สวัสดีครับ ผมพอล ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ธุรกิจ
CEOblog.co
ผมชอบเล่าฮาวทู การบริหารธุรกิจนำมาจากประสบการณ์ทำงาน และกรณีศึกษาจากต่างประเทศ สำหรับ
กรณีศึกษา อย่างน้อยก็ต้องได้ลองทำอะไรที่คือๆ กัน กระทู้เล่าหนังสืออันหนึ่งชื่อ
7 หนังสือเปลี่ยนชีวิต ใช้ได้จริงจนเกิดผลลัพธ์ทางการงานและธุรกิจ http://ppantip.com/topic/34628931 ผมอ่านหนังสือเหล่านี้ จากนั้นนำหลักคิดไปประยุกต์ใช้และเกิดผลลัพธ์กับชีวิตจึงนำมาแนะนำต่อเป็นต้นครับ
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการขาย E-Book
ผมเคยเล่า
แชร์ประสบการณ์เขียนอีบุ๊ค จนลาออกจากงานประจำ http://ppantip.com/topic/32950545 กระทู้เมื่อ ธันวาคม 2557 หลังจากนั้นไม่นานประมาณไตรมาศแรกของปี 2558 ก็ได้ร่วมกันกับหุ้นส่วนและพาร์ทเนอร์ที่เห็นผลงานของเรา ก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดขึ้นมา โดยธุรกิจที่ผมทำเรียกว่า
Information business ธุรกิจขายข้อมูลความรู้ ซึ่งมันต่อยอดมาจากการเขียน E-book ของผมและเพื่อนร่วมทีมนั่นเองครับ --- เรื่อง Information business ผมจะมาเล่าให้ฟังต่างหากในโอกาสต่อไป แต่วันนี้ขอโฟกัสที่เรื่อง E-book อย่างเดียว
การเขียนและขาย E-book จนกลายเป็นธุรกิจส่วนตัวได้นั้น หมายถึงการใช้ E-book เป็นก้าวแรก ก่อนที่จะนำไปสู่การขายความรู้ผ่านโมเดลทำเงินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สัมมนา หนังสือเสียง และคอร์สออนไลน์ – ส่วนการขาย E-book ให้ได้ยอดขายหลักแสนในหนึ่งปีนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ครับ
ผมขออนุญาตไม่ debate เรื่อง ใครชอบอ่านหนังสือเล่ม ใครไม่ชอบอ่านหนังสืออีเลคทรอนิกส์ เพราะอะไรยังไง บลาๆๆ เพราะผมถือว่าปิดจ็อบด้วยยอดขาย E-book สะสมที่มากกว่า 500,000 บาทไปแล้ว ผลลัพธ์คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ ที่เหลือคือความชอบ/ไม่ชอบส่วนบุคคลระหว่าง แบบเล่ม และ อิเลคทรอนิกส์
ความสามารถในการทำเงินของ E-book
E-book ดีๆ และเป็นเรื่องเฉพาะทาง (Niche market) สามารถขายได้ที่ราคาเท่าหนังสือเล่ม คือ 200 บาท โดยเล่มแพงสุดของผมอยู่ที่ 370 บาท และขายได้เรื่อยๆ ครับ (บางคน 500, 800 และ 1,000 บาทก็มีครับ)
นักเขียนได้ส่วนแบ่งจาก E-book ที่นำไปขายบน E-book store สูงถึง 60-70% ดังนั้น 200 บาทคุณจะได้ 120 บาท ในขณะที่หนังสือเล่ม 200 บาทนักเขียนจะได้เพียง 20 บาท คุณขาย E-Book 1,000 เล่มก็ได้รายได้หลักแสน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนดังระดับประเทศก็สามารถขายได้ปีละหลักพัน โดยการออกเป็น Series ครับ คนที่เป็นแฟนคลับโดยมากจะตามเก็บทุกเล่มที่คุณออกมา และ E-book ขนาด 10,000-15,000 คำสามารถเขียนให้จบภายใน 30-40 ชั่วโมงได้ครับ --- หัวใจสำคัญคือการสร้างฐานแฟน
