สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากจะมาประเดิมกระทู้แรกในพันทิพของเรา ด้วยการแบ่งปันข้อมูลทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ณ “
ภูลมโล” หนึ่งในจุดชมดอกพญาเสือโคร่ง หรือที่เราแอบเรียกเบาๆว่า ซากุระไทยแลนด์ จากการเดินทางขึ้นทางฝั่งอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย...
เริ่มจาก..ขณะกำลังกดหาข้อมูลสถานที่ชมดอกพญาเสือโคร่งในประเทศไทย หลากหลายชื่อที่คุ้นตาก็ปรากฎ เช่น ขุนช่างเคี่ยน ดอยอ่างขาง ศูนย์เกษตร ฯลฯ เราก็ได้พบกับชื่อ “
ภูลมโล” เป็นครั้งแรก และด้วยคำโฆษณาว่า ‘เป็นจุดที่มีต้นพญาเสือโคร่งมากที่สุดในประเทศไทย’ เราจึงเอาชื่อนี้มา google ต่อทันที
ข้อมูลหรือกระทู้พันทิพเกี่ยวกับภูลมโลมีไม่มากนัก แต่ทุกภาพที่เห็นจากคนที่ไปมา ทำให้เราชวนเพื่อน (ด้วยการส่งกระทู้รูปสวยไปอวด) และตัดสินใจซื้อตั๋วไปจังหวัดเลยในเวลาอันสั้น โดยที่เอาข้อมูลหลักจากเว็บเพจที่เปนแรงบันดาลใจ ที่เขียนว่า ภูลมโล อยู่จังหวัดเลย (จริงๆแล้วภูลมโลกินพื้นที่ 2 จังหวัด คือ เลย และพิษณุโลก ซึ่งการทางเดินทางจากฝั่งพิษณุโลกเป็นที่นิยมกว่า เพราะใกล้กว่าและเส้นทางสบายกว่า สามารถแว้บเที่ยวภูหินร่องกล้าและภูทับเบิกได้ด้วย) แต่ในเมื่อตั๋วเรามีเป็น กรุงเทพฯ-เลย แล้วก็อย่าได้แคร์ ยังไงก็ไปถึงเหมือนกัน แถมยังได้ฟีลลิ่งซากุระแบบแดนอีสานอีกด้วย ลุย!
ก่อนเดินทาง เราโทรไปสอบถามข้อมูลกับทาง
ชมรมท่องเที่ยวกกสะทอน ได้ความว่า สำหรับที่พัก บนภูลมโลไม่สามารถกางเต๊นท์ได้ เพราะเคยอนุญาตให้กางในช่วงแรกที่เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆแต่ขยะเยอะ ทำให้ตอนนี้เรื่องที่พักจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบโฮมสเตย์แทน คือให้จองมาที่ชมรม และทางชมรมจะจัดการติดต่อชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการ โดยราคาต่อหัว ต่อคืน คนละ 500 บาท รวมอาหารสองมื้อ คือเย็นและเช้า และอีกแบบคือ กึ่งรีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์ ราคาคนละ 600 บาท (แต่ไม่ได้ถามข้อมูลส่วนนี้มาว่าต่างกันมากแค่ไหน) ซึ่งเหล่าโฮมสเตย์เหล่านี้จะอยู่ด้านล่างภูลมโล ส่วนการเดินทางขึ้นไปบนภูลมโลจากฝั่งกกสะทอนนี้ จะต้องเหมารถเที่ยวของชาวบ้านขึ้นไปเท่านั้น เพราะเส้นทางต้องใช้รถ 4 ล้อขับเคลื่อนเท่านั้น (แต่หากใครมีรถกระบะหรือปิ๊กอัพก็สามารถขับขึ้นไปเองได้ แต่ตัวเราขอสนับสนุนให้ใช้บริการชาวบ้านดีกว่า เพราะทางค่อนข้างแย่มาก มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นด้วยเพราะความไม่ชินทาง) โดยราคาเหมาต่อคันอยู่ที่ 1,500 บาท ขึ้นและลงภู 1 ครั้ง และสำหรับการเดินทางจากสนามบินเลย ไปยังอำเภอด่านซ้ายเพื่อไปเจอจุดนับพบ ณ ชมรม ได้ข้อมูลมาว่า ให้หารถตู้แถวหน้าสนามบินที่เขียนว่าไป บ้านน้ำพุง ก็จะมีรถเรื่อยๆมาส่งถึงที่ชมรมได้เลย และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เราเลือกไปวันเสาร์อาทิตย์ที่ 16-17 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลปีก่อนๆว่าจะเป็นช่วงที่ดอกบานเต็มหุบเขามากที่สุด โดยเราตามข้อมูลอัพเดตความบานของดอกพญาเสือโคร่ง ณ ภูลมโลจากเฟซบุ๊คของชุมชนท่องเที่ยว กกสะทอน ซึ่งอัพเดตก่อนเราไปถึงคือ บานประมาณ 30% แต่ภาพที่ทางเพจโพสอัพเดตวันต่อวันทำให้เราตื่นเต้นมีความหวังว่า ต่อให้ 30 เปอร์เซนต์ยังไงก็ต้องสวยแหละว้า
