ไม่นานมานี้ได้อ่านกระทู้คุณนิด(เพชรน้ำนิล)เขียนเล่าชีวิตเด็กอีสานไป อ่านแล้วให้เห็นภาพและระลึกชาติได้เลย วิถีชีวิตคนอีสานส่วนใหญ่ยังคงเรียบง่าย ยิ่งห่างตัวเมืองออกไปก็จะเห็นความเรียบง่ายและความเป็น “บ้านนอก” อย่างชัดเจน
เป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน ว่าถ้าพูดถึงภาคเหนือ>>>ภาพแห่งขุนเขา สายหมอก และความอ่อนช้อยงดงามของประเพณีจะผุดขึ้นในความคิด ถ้าพูดถึงภาคใต้>>>ภาพชายหาดทรายสีขาว ทะเลสีใสใต้ฟ้าสีครามคือสัญญลักษณ์ ถ้าพูดถึงภาคอีสาน >>> ความแห้งแล้ง และความทุรกันดารและสภาพที่ล้าสมัยคืออัตตลักษณ์ของภูมิภาค เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องยอมรับโดยทั่วไป ในส่วนของคนอีสานนั้นแม้จะต้องเผชิญชะตากรรมจากธรรมชาติที่โหดร้ายกว่าภาคอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าคนอีสานส่วนใหญ่ยังคงพอใจที่จะอยู่ในถิ่นฐานของตัวเองกัดฟันกลมกลืนกับสภาวะธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการทิ้งถิ่นฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นไปรูปแบบขายแรงงานและเพื่อการศึกษาที่ดีกว่า และท้ายที่สุดแล้วคนอีสานก็มักจะ “โงโค้งต่าวอีสาน” (แปลว่าบ่ายหน้ากลับสู่อีสาน)เหมือนเดิม
ภัยจากธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อยู่คู่มากับอีสานมาตลอดก็คือความแห้งแล้ง อย่างที่คุณนิดเคยเขียนไว้นั่นแหละครับว่าเนื่องจากทำเลที่ตั้งทางภุมิศาสตร์ไม่เอื้ออำนวย น้ำเป็นปัจจัยสำคัญด้านเกษตรและบริโภค คนที่ใช้ชีวิตในเมืองที่มีน้ำปะปาใช้อาจจะไม่เลึกซึ้งถึงภาวะความลำบากตรงนี้เท่าไหร่ เพียงแต่บิดหัวก๊อกน้ำก็จะไหลออกมา แต่สำหรับคนอีสานในชนบทหลายพื้นที่ ๆ กว้างไกล กว่าจะได้น้ำมาบริโภคต้องเดินทางเป็นกิโลๆ เพื่อตัดน้ำใส่ชลอมมาใส่ตุ่มที่บ้าน บางหมู่บ้านน้ำพื้นดินใต้บาดาลมีรสเปรี้ยวดื่มไม่ได้ ก็ต้องเดินทางไกลข้ามหมู่บ้านอื่นเพื่อไปหาแหล่งน้ำที่ไม่มีรสเปรี้ยวหรือเค็ม ชาวบ้านบางคนไปนอนค้างคืนใกล้บ่อน้ำเลยเพื่อที่จะได้น้ำก่อนใครอื่นก็มี
ในด้านประวัติศาสตร์ ดินแดนอีสานเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมร่วมพันปี หากแต่ว่าประวัติศาสตร์ในยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักขีดเขียนและจดบันทึกแล้วนั้น ดินแดนอีสานแทบจะไม่มีบทบาทหรือความสำคัญโลดแล่นบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยเลยเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ และนี่คงอาจจะเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลกระมังที่ภาครัฐให้ความสำคัญของดินแดนแห่งนี้ไม่มากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับแผ่นดินอันกว้างใหญ่สุดในประเทศไทย (ไม่ได้บ่นหรือน้อยใจอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผิด)
สมัยผมเป็นเด็ก.....หน้าที่อย่างหนึ่งของผมที่ต้องตื่นแต่เช้าก็คือไปตักน้ำมันยางจากต้นยาง(ไม่ใช่ต้นยางพารา แต่เป็นต้นไม้ยืนต้นที่สูงใหญ่ที่คนอีสานเรียกว่าต้นยางใหญ่) เพื่อนำไปคลุกกับขุยไม้แล้วทำเป็นไต้เพื่อจุดไฟให้แสงสว่าง ที่ต้นยาง พ่อจะเจาะโพลงขนาดย่อมๆ แล้วจุดไฟทิ้งไว้หลายชั่วโมง จากนั้นต้นยางใหย่จะคลายน้ำมันออกมาขังไว้ในโพรงที่พ่อเจาะไว้ ทุกๆ เช้าผมก็จะไปตักเอามาเพื่อให้ความสว่างในบ้าน
