[CR] [Review] Canon EOS M10 น้องเล็กจากค่ายใหญ่

นี่เป็นกระทู้(ฆ่าตัวตาย) กระทู้แรกของผม 55+  เริ่มกันเลยนะครับ



เท้าความกันก่อนผม มีกล้อง DSLR ในครอบครองอยู่แล้วคือ EOS 6D แต่ด้วยความที่มันพกพาไปไหนลำบาก และอยากให้แฟนมีกล้องเอาไว้เลยมองหากล้อง Mirrorless สักตัวในงบประมาณไม่เกินสองหมื่นบาท ซึ่งก็มีตัวเลือกไม่มากนัก หวยเลยออกดังนี้

1. Fuji X-A2 เนื้อดีพิมพ์นิยมราคาโปรโมชั่นที่ The Mall บางกะปิ 16,900 บาท
2. Canon EOS M10 ใหม่ล่าสุดเพิ่งออกหมาดๆ 16,900 บาท
3. Sony Alpha A5100 ฟังก์ชั่นครบครัน ราคาในงานที่ The Mall บางกะปิ รวมลดแล้วประมาณ 19,900 บาท

ปล. ราคา ณ เวลาที่ซื้อ

ผมมีโจทย์ผมคือ
1. เล็ก
2. เน้น Selfie จอพับมาได้เต็มที่
3. ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน
4. มี Wifi และถ่ายภาพจากมือถือได้โดยตรง

ด้วยโจทย์ดังกล่าว X-A2 โดนตัดไปก่อนเลย เพราะ จอกางไม่สุด เหลือ 2 ข้อ พอนั่งคำนวณแล้ว+ปรึกษากับแฟนแล้ว เลยมาลงที่ M10 ครับ มีโอกาสได้ใช้มาประมาณ 2 เดือนแล้ว

ที่นี่มาเข้าประเด็นกันดีกว่า

มาดู Dimension ของกล้องตัวนี้ก่อนครับ



กว้าง 67 มม ยาว 108 มม และหนา 35 มม ขนาดเล็กเต็มฝ่ามือ



สำหรับผมการจับถือ ถือว่าเล็กไปสักนิด แต่ก็ไม่มากมายนัก แต่ทาง Canon ไทยให้เคสมาด้วย ช่วยได้นิดหน่อยนะ (ได้ข่าวว่าถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นต้องซื้อ)



มาดูสเปกกันบ้าง (อ้างอิงจาก dpreview.com)



-    ความละเอียด 18 M
-    หน่วยประมวลผล Digic6 แบบ CMOS ขนาด APS-C อัตราคูณ 1.6
-    ISO 100-12800 (ขยายสูงสุด 25600)
-    จุดโฟกัน 49 จุด
-    ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/4000 วินาที
-    ถ่ายภาพที่ความเร็ว 4.6 ภาพ/วินาที
-    จอหลังขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 1MP พับได้ 180 องศา แบบ touchscreen
-    Wifi + NFC



มาดูสิ่งที่ขาดหายไปบ้าง
-    Flash Hot Shoe ต่อแฟลชแยกเพิ่มไม่ได้นะครับ
-    ไม่มี viewfinder (รวมถึงใส่เพิ่มไม่ได้)
-    ไม่มีช่องเสียบไมค์โครโฟนและหูฟัง
-    ไม่มี GPS
-    ไม่มีซิลกันน้ำ
-    ไม่มีช่องเสียบสายลั่น (ใช้มือถือแทนได้)
-       ShutterB (อันนี้ผมไม่มั่นใจนะครับแต่ผมหาไม่เจอ)
-       White Balance แบบ Kelvin (มันให้เรา Shift จาก WB Chart เอาแทนครับ)

มาดูที่บอดี้บ้างครับ ต้องบอกว่าน่าตามุ่งมิ่งมากๆครับ ให้ความรู้สึกไปทางอารมณ์แบบ  Powershot G7X แค่เปลี่ยนเลนส์ได้ (แต่ G7X มีปุ่มเยอะกว่าอีกนะ55+)