เรามาถึงสนามบินเลยตอนเที่ยง ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย (มี 2 สายการบินที่บินมาลงสนามบินเลย คือ นกแอร์และแอร์เอเชีย) ตามแพลนเดิมกะว่า จะนั่งรถตู้โดยสารไปลงที่บ้านน้ำพุง แต่หลังจากคำนวนไปมา ว่ากว่าจะไปถึง แล้วจะทำอะไร จะเหมารถไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วลงมาหรอ แล้วพรุ่งนี้เช้าล่ะ ทำให้เรากะเพื่อนตัดสินใจเช่ารถ (แบบไม่ได้จองล่วงหน้า) ซึ่งโชคดีที่จาก 3 บริษัทหน้าสนามบินมี 1 บริษัทมีรถว่างอยู่พอดี ทำให้เราสองคนได้ mazda 2 มาขับด้วยราคา 1,200 บาทต่อวัน เราจะกลับมาที่สนามบินเลยพรุ่งนี้ตอนเย็น ทำให้คิดราคาแบบ วันครึ่ง เป็น 1,800 บาท รวมกับค่ามัดจำที่ต้องจ่ายเป็นเงินสดมูลค่า 5,000 บาท ทำให้หลังจากจ่ายส่วนนั้นเสร็จเรากับเพื่อนต้องหาที่กดเงินกันโดยด่วน (แนะนำคนที่มั่นใจว่าขับรถแน่ๆจองรถล่วงหน้านะคะ)
เมื่อกะว่าวันนี้ยังไงก็ไม่ได้ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลเป็นแน่ เราจึงสร้างแพลนใหม่ด้วยการเที่ยวในจังหวัดเลย และแวะภูเรือ (เพราะเป็นทางผ่านไปยังอำเภอด่านซ้าย) แทน ซึ่งส่วนนี้ขออนุญาตข้ามไปสำหรับรีวิวครั้งแรกนี้ (กลัวจะยืดเยื้อและไม่สนุกพอ : D หากอยากทราบ หลังไมค์มาได้นะคะ จังหวัดเลยมีอะไรเที่ยวไม่น้อยน้ะ บอกไว้ว่าเราไปเที่ยวห้วยกระทิง กินข้าวบนแพ เที่ยวทุ่งดาวเรือง (เหลืองมากกกก) และไปปีนเขาชมพระอาทิตย์ตกจากจุดที่ไม่มีใครปีนขึ้นไปบนภูเรือ ก่อนจะมุ่งหน้าไปชุมชนท่องเที่ยวกกสะทอน) เอาภาพไปชมแบบฉบับย่อค่ะ
อันนี้คือ ห้วยกระทิง ที่ต้องมาทานอาหารบนแพ (แถมแพยังล่องพาเราไปเที่ยวกลางน้ำหลังเสิร์ฟอาหารครบทุกอย่าง และปล่อยเราทิ้งไว้จนกว่าจะพอใจ ลมแรงและชิวมากๆ คนท้องที่โดดน้ำกันตูมๆ เป็นที่ๆต้องมาแวะนะคะถ้ามีเวลา)
ทุ่งดาวเรืองที่ผ่านไปเห็นป้ายโดยบังเอิญระหว่างขับรถ เหลืองอร่ามมากๆ นี่แหละค่ะ ข้อดีของ Road Trip จะจอดตรงก็จอดเล้ย!
ปิดท้ายวันก่อนมุ่งหน้าไปยังภูลมโลด้วยภาพพระอาทิตย์ตกจากบนภูเรือค่ะ อยากได้รูปมุมแบบนี้หลังไมค์นะคะ
แผนที่ด้านล่างนี้เพื่อมุ่งไปยังชมรมท่องเที่ยวกกสะทอนค่ะ
กว่าจะไปถึงชมรมด้านบนทำเรากับเพื่อนใจเสียไปหลายที เพราะป้ายไม่มีเลย ต้องสอบถามชาวบ้านเอา แล้วทางขึ้นไปนี่เป็นภูเขาแบบทางไม่ดี ไม่มีไฟ ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไม่เห็นบ้านเรือนด้วยซ้ำจนเกือบถอดใจว่า ขับรถกลับลงไปกันไหม มาผิดทางแล้ว สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พอมีโทรติด ที่ชมรมที่บอกจะมีคนอยู่ตลอดก็ดันไม่มีคนรับ
แต่เห็นรถยนต์ขับสวนลงมาหลายคันอยู่ ก็เลยตัดสินใจโบกเพื่อถาม โล่งใจที่พี่คนขับกระบะบอกว่า ขึ้นไปอีกน้อง จนแถวไหนมีไฟเยอะๆนั่นแหละ
