วัดนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก คึกคักสุด ๆ ที่จอดรถเต็มยิ่งกว่าเอกมัยคืนวันศุกร์ สมกับเป็นวัดยอดนิยมของวงการทัวร์จริง ๆ

ผมหาซื้ออะไรกินนิดหน่อยจะก่อนเดินเข้าไปในวัด ค่าเข้าชมที่นี่ 15,000 รูเปียห์ ผมจ่ายเงินไปเหงื่อไหลไป ตอนอยู่ไทยใช้ชีวิตเยี่ยงเศรษฐี พอมาอยู่บาหลี นี่มันหัวหน้าพรรคยาจกชัด ๆ

ผมเดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงจุดเช่าโสร่ง (อีกครั้ง) แต่การเช่าผ้าที่นี่แตกต่างจากที่วัดเบซากีห์และวัดบาตูร์อย่างสิ้นเชิง ที่นี่เขาตั้งเป็นกล่องรับบริจาค นักท่องเที่ยวสามารถ donate เท่าไรก็ได้ตามกำลังศรัทธา รายได้ก็เข้าวัด ผมชอบโมเดลแบบนี้มากกว่านะ สองวัดแรกเหมือนถูกแทรกแซงโดยภาคเอกชนคนในพื้นที่ เลยทำให้ดูเป็นธุรกิจไปหน่อย รายได้ก็คงไม่ถึงวัดซักเท่าไร

ผมเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ผมเคยเห็นภาพบ่อน้ำพุนี้บ่อยมากตามเว็บไซต์ต่าง ๆ พอได้มาเห็นบ่อน้ำพุของจริงแลยรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตตัวเป็น ๆ ครั้งแรก

บรรยากาศของจริงดูมีมนต์ขลังมากกว่าในรูปภาพหลายเท่านัก ชาวบาหลีซึ่งมีทั้งชาย หญิง หนุ่ม สาว คนแก่ยืนเข้าแถวรอลงไปชำระล้างร่างกายในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ชาวบาหลีเชื่อว่าพระอินทร์เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ถ้าได้มาอาบก็จะเป็นสิริมงคลกับชีวิต สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ผมเห็นฝรั่งสองสามคนยืนหัวทองอยู่ในบ่อ เข้าใจว่าเขาคงอยากลองอาบน้ำดูเหมือนกัน

ชาวบาหลีจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ด้วยกระทงเล็ก ๆ เย็บจากใบไม้สีเขียว ภายในกระทงมีธูปและพวกข้าวตอกดอกไม้ เราจะได้เห็นชาวบาหลีบูชาแท่นน้ำพุด้วยกระทงเล็ก ๆ นี้ด้วยเช่นกัน

ผมไม่ได้ลงไปในบ่อน้ำเพราะไม่ได้เอากางเกงมาเปลี่ยน ทริปนี้ผมเอากางเกงมาแค่ 2 ตัว ตัวนึงใส่อยู่ ส่วนอีกตัวซิปแตก คือตั้งนานตั้งเนเมิงก็ไม่แตกเนาะ พอถึงบาหลีปุ๊บ ซิปแตกปั๊บเลย

ผมเดินเที่ยวชมรอบ ๆ วัด การได้มาบาหลีในช่วงเทศกาลทำให้วัดวาอารามต่าง ๆ ดูคึกคักเป็นพิเศษ ทำให้ผมได้เห็นพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนาฮินดูมากกว่าช่วงเวลาปกติ นับว่าโชคดีจริง ๆ















































ก่อนกลับ ผมเจอนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่นสามคนกำลังถ่ายรูปกันอย่างบ้องแบ๊วสนุกสนาน ข้าง ๆ เป็นผู้หญิงบาหลีวัยกลางคนทูนตะกร้าใบใหญ่ไว้บนหัว ฉากหลังเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เข้ากันอย่างมาก ความน่ารักสดใสของสาวญี่ปุ่นน่าจะเหมาะกับฉากหลังแบบฮาราจุกุอะไรอย่างนี้มากกว่า แต่ภาพที่ผมเห็นตอนนี้เหมือนกำลังมีงานคอสเพลย์ที่เขาพระวิหาร ไม่เข้ากันอย่างแรง
    
“Excuse me. Can you take a picture for us?”