นักเขียน คือนักขาย เพราะงานเขียนไม่มีปาก มันขายตัวเองไม่ได้
ผมพบว่าบางคนคิดว่า นักเขียนคือนักเขียน นักขายคือนักขาย แยกกัน แต่จริงๆแล้ว นักเขียนและนักขาย คือคนๆ เดียวกัน คุณเขียนแล้วคุณต้องขายงานตัวเองให้เป็น งานดีแค่ไหน ป่าวประกาศขายของไม่เป็นก็ไม่มีใครรู้เรื่องกับคุณด้วย
งานขาย อาศัยการฝึก สมัยก่อนผมไม่ชอบงานขาย ภายหลังพอมาเขียน E-book และต้องขายโดยลำพังผมรู้สึกกระดากทั้งปากและแป้นพิมพ์ที่จะพิมพ์เขียนขายของตัวเอง มันอาจฟังดูตลกที่ไม่กล้าขายของตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคนไม่ชอบขายเป็นกันมาก แต่คุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่กล้าขาย
หลังจากขายบ่อยๆ คุณจะเกิดพัฒนาการในการขาย ปัจจุบันใจผมลงไปอยู่ในตัวสินค้า และไม่อายที่จะขายของตัวเอง วิธีคิดคือ สร้างผลงานออกมาให้สุดฝีมือและเชื่อเสมอว่าคุณกำลังให้สิ่งที่มีคุณค่ากับผู้อื่น เมื่อคุณรู้สึกว่าของที่คุณขายมันดีกับชีวิตเขาจริงๆ คุณจะสนุกกับการพูดขายของ ในกรณีนี้คือ E-book ของคุณเอง
สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ให้เป็นที่รู้จัก
E-book รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางความรู้อื่นๆ (สัมมนา, หนังสือเสียง, คอร์สออนไลน์) เป็นสินค้าที่ขายตัวคนสอนครับ คุณต้องสร้างแบรนด์บุคคล (personal branding) โชคดีที่วันนี้มีโซเชียลมีเดีย และบล็อก (Blog เป็นเว็บไซต์ชนิดหนึ่งที่ทำง่ายมาก ไม่ต้องรู้โค้ดดิ้ง ติดตั้งแค่ 20 นาทีก็มีเว็บไซต์ของตัวเอง) สำหรับการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ให้คนรู้จักและติดตามจนมั่นใจที่จะซื้อผลงานจากคุณ
การสร้างตัวตนนั้นทำได้โดยการเขียนบทความดีๆ ลงบนเว็บไซต์ของคุณ และบนเฟซบุ๊ค เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและสร้างฐานแฟนคลับ หากคุณเขียนแนวนิยายก็อาจเขียนเป็นฟรี Series ให้คนอ่านจนติดแล้วทำเวอร์ชั่นขายก็ได้ ผมได้ยินว่ามีคนไทยทำแบบนี้แล้วเวิร์ค
ตัวอย่างระดับโลกสาย Fiction ก็เรื่อง Martian นั่นเองครับ ผู้เขียนชื่อ Andy Weir เขียนนิยายลง บล็อก แล้วก็เอาไปรวมและเพิ่มเนื้อหาขายบน Amazon.com ขายดีจัดจนสำนักพิมพ์มาขอซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์ แล้วค่ายหนังก็มาขอซื้อไปทำภาพยนตร์อีกต่างหาก – รายละเอียดเต็มๆ ที่นี่ครับ
http://startitup.in.th/the-surprising-story-of-andy-weir-and-his-famous-self-published-book-the-martian/
ส่วนตัวอย่างสาย Non-fiction คือหนังสือ The Long Tail โดย Chris Anderson รายนั้นเขียนลง บล็อก อยู่สองปีก่อนทำเป็นเล่ม สะสมฐานผู้ติดตามไว้แน่นและกลายเป็นหนังสือ Best seller ไปเลย
ต่อครับ...