หลังจากกระแทกกระทั้นกับทางที่คิดว่าไม่เหมาะกับมาซด้ามาเกือบชั่วโมง เราก็มาถึงชมรม ที่พอเข้าไปบอกว่าเราจองที่พักไว้แล้ว (แบบปากเปล่า ไม่มีการส่งยืนยันหลักฐาน จำได้แค่ว่าจองกับผู้หญิง) คนที่อยู่รอบดึกในชมรมก็ถามว่าจองกับใครไว้ยังไง ได้น้ำใจจากชาวบ้านบริเวณโดยรอบที่ร้านขายดอกไม้ ขายของชำเล็กๆน้อยๆนั้นพยายามช่วยคิดว่า ผู้หญิงที่เป็นผู้จัดการนู่นนี่ในชมรมคือใคร และพยายามโทรตามตัวให้ แถมบอกว่า ถ้าไม่มีที่พัก คืนนี้นอนเต๊นท์ด้วยกันฟรีก็ได้ เค้าก็นอนเหมือนกัน รอขายของช่วงเช้า เราซาบซึ้งน้ำใจยิ่งนัก แต่คืนนั้นอากาศหนาวเกินกว่าจะยอมตกลงง่ายๆ เราจึงขอรอให้ติดต่อได้แน่ๆก่อนค่อยตอบตกลง ระหว่างนั้นก็กินมาม่าร้อนๆ ข้าวเหนียวกับไข่ปิ้งที่เหลืออยู่ร้านเดียวหน้าชมรมรอไปพลางๆ (โดยลืมไปว่า ถ้าได้เข้าโฮมสเตย์ข้าวมื้อเย็นเค้าก็จะเตรียมไว้ให้เรา) แต่ตอนนั้น 3 ทุ่มกว่าแล้ว จะให้ไม่หิวยังไงไหว
พอเรากินข้าวใกล้อิ่มก็ได้รับข่าวดีว่า จองไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะให้คนของชมรมขับรถนำไปเพราะโฮมสเตย์ของเราจอดรถได้ ซึ่งลงเขามาอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึง โฮมสเตย์ของเรามีชื่อว่า
เย็นจิต โฮมสเตย์ เพราะพี่ผู้หญิงชื่อพี่เย็นจิต ตอนแรกเราเข้าใจว่าจะต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ แต่ปรากฎว่าบ้านของพี่เย็นจิตรับได้แค่ 2 คนต่อครั้ง เพราะแกต่อเติมห้องเพิ่มที่หลังบ้านเป็นห้องนอนและห้องน้ำเพียง 1 ห้อง เราจึงกลายเป็นแขกคู่เดียวของคุณพี่ในคืนนั้น
ภาพพี่เย็นจิตและน้องซันเดย์ในห้องนอนของเราคืนนั้นค่ะ
พอไปถึงแกก็ถามไถ่จะกินข้าวเย็นอะไร ผัดกะเพราะหรือหมูทอดดี แกรออยู่กลัวไม่มา แต่เรากินไปเรียบร้อยแล้วเลยไม่กวนแกดีกว่า รีบไปอาบน้ำเตรียมตื่นเช้าเพราะพรุ่งนี้นัดรถของชมรมให้มารับตอนตี 4.30 เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนภูลมโล แกน่ารักมาก เสนอว่า เอาอาหารขึ้นไปกินบนภูไหมตอนเช้า เพราะมันไกลและบนนั้นไม่มีอะไรกินนะ แกจะตื่นมาทำให้แล้วใส่ตะกร้าเอาขึ้นไป น่ารักมากเลย เราตื่นเต้นมากเพราะจะได้ทำการ ฮานามิ (นั่งปิกนิกใต้ต้นซากุระ) แบบคนญี่ปุ่น 555 รู้สึกได้ถึงความตั้งอกตั้งใจของแกที่จะโฮสเรา ยิ่งเข้ามาในห้อง เจอการจัดแบบน่ารักๆบนโต๊ะซึ่งแกบอกว่า ลูกชายแกเป็นคนจัด ตื่นเต้นเพราะเราเป็นแขกกรุ๊ปที่ 2 ตั้งแต่แกเข้าร่วมโครงการ มีทั้งชากาแฟ ผลไม้ ดอกไม้ เตียงนอนก็บริการกางมุ้งให้ เป็นแบบบ้านๆได้ฟีลลิ่งมากๆ เรา 2 คนลืมนึกเรื่องผ้าเช็ดตัว แกก็ไปจัดหามาให้ แถมยังอนุญาตให้เราไปอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำในบ้านแกก็ได้เพราะเห็นว่าดึกแล้ว (น้ำสำหรับอาบในห้องแขกคือน้ำจากตุ่ม! ซึ่งอาจทำให้ถึงจุดเยือกแข็งได้ในเวลานั้น) ประทับใจตั้งแต่แรกเลย
เกริ่นนำมาซะยาวก่อนจะขึ้นภูกันจริงๆซะทีนะคะ ;p เกือบตี 5 รถกระบะของชาวบ้านมารับ เราเหมากันสองคน เพราะการไปรวมกับคนอื่นน่าจะลำบากในการอยากย้ายที่ หรือขึ้นลงคนละเวลา (และหลีกเลี่ยงการหัวติดฝุ่นถ้าต้องนั่งกระบะหลัง) และการเดินทางแบบกกสะทอน ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
เส้นทางคือต้องบอกตรงๆว่าแย่มาก ถึงแม้ตอนนั้นจะมืดมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง แต่สัมผัสได้อย่างรุนแรงว