ซึ่งต่างจาก M3 ที่ดูบึกบึนกว่า บอดี้รอบตัวเป็นพลาสติกผิวทรายทั้งหมด มีแค่บริเวณที่วางนิ้วโป้งเท่านั้นที่ใส่ยางมาให้ การควบคุม ผ่าน 4 Way button + 1 Dial ด้านบน และปุ่ม Menu กับ ปุ่มดูภาพ เท่านั้น





สิ่งที่สะดุดตาและผมชอบมากๆมันคือ.......ปุ่ม WI-FI+NFC นั่นเองงงงงงงงง ซึ่งมันใช้งานได้สะดวกมาก แต่พี่เค้าเอาในเมนูออกเลยนะ วันแรกหาแทบตายเปิด WI-FI  ยังไง 555+ อีกด้านนึงไว้ใสเมมการ์ดแบบ SDCard และช่องเสียบ HDMI+USB ครับ ไม่มีช่องเสียบสายลั่น หรือ ไมโครโฟนแต่อย่างใด (ว่าแต่มันมีสายลั่นแบบ USB มั้ยหว่า)





ด้านบนเรียบง่ายแหมือนกล้อง Compact เลย โล่งมากกก มีแค่ปุ่มเปิดปิด ปุ่มขัตเตอร์ แหวน Dial และปรับโหมดซึ่งให้ปรับแค่ Full Auto/Photo/Video แค่นั้นเลย มีแฟลช Pop-up เช่นเดียวกับ M3 ง้างมาสะท้อนเพด้านได้เช่นกัน แต่ๆๆๆๆๆ มันไม่มี Hot Shoe นะครับ หมดสิทธิใช้ Viewfinder หรือแม้แต่ต่อ Flash แยกก็หมดสิทธิ TT



ด้านหน้าก็เหมือนกล้องทั่วไปมีแค่ปุ่มกดถอดเปลี่ยนเลนส์ครับ กับไฟนำโฟกัส ที่จะสว่างไปไหนก็ไม่รู้-*-  แอบถ่ายไม่ได้เลยแดงวาบบบบบ หันมาทุกคนจนต้องปิดมันเลยทีเดียว ถามว่าช่วยได้มั้ยผมว่านิดเดียวจริงๆ


                                                                                                    
ด้านหลัง จอ Touchscreen 3 นิ้ว ยก M3 มาทั้งระบบครับ ยกเว้น มันปรับมุมให้จอก้มไม่ได้แบบ M3 ครับ พับขึ้นได้อย่างเดียว จอดูแข็งแรงดีครับ พับขึ้น 180 องศา ซึ่งตอบโจทย์การเซลฟี่ของผมได้เป็นอย่างดี เมื่อพับไปจนสุดกล้องจะปรับเข้าโหมดเซลฟี่โดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถถ่ายด้วยการแตะที่จอได้เลยครับ  (มันก็ทำได้แทบทุกค่ายละมั่ง 555) จากการใช้งานนะครับ ไม่เหวอเอ๋อให้เห็น แต่สำหรับสุภาพสตรีที่เล็บยาวผมบอกได้เลยว่าใช้งานไม่ค่อยจะสะดวก ตอนผมเล็บยาวมันทัชลำบากมาก ติดบ้างไม่ติดบ้าง ขนาดยาวนิดเดียวนะ



ด้านล่างมีที่ใส่แบตเตอรี่ และเกลียวยึดขาตั้งครับ ซึ่งผมดีใจมากมันใช้ LP-E12 แบบเดียวกับ EOS 100D ครับผมมมมมมม เย้ ที่ต้องดีใจเพราะว่ามันยังไม่มีชิพในตัวเหมือน LP-E17 ใน M3 ทำให้สามารถใช้แบตเทียบได้นั่นเอง (เหมาะกับคนงบน้อยเช่นผม)