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้มี E-book store อย่าง OokBee, MEBmarket, Ebooks.in.th ฯลฯ ที่มี Digital right management ระบบป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ดีขึ้นกว่าสมัยผมทำแรกๆ ซึ่งขายเป็นไฟล์ PDF ตรงๆ เลย วิธีทำของผมจะเพิ่มคุณค่าขึ้นมาอีกโดยการทำ Sales page สวยๆ แยกต่างๆ ในเว็บไซต์ก่อนที่จะใส่ลิงค์ไปยังหน้า Check-out บน E-book store (กรณีผมใช้ OokBee) โดยใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป มีการเก็บ Email list กลุ่มเป้าหมาย ก่อนเปิดตัวหนังสืออิเลคทรอนิกส์อย่างเป็นทางการ
ดังนั้นเวลาผมยิง Facebook ads ผมจะไม่ใช่การยิงประกาศแค่ให้คนมาเห็น Facebook post แล้วมากด Like ให้เสียเปล่า แต่จะส่งเขาไปยังหน้าเว็บไซต์และเก็บอีเมล์อีกขั้นหนึ่ง เมื่อวันเปิดขายผมก็จะเอาลิงค์ Check-out page บน Ookbee มาวางในหน้าเว็บไซต์ รวมทั้งการเขียนข้อความส่งไปยังรายชื่อในอีเมล์
ระบบอีเมล์ที่พูดถึงนี้มีซอฟต์แวร์สำเร็จรูปต่างหากนะครับ คุณไม่ต้องไปไล่เก็บด้วยมือและส่งอีเมล์ด้วยมือทุกครั้งไป ทั้งหมดมีระบบและสามารถวางระบบเป็น Auto responder คือการอีเมล์เป็น series ใครสมัครตอนไหน มันส่งเป็น series ไปตามลำดับ ตามคิวข้อความ และตามวันเวลาที่กำหนด โดยใน Series จะประกอบไปด้วยบทความพิเศษดีๆ ที่ไม่มีในเว็บไซต์ จากนั้นก็เริ่ม Soft-sales ผลงาน แล้วก็จบที่ Hard-sales ผลงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ในการขาย E-book ส่วนใหญ่ก็ยังมาจาก Facebook ads ครับ เพียงแต่วันนี้เราโชคดีที่ พี่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก พัฒนาระบบโฆษณาเฟซบุ๊กที่เรียกว่า Re-targeting ซึ่งสามารถยิงโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายของคนที่เยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ที่คุณกำหนดไว้ และคนที่อยู่ในรายชื่ออีเมล์ลิสต์ของคุณ ทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสปิดการขาย ด้วยงบโฆษณาที่น้อยกว่า – อันนี้ก็เดี๋ยวไว้อธิบายกันอีกทีในโอกาสหน้าครับ
ตัวอย่าง Sales Page และการ Email marketing
ผมขอยกตัวอย่างของจริง แต่! ผมเอาของจริงจากสินค้าที่เลิกขายแล้วมาให้ดูนะครับ จะได้ไม่เป็นการแอบแฝงขายของ ปลอดภัย สบายใจได้ครับ
ผมจะทำหน้าเว็บเพจขึ้นมาอันหนึ่งในบล็อก ใช้เป็น Sales page ซึ่งการทำในบล็อกส่วนตัวสามารถใส่ลูกเล่นต่างๆ ได้มากกว่าทำใน Interface ของ E-book store ครับ เช่น การติดตั้งปุ่ม Buy now สวยๆ การติดตั้งระบบ Email marketing การใส่รูปภาพ การใส่วีดีโอ ฯลฯ
1. การมี Sales page สวยๆ และ Sales content ที่โดนใจ สีสัน รูปภาพ อักษรใหญ่ เล็ก หนา เอียง ฯลฯ มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เหล่านี้ทำใน Interface ของ E-book store ต้นสังกัดไม่ได้ครับ