แปลก....ประเทศไทยซื้อไฟฟ้าจากฝั่งลาวเป็นล้านๆ กิโลวัตต์มาหลายสิบปี(ปัจจุบันนี้ก็ยังซื้ออยู่) แหล่งไฟฟ้าของลาวที่ส่งให้ไทยอยู่ใกล้หมู่บ้านผมแท้ๆ แต่สมัยนั้นพวกผมไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ไฟฟ้าเลย ได้แต่อาศัยไฟจากไต้ที่ทำกันเองตามเล่าไปข้างบน ไฟฟ้าที่ซื้อจากลาว(แหล่งผลิตที่เขื่อนน้ำงึม)ถูกส่งจากลาวผ่านจังหวัดต่างๆ ตรงลงเมืองหลวงและรอบๆ ปริมณฑลเฉยเลย
ในยุคที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนtrend เป็นว่าเล่นนั้น คนอีสานส่วนใหญ่ยังคงพึงพอใจกับความบันเทิงตามแบบฉบับที่หลายคนมองว่าบ้านนอกๆ ของพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็น งานบุญบั้งไฟ งานแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง งานหล่อเทียนถวายพระวันเข้าพรรษา งานทำบุญข้าวประดับดิน งานบุญไหลไฟในแม่น้ำโขง ฯลฯ เรียกได้ว่าที่อีสานจะมีงานบุญประเพณีทุกเดือนตามที่พูดกันติดปากว่า “
ฮีตสิบสองคองสิบสี่” “
ฮีต” แปลว่าจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาทั้งสิบสองเดือน ส่วนคำว่า “
คอง” กร่อนมาจากคำว่า “
ครรลอง” คือแนวทางการประพฤติปฏิบัติ ครรลองสำหรับภรรยา สามี เจ้านาย ลูกน้อง ฯลฯ ที่อิงแอบกับคำสอนพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “
ฆราวาสธรรม” (ธรรมสำหรับผู้ครองเรือนนั่นเอง)
คนอีสานไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไรนักหากความร่ำรวยที่ว่าวัดกันที่เงินตราและรถราที่ขับ แต่ถ้าหากเป็นความร่ำรวยด้าน “ศีลทาน” แล้ว ฐานะของคนอีสานก็คงน่าจะอยู่ระดับต้นๆ ทีเดียว หมู่บ้านในภาคอีสานบางหมู่บ้านดูสภาพแล้วยากจนมาก แต่เมื่อไปเห็นวัดวาอารามแล้วกลับมีโบสถ์มีศาลางดงามไม่แพ้ในเมืองเลย นั่นก็บ่งบอกได้ถึงสถานะความร่ำรวยทาง “ศีลทาน” ของคนในหมู่บ้าน สมดั่งบทกลอนของท่านพุทธทาสที่ว่า
คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศิลทาน ใช่บ้านโต
...ก็เยี่ยงนี้แหละชีวิต ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จะใหดี๊ดีไปเสียทั้งหมดก็คงจะจืดชืดเหลือคณา......by วัชรานนท์
เป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน ว่าถ้าพูดถึงภาคเหนือ>>>ภาพแห่งขุนเขา สายหมอก และความอ่อนช้อยงดงามของประเพณีจะผุดขึ้นในความคิด ถ้าพูดถึงภาคใต้>>>ภาพชายหาดทรายสีขาว ทะเลสีใสใต้ฟ้าสีครามคือสัญญลักษณ์ ถ้าพูดถึงภาคอีสาน >>> ความแห้งแล้ง และความทุรกันดารและสภาพที่ล้าสมัยคืออัตตลักษณ์ของภูมิภาค เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องยอมรับโดยทั่วไป ในส่วนของคนอีสานนั้นแม้จะต้องเผชิญชะตากรรมจากธรรมชาติที่โหดร้ายกว่าภาคอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าคนอีสานส่วนใหญ่ยังคงพอใจที่จะอยู่ในถิ่นฐานของตัวเองกัดฟันกลมกลืนกับสภาวะธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการทิ้งถิ่นฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นไปรูปแบบขายแรงงานและเพื่อการศึกษาที่ดีกว่า และท้ายที่สุดแล้วคนอีสานก็มักจะ “โงโค้งต่าวอีสาน” (แปลว่าบ่ายหน้ากลับสู่อีสาน)เหมือนเดิม
ภัยจากธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อยู่คู่มากับอีสานมาตลอดก็คือความแห้งแล้ง อย่างที่คุณนิดเคยเขียนไว้นั่นแหละครับว่าเนื่องจากทำเลที่ตั้งทางภุมิศาสตร์ไม่เอื้ออำนวย น้ำเป็นปัจจัยสำคัญด้านเกษตรและบริโภค คนที่ใช้ชีวิตในเมืองที่มีน้ำปะปาใช้อาจจะไม่เลึกซึ้งถึงภาวะความลำบากตรงนี้เท่าไหร่ เพียงแต่บิดหัวก๊อกน้ำก็จะไหลออกมา แต่สำหรับคนอีสานในชนบทหลายพื้นที่ ๆ กว้างไกล กว่าจะได้น้ำมาบริโภคต้องเดินทางเป็นกิโลๆ เพื่อตัดน้ำใส่ชลอมมาใส่ตุ่มที่บ้าน บางหมู่บ้านน้ำพื้นดินใต้บาดาลมีรสเปรี้ยวดื่มไม่ได้ ก็ต้องเดินทางไกลข้ามหมู่บ้านอื่นเพื่อไปหาแหล่งน้ำที่ไม่มีรสเปรี้ยวหรือเค็ม ชาวบ้านบางคนไปนอนค้างคืนใกล้บ่อน้ำเลยเพื่อที่จะได้น้ำก่อนใครอื่นก็มี