หนึ่งในสามสาวกลุ่มนั้นเอ่ยถาม

จะให้ผมถ่ายแค่รูปเดียว หรือถ่ายให้ตลอดทริปก็ได้นะครับ ^^

********************


ใกล้ ๆ กับวัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘กุนุงคาวี’ (Gunung Kawi) ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ใน A Must List ของผมเช่นกัน

บรรยากาศภายในกุนุงคาวีแตกต่างกับวัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง วัดเมื่อกี้มีนักท่องเที่ยวคึกคักมากแต่ที่นี่กลับเงียบเหงาเศร้าซึม ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวซักเท่าไร ผมขับรถเข้าไปจอดในลานเล็ก ๆ หน้าวัด ทันทีที่เปิดประตูก็มีคุณป้าพุ่งตรงเข้ามา

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ“   

เอ๊ะ!! ทำไมเรารู้สึกคุ้น ๆ กับประโยคนี้จัง เหมือนเคยได้ยินวลีนี้ที่ไหนมาก่อน

ทันใดนั้น ภาพคุณป้าขายโสร่งที่จุดพักรถนาขั้นบันไดเมื่อเช้าลอยเข้ามาในหัว

เฮ้ย!! นี่เมิงเป็นน้องสาวอิป้าคนนั้นใช่มั้ย!!

ทั้งลักษณะท่าทาง รูปแบบการขาย หรือแม้กระทั่งคำพูดเหมือนกันยังกะแกะ ผมว่าที่บาหลีต้องมีโรงเรียนสอนขายโสร่งแน่ ๆ คุณป้าสองคนนี้ต้องจบมาจากสถาบันเดียวกันแน่ ๆ ถึงได้เหมือนกันจนหลอนขนาดนี้

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ“   

“ไม่เอาครับ ๆ”

“ซื้อไว้เถอะน่า เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

“....................”

ผมเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินกลับออกมาจากกุนุงคาวี ก็ไม่เห็นมีใครนุ่งโสร่งอะไร อิป้า นี่เมิงจะหลอกกุใช่มั้ย

“ป้า ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นไม่เห็นต้องใช้โสร่งเลย”

“ใช้สิ แต่เขาเก็บผ้าใส่กระเป๋าแล้ว”

โถ นี่เมิงก็ไปรู้เขาอีกเนาะ

คุณป้าเดินตามผมไปประมาณร้อยเมตร คะยั้นคะยอให้ซื้อผ้าทั้ง ๆ ที่ผมปฏิเสธไปประมาณพันครั้งได้ นี่ถ้าคุณป้าจะตามตื๊อผมขนาดนี้ ผมว่าคุณป้าลองไปเรียนมวยไทยเพิ่มเติม แล้วเปิดบริษัทรับทวงหนี้ จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมว่า work กว่าขายผ้าแน่นอน ฟันธงครับ

บริเวณทางเข้ามีจุดตั้งกล่องรับบริจาค แถมมีโสร่งให้ยืมด้วย ผมแต่งตัวเสร็จก็เดินลงบันไดไปด้านล่าง กุนุงคาวีเป็นมีลักษณะเป็นหุบลึกลงไป สองข้างทางเป็นนาขั้นบันไดสีเขียวสด บรรยากาศร่มรื่น มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านกลางสถานที่แห่งนี้ สองฝั่งลำธารมีหน้าผาหินที่แกะสลักเป็นอนุสาวรีย์อะไรซักอย่าง ใหญ่โตมาก ด้านในมีวัดเล็ก ๆ เหมือนเป็นถ้ำที่แกะจากหินด้วย

นี่มันอะไรกัน ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีไว้ทำอะไร แต่รู้สึกได้เลยว่ากุนุงคาวีต้องเป็นสถานที่ที่พิเศษมาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่สวย ๆ อยู่กลางหุบลึกแบบนี้























ผมเดินเล่นในกุนุงคาวีไม่นานนัก ยอมรับว่ารู้สึกขนลุกเหมือนกันที่ต้องมาเดินในสถานที่แบบนี้คนเดียว คือถ้ามีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ เราก็ยังรู้สึกอุ่นใจ แต่นี่ทั้งหุบเขามีสิ่งมีชีวิตสิริรวมไม่เกิน 6 คน ส่วนสิ่งไม่มีชีวิตผมไม่แน่ใจ

วันนี้เลยต้องขอลาไปก่อน ไว้คราวหน้าเจอกันใหม่จ้า  

“เอาผ้ามั้ย ๆ”

โถ่!! อิป้า!! นี่เมิงยังไม่เลิกขายผ้ากุอีกเหรอเนี่ย!!

To be continued

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่