2. ช่วงผลงานยังไม่เสร็จ ผมจะใช้ระบบเก็บ Email list เป็นการดูว่าคนให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน ส่วนนี้ผมจะมีการแจกบทความพิเศษฟรีกระตุ้นการสมัคร เมื่อคนสมัครแล้วจะได้รับบทความเป็นชุดๆ ทางระบบ Email auto responder จนกว่าผลงานจะเปิดตัว
3. ถ้าคุณมี Testimonial จากลูกค้า หรือเพื่อนๆ ที่คุณเอาตัวอย่างบางส่วนไปให้เขาทดลองอ่านเพื่อทำ Testimonial คุณสามารถเอามาใส่ไว้ในหน้า Sales page ได้
สรุป
เหล่านี้เป็นงานที่หนักครับ เขียน E-book สร้างเว็บไซต์ ทำการตลาด และวางระบบ Auto-system ต่างๆ แต่มันคือหนทางสู่การสร้างรายได้หลักล้านบาทจากการขายความรู้ โดยใช้ E-book ปักธงก้าวแรกของเส้นทางนี้ แต่การทำงานหนักเป็นการทำงานช่วงแรกที่ต้องสร้างแพลทฟอร์มและระบบขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย และหลังจากรากฐานแน่นแล้วมันจะเป็นสินทรัพย์บนโลกออนไลน์ที่ช่วยคุณทำงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง หน้าที่ของคุณคือพัฒนาสินค้า และพัฒนาระบบต่อยอดจากตรงนั้นต่อไป
โอกาสต่อไปจะมาทยอยเก็บในเรื่องอื่นๆ ที่เกริ่นไว้ในกระทู้นี้ครับ ใครชอบเรื่องที่เล่ามาก็ไปติดตามเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/ceoblog.co/ ครับ
อัพเดท -- มีกระทู้ต่อยอดที่นี่ครับ
วิธีลงทุนกับความรู้หลักร้อยหลักพัน ให้กลายเป็นรายได้หลักล้าน http://ppantip.com/topic/34721125
แชร์ประสบการณ์ เขียน E-Book จนกลายเป็นธุรกิจส่วนตัว
ผมชอบเล่าฮาวทู การบริหารธุรกิจนำมาจากประสบการณ์ทำงาน และกรณีศึกษาจากต่างประเทศ สำหรับ กรณีศึกษา อย่างน้อยก็ต้องได้ลองทำอะไรที่คือๆ กัน กระทู้เล่าหนังสืออันหนึ่งชื่อ 7 หนังสือเปลี่ยนชีวิต ใช้ได้จริงจนเกิดผลลัพธ์ทางการงานและธุรกิจ http://ppantip.com/topic/34628931 ผมอ่านหนังสือเหล่านี้ จากนั้นนำหลักคิดไปประยุกต์ใช้และเกิดผลลัพธ์กับชีวิตจึงนำมาแนะนำต่อเป็นต้นครับ
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการขาย E-Book
ผมเคยเล่า แชร์ประสบการณ์เขียนอีบุ๊ค จนลาออกจากงานประจำ http://ppantip.com/topic/32950545 กระทู้เมื่อ ธันวาคม 2557 หลังจากนั้นไม่นานประมาณไตรมาศแรกของปี 2558 ก็ได้ร่วมกันกับหุ้นส่วนและพาร์ทเนอร์ที่เห็นผลงานของเรา ก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดขึ้นมา โดยธุรกิจที่ผมทำเรียกว่า Information business ธุรกิจขายข้อมูลความรู้ ซึ่งมันต่อยอดมาจากการเขียน E-book ของผมและเพื่อนร่วมทีมนั่นเองครับ --- เรื่อง Information business ผมจะมาเล่าให้ฟังต่างหากในโอกาสต่อไป แต่วันนี้ขอโฟกัสที่เรื่อง E-book อย่างเดียว