และนี่ครับเคสที่แถมมา ใส่แล้วหล่อทีเดียว ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อใส่เคสแล้วจะไม่สามารถ เปลี่ยนการ์ด เปลี่ยนแบต หรือแม้แต่ใส่ขาตั้งกล้อง เซงเป็ด-*-





มาดูภายในกันบ้าง เซ็นเซอร์ APS-C ขนาด 18 ล้าพิกเซล รหัส DIGIC6 อัตราคูณที่ 1.6 เรียกได้ว่าแทบจะยกไส้ M3 มาเลยก็ว่าได้ รวมถึงFirmware และโหมดต่างๆแทบจะไม่ต่างกัน ISO,WB,File Format,Speed ก็เหมือนกัน



แต่เดี๋ยวก่อนนนนน มันเหมือนไม่ทั้งหมดนะครับ ยังมีสิ่งที่ต่างคือ AF Focus คนละรุ่นครับ เจ้าตัวนี้เป็น Hybrid CMOS AF II ซึ่งของรุ่นพี่มันเป็น Hybrid CMOS AF III แต่จำนวน 49 จุดเท่ากันเป๊ะ และที่สำคัญดันเร็วกว่าด้วยครับที่ 4.6FPS ซึ่ง M3 อยู่ที่ 4.2FPS (ต่างกันมากกกกกกกก) พื้นที่โฟกัสด้านกว้าง 80 และด้านยาว 70% สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์สำหรับเจ้านี้คือมันมี Interval Shooting แบบกลายๆให้ด้วยครับ ซึ่งผมชอบมากเลย แม้จะตั้งเวลาหน่วง Shutter B ไม่ได้และได้แค่ 10 ใบต่อติดต่อกัน แต่ก็ดีกว่าไม่มีครับ เท่านี้ก็ทำให้สนุกมากขึ้นแล้ว



มาดูเลนส์กันบ้างครับ เจ้าตัวนี้มาพร้อมกับเลนส์อนุกรมใหม่ในตระกูล EF-M กับ EF-M 15-45mm F3.5-6.3 IS STM (เทียบเท่า 24-72mm ในFF)  ที่มีกันสั่นและมอเตอร์ STM ในตัว ซึ่งใช้งานได้อย่างดีเลยครับ ในระยะที่กว้างกว่า Kit ตัวเดิมอย่าง EF-M 18-55mm f/3.5-5.6 IS STM แต่ตัวเลนส์กลับเล็กกว่าและเบากว่าค่อนข้างมาก น่าจะเป็นพร้อมที่ระยะซูมสุดได้ F แคบกว่าที่ 6.3 รวมถึงบอดี้ที่ดูจะบอบบางกว่านั่นเอง แต่สิ่งได้เพิ่มขึ้นมาคือขนาด Filter ที่ 49mm ครับ (ฟิลเตอร์ถูกกว่า อิอิ)

หลังจากใช้งานมาร่วม 2 เดือน ต้องบอกว่าผมสนุกกับมันมาก ด้วย system ที่เล็กมากๆทำให้การพกพา เป็นเรื่องง่ายๆเลยครับ ผมใส่ insert case แล้วใส่กระเป๋าสะพายทั่วไปนี่หละครับ



ปกติผมจะพก 15-45/F3.5-6.3 IS STM และ 50/F1.8 STM ไปด้วยเสมอ จึงจำเป็นต้องมีจำนี่ครับ Adaptor EF-M to EF/EF-S (EF = เลนส์ FF,EF-S = เลนส์ตัวคูณ) ผมได้มาในราคาประมาณ 2000 บาท เป็นเหตุผลนึงที่ตัดสินใจซื้อ EOSM ^^