ในด้านประวัติศาสตร์ ดินแดนอีสานเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมร่วมพันปี หากแต่ว่าประวัติศาสตร์ในยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักขีดเขียนและจดบันทึกแล้วนั้น ดินแดนอีสานแทบจะไม่มีบทบาทหรือความสำคัญโลดแล่นบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยเลยเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ และนี่คงอาจจะเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลกระมังที่ภาครัฐให้ความสำคัญของดินแดนแห่งนี้ไม่มากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับแผ่นดินอันกว้างใหญ่สุดในประเทศไทย (ไม่ได้บ่นหรือน้อยใจอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผิด)
สมัยผมเป็นเด็ก.....หน้าที่อย่างหนึ่งของผมที่ต้องตื่นแต่เช้าก็คือไปตักน้ำมันยางจากต้นยาง(ไม่ใช่ต้นยางพารา แต่เป็นต้นไม้ยืนต้นที่สูงใหญ่ที่คนอีสานเรียกว่าต้นยางใหญ่) เพื่อนำไปคลุกกับขุยไม้แล้วทำเป็นไต้เพื่อจุดไฟให้แสงสว่าง ที่ต้นยาง พ่อจะเจาะโพลงขนาดย่อมๆ แล้วจุดไฟทิ้งไว้หลายชั่วโมง จากนั้นต้นยางใหย่จะคลายน้ำมันออกมาขังไว้ในโพรงที่พ่อเจาะไว้ ทุกๆ เช้าผมก็จะไปตักเอามาเพื่อให้ความสว่างในบ้าน
แปลก....ประเทศไทยซื้อไฟฟ้าจากฝั่งลาวเป็นล้านๆ กิโลวัตต์มาหลายสิบปี(ปัจจุบันนี้ก็ยังซื้ออยู่) แหล่งไฟฟ้าของลาวที่ส่งให้ไทยอยู่ใกล้หมู่บ้านผมแท้ๆ แต่สมัยนั้นพวกผมไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ไฟฟ้าเลย ได้แต่อาศัยไฟจากไต้ที่ทำกันเองตามเล่าไปข้างบน ไฟฟ้าที่ซื้อจากลาว(แหล่งผลิตที่เขื่อนน้ำงึม)ถูกส่งจากลาวผ่านจังหวัดต่างๆ ตรงลงเมืองหลวงและรอบๆ ปริมณฑลเฉยเลย
ในยุคที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนtrend เป็นว่าเล่นนั้น คนอีสานส่วนใหญ่ยังคงพึงพอใจกับความบันเทิงตามแบบฉบับที่หลายคนมองว่าบ้านนอกๆ ของพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็น งานบุญบั้งไฟ งานแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง งานหล่อเทียนถวายพระวันเข้าพรรษา งานทำบุญข้าวประดับดิน งานบุญไหลไฟในแม่น้ำโขง ฯลฯ เรียกได้ว่าที่อีสานจะมีงานบุญประเพณีทุกเดือนตามที่พูดกันติดปากว่า “ฮีตสิบสองคองสิบสี่” “ฮีต” แปลว่าจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาทั้งสิบสองเดือน ส่วนคำว่า “คอง” กร่อนมาจากคำว่า “ครรลอง” คือแนวทางการประพฤติปฏิบัติ ครรลองสำหรับภรรยา สามี เจ้านาย ลูกน้อง ฯลฯ ที่อิงแอบกับคำสอนพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “ฆราวาสธรรม” (ธรรมสำหรับผู้ครองเรือนนั่นเอง)
คนอีสานไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไรนักหากความร่ำรวยที่ว่าวัดกันที่เงินตราและรถราที่ขับ แต่ถ้าหากเป็นความร่ำรวยด้าน “ศีลทาน” แล้ว ฐานะของคนอีสานก็คงน่าจะอยู่ระดับต้นๆ ทีเดียว หมู่บ้านในภาคอีสานบางหมู่บ้านดูสภาพแล้วยากจนมาก แต่เมื่อไปเห็นวัดวาอารามแล้วกลับมีโบสถ์มีศาลางดงามไม่แพ้ในเมืองเลย นั่นก็บ่งบอกได้ถึงสถานะความร่ำรวยทาง “ศีลทาน” ของคนในหมู่บ้าน สมดั่งบทกลอนของท่านพุทธทาสที่ว่า
คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศิลทาน ใช่บ้านโต