การเขียนและขาย E-book จนกลายเป็นธุรกิจส่วนตัวได้นั้น หมายถึงการใช้ E-book เป็นก้าวแรก ก่อนที่จะนำไปสู่การขายความรู้ผ่านโมเดลทำเงินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สัมมนา หนังสือเสียง และคอร์สออนไลน์ – ส่วนการขาย E-book ให้ได้ยอดขายหลักแสนในหนึ่งปีนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ครับ
ผมขออนุญาตไม่ debate เรื่อง ใครชอบอ่านหนังสือเล่ม ใครไม่ชอบอ่านหนังสืออีเลคทรอนิกส์ เพราะอะไรยังไง บลาๆๆ เพราะผมถือว่าปิดจ็อบด้วยยอดขาย E-book สะสมที่มากกว่า 500,000 บาทไปแล้ว ผลลัพธ์คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ ที่เหลือคือความชอบ/ไม่ชอบส่วนบุคคลระหว่าง แบบเล่ม และ อิเลคทรอนิกส์
ความสามารถในการทำเงินของ E-book
E-book ดีๆ และเป็นเรื่องเฉพาะทาง (Niche market) สามารถขายได้ที่ราคาเท่าหนังสือเล่ม คือ 200 บาท โดยเล่มแพงสุดของผมอยู่ที่ 370 บาท และขายได้เรื่อยๆ ครับ (บางคน 500, 800 และ 1,000 บาทก็มีครับ)
นักเขียนได้ส่วนแบ่งจาก E-book ที่นำไปขายบน E-book store สูงถึง 60-70% ดังนั้น 200 บาทคุณจะได้ 120 บาท ในขณะที่หนังสือเล่ม 200 บาทนักเขียนจะได้เพียง 20 บาท คุณขาย E-Book 1,000 เล่มก็ได้รายได้หลักแสน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนดังระดับประเทศก็สามารถขายได้ปีละหลักพัน โดยการออกเป็น Series ครับ คนที่เป็นแฟนคลับโดยมากจะตามเก็บทุกเล่มที่คุณออกมา และ E-book ขนาด 10,000-15,000 คำสามารถเขียนให้จบภายใน 30-40 ชั่วโมงได้ครับ --- หัวใจสำคัญคือการสร้างฐานแฟน
นักเขียน คือนักขาย เพราะงานเขียนไม่มีปาก มันขายตัวเองไม่ได้
ผมพบว่าบางคนคิดว่า นักเขียนคือนักเขียน นักขายคือนักขาย แยกกัน แต่จริงๆแล้ว นักเขียนและนักขาย คือคนๆ เดียวกัน คุณเขียนแล้วคุณต้องขายงานตัวเองให้เป็น งานดีแค่ไหน ป่าวประกาศขายของไม่เป็นก็ไม่มีใครรู้เรื่องกับคุณด้วย
งานขาย อาศัยการฝึก สมัยก่อนผมไม่ชอบงานขาย ภายหลังพอมาเขียน E-book และต้องขายโดยลำพังผมรู้สึกกระดากทั้งปากและแป้นพิมพ์ที่จะพิมพ์เขียนขายของตัวเอง มันอาจฟังดูตลกที่ไม่กล้าขายของตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคนไม่ชอบขายเป็นกันมาก แต่คุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่กล้าขาย
หลังจากขายบ่อยๆ คุณจะเกิดพัฒนาการในการขาย ปัจจุบันใจผมลงไปอยู่ในตัวสินค้า และไม่อายที่จะขายของตัวเอง วิธีคิดคือ สร้างผลงานออกมาให้สุดฝีมือและเชื่อเสมอว่าคุณกำลังให้สิ่งที่มีคุณค่ากับผู้อื่น เมื่อคุณรู้สึกว่าของที่คุณขายมันดีกับชีวิตเขาจริงๆ คุณจะสนุกกับการพูดขายของ ในกรณีนี้คือ E-book ของคุณเอง
สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ให้เป็นที่รู้จัก