ใส่แล้วเป็นอย่างนี้ครับ หล่อเหลาไม่เบา ถามว่าใส่เลนส์ใหญ่ได้มั้ย ผมเคยติดทั้ง 24-70 /F2.8 L และ Marco 100/F2.8 L ทำได้สบายมากครับ แต่เวลาถือต้องถือที่ตัวเลนส์ครับทำให้การพกพาไม่สะดวกนัก ใช้งานแค่ฉาบฉวยโอเคมากเลย หรือจะให้ดี มี Monopod สักอันก็สบายละครับ เพราะที่ตัว adapter จะมีรูสำหรับใส่ขาตั้งมาให้ด้วย อ่อถ้าจะติดเลนส์หนักแบบ 70-200 ผมแนะนำว่าติด collar ดีกว่าครับ




การโฟกัสที่เป็นที่โจษจันกันเหลือเกิน ช้ามั้ยตอบเลยว่า ช้าครับ ขนาดใส่เลนส์ L ก็ไม่ได้เร็วกว่าเดิมมากนัก แต่ไม่ได้ช้าจนรับไม่ได้ โปรดอย่าไปเทียบกะ DSLR เทพๆนะครับ ผมว่าพอๆกับ DSLR เวลาใช้ Liveview อะครับ เพราะมันใช้ Contrast AF เหมือนกัน แม้จะเป็น Hybrid กับ Phase Detection แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันช่วยอะไรมากนัก



เรื่องคุณภาพไฟล์สวยงามตามท้องเรื่องของ DIGIC6 ครับ ส่วนเรื่อง ISO ผมไม่หวังกับมันมากนะครับบอกตรงๆ  กับกล้องราคาเท่านี้  มีเทสเบาๆให้ดูครับ Crop 100% ไฟล์ jpeg  สำหรับตัวผม ที่ iso 1600 ได้เท่านี้ผมโอเคแล้วครับ



ด้วยการตัด Dial สำหรับการเลือกโหมดแบบ M3 ออกไป การปรับโหมดการถ่ายภาพจึงต้องใช้การเลือกแบบ Touchscreen เท่านั้นครับ สำหรับผมแล้วก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่ โหมดส่วนใหญ่ไม่ต่างกับ DSLR เลยครับ P,Av,Tv,M, Auto ก็มีมาให้ใช้งานซึ่งทำได้ไม่เลวทีเดียว หลักๆผมใช้โหมด M ครับเป็นความเคยชินจาก DSLR แต่บางทีผมก็ใช้ออโต้นะ สำหรับประสบการใช้งาน เมื่อเข้าโหมด Manual ด้วยการใช้งานผ่าน Touchscreen เป็นหลัก ถามว่าลำบากมั้ย สำหรับผมเองไม่ได้ต่างอะไรมากกับกล้องรุ่นเล็ก ของ Canon ตัวอื่นๆ เช่นการปรับสปีดหรือรูปรับแสง ก็ต้องกดปุ่มชดเชยแสงเพื่อสลับไปมาๆ เหมือนสมัยผมใช้ 600D การปรับอื่นๆ White Balance,Picture Style,Active D-ligthing,ISO,Auto Focus ต้องผ่าน ปุ่ม Quick Setting ซึ่งเหมือนการปรับจากหลังจอของ DSLR รุ่นเล็กเลยครับ เพราะฉะนั้นหากใครเคยผ่าน DSLR ของ Canon มาแล้ว สบายมากเลยครับ และสำหรับคนที่ไม่เคยใช้ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพราะกดปุ่มเดียวก็ขึ้นมาทุกอย่างแล้ว  และ Tocuhscreen ที่ตอบสนองได้ค่อนข้างโอเค เลยทำให้การปรับตั้งไม่สะดุดแต่อย่างใด แต่หากเทียบกับการมีปุ่มอยู่ภายนอก ปรับได้ช้ากว่าแน่นอน

มีภาพมาฝากครับ











ชื่อสินค้า:   Canon EOS M10
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่