E-book รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางความรู้อื่นๆ (สัมมนา, หนังสือเสียง, คอร์สออนไลน์) เป็นสินค้าที่ขายตัวคนสอนครับ คุณต้องสร้างแบรนด์บุคคล (personal branding) โชคดีที่วันนี้มีโซเชียลมีเดีย และบล็อก (Blog เป็นเว็บไซต์ชนิดหนึ่งที่ทำง่ายมาก ไม่ต้องรู้โค้ดดิ้ง ติดตั้งแค่ 20 นาทีก็มีเว็บไซต์ของตัวเอง) สำหรับการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ให้คนรู้จักและติดตามจนมั่นใจที่จะซื้อผลงานจากคุณ
การสร้างตัวตนนั้นทำได้โดยการเขียนบทความดีๆ ลงบนเว็บไซต์ของคุณ และบนเฟซบุ๊ค เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและสร้างฐานแฟนคลับ หากคุณเขียนแนวนิยายก็อาจเขียนเป็นฟรี Series ให้คนอ่านจนติดแล้วทำเวอร์ชั่นขายก็ได้ ผมได้ยินว่ามีคนไทยทำแบบนี้แล้วเวิร์ค
ตัวอย่างระดับโลกสาย Fiction ก็เรื่อง Martian นั่นเองครับ ผู้เขียนชื่อ Andy Weir เขียนนิยายลง บล็อก แล้วก็เอาไปรวมและเพิ่มเนื้อหาขายบน Amazon.com ขายดีจัดจนสำนักพิมพ์มาขอซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์ แล้วค่ายหนังก็มาขอซื้อไปทำภาพยนตร์อีกต่างหาก – รายละเอียดเต็มๆ ที่นี่ครับ http://startitup.in.th/the-surprising-story-of-andy-weir-and-his-famous-self-published-book-the-martian/
ส่วนตัวอย่างสาย Non-fiction คือหนังสือ The Long Tail โดย Chris Anderson รายนั้นเขียนลง บล็อก อยู่สองปีก่อนทำเป็นเล่ม สะสมฐานผู้ติดตามไว้แน่นและกลายเป็นหนังสือ Best seller ไปเลย
ต่อครับ...
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้มี E-book store อย่าง OokBee, MEBmarket, Ebooks.in.th ฯลฯ ที่มี Digital right management ระบบป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ดีขึ้นกว่าสมัยผมทำแรกๆ ซึ่งขายเป็นไฟล์ PDF ตรงๆ เลย วิธีทำของผมจะเพิ่มคุณค่าขึ้นมาอีกโดยการทำ Sales page สวยๆ แยกต่างๆ ในเว็บไซต์ก่อนที่จะใส่ลิงค์ไปยังหน้า Check-out บน E-book store (กรณีผมใช้ OokBee) โดยใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป มีการเก็บ Email list กลุ่มเป้าหมาย ก่อนเปิดตัวหนังสืออิเลคทรอนิกส์อย่างเป็นทางการ
ดังนั้นเวลาผมยิง Facebook ads ผมจะไม่ใช่การยิงประกาศแค่ให้คนมาเห็น Facebook post แล้วมากด Like ให้เสียเปล่า แต่จะส่งเขาไปยังหน้าเว็บไซต์และเก็บอีเมล์อีกขั้นหนึ่ง เมื่อวันเปิดขายผมก็จะเอาลิงค์ Check-out page บน Ookbee มาวางในหน้าเว็บไซต์ รวมทั้งการเขียนข้อความส่งไปยังรายชื่อในอีเมล์
ระบบอีเมล์ที่พูดถึงนี้มีซอฟต์แวร์สำเร็จรูปต่างหากนะครับ คุณไม่ต้องไปไล่เก็บด้วยมือและส่งอีเมล์ด้วยมือทุกครั้งไป ทั้งหมดมีระบบและสามารถวางระบบเป็น Auto responder คือการอีเมล์เป็น series ใครสมัครตอนไหน มันส่งเป็น series ไปตามลำดับ ตามคิวข้อความ และตามวันเวลาที่กำหนด โดยใน Series จะประกอบไปด้วยบทความพิเศษดีๆ ที่ไม่มีในเว็บไซต์ จากนั้นก็เริ่ม Soft-sales ผลงาน แล้วก็จบที่ Hard-sales ผลงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ในการขาย E-book ส่วนใหญ่ก็ยังมาจาก Facebook ads ครับ เพียงแต่วันนี้เราโชคดีที่ พี่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก พัฒนาระบบโฆษณาเฟซบุ๊กที่เรียกว่า Re-targeting ซึ่งสามารถยิงโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายของคนที่เยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ที่คุณกำหนดไว้ และคนที่อยู่ในรายชื่ออีเมล์ลิสต์ของคุณ ทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสปิดการขาย ด้วยงบโฆษณาที่น้อยกว่า – อันนี้ก็เดี๋ยวไว้อธิบายกันอีกทีในโอกาสหน้าครับ
ตัวอย่าง Sales Page และการ Email marketing
ผมขอยกตัวอย่างของจริง แต่! ผมเอาของจริงจากสินค้าที่เลิกขายแล้วมาให้ดูนะครับ จะได้ไม่เป็นการแอบแฝงขายของ ปลอดภัย สบายใจได้ครับ
ผมจะทำหน้าเว็บเพจขึ้นมาอันหนึ่งในบล็อก ใช้เป็น Sales page ซึ่งการทำในบล็อกส่วนตัวสามารถใส่ลูกเล่นต่างๆ ได้มากกว่าทำใน Interface ของ E-book store ครับ เช่น การติดตั้งปุ่ม Buy now สวยๆ การติดตั้งระบบ Email marketing การใส่รูปภาพ การใส่วีดีโอ ฯลฯ
1. การมี Sales page สวยๆ และ Sales content ที่โดนใจ สีสัน รูปภาพ อักษรใหญ่ เล็ก หนา เอียง ฯลฯ มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เหล่านี้ทำใน Interface ของ E-book store ต้นสังกัดไม่ได้ครับ
2. ช่วงผลงานยังไม่เสร็จ ผมจะใช้ระบบเก็บ Email list เป็นการดูว่าคนให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน ส่วนนี้ผมจะมีการแจกบทความพิเศษฟรีกระตุ้นการสมัคร เมื่อคนสมัครแล้วจะได้รับบทความเป็นชุดๆ ทางระบบ Email auto responder จนกว่าผลงานจะเปิดตัว
3. ถ้าคุณมี Testimonial จากลูกค้า หรือเพื่อนๆ ที่คุณเอาตัวอย่างบางส่วนไปให้เขาทดลองอ่านเพื่อทำ Testimonial คุณสามารถเอามาใส่ไว้ในหน้า Sales page ได้
สรุป
เหล่านี้เป็นงานที่หนักครับ เขียน E-book สร้างเว็บไซต์ ทำการตลาด และวางระบบ Auto-system ต่างๆ แต่มันคือหนทางสู่การสร้างรายได้หลักล้านบาทจากการขายความรู้ โดยใช้ E-book ปักธงก้าวแรกของเส้นทางนี้ แต่การทำงานหนักเป็นการทำงานช่วงแรกที่ต้องสร้างแพลทฟอร์มและระบบขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย และหลังจากรากฐานแน่นแล้วมันจะเป็นสินทรัพย์บนโลกออนไลน์ที่ช่วยคุณทำงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง หน้าที่ของคุณคือพัฒนาสินค้า และพัฒนาระบบต่อยอดจากตรงนั้นต่อไป
โอกาสต่อไปจะมาทยอยเก็บในเรื่องอื่นๆ ที่เกริ่นไว้ในกระทู้นี้ครับ ใครชอบเรื่องที่เล่ามาก็ไปติดตามเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/ceoblog.co/ ครับ
อัพเดท -- มีกระทู้ต่อยอดที่นี่ครับ วิธีลงทุนกับความรู้หลักร้อยหลักพัน ให้กลายเป็นรายได้หลักล้าน http://ppantip.com/topic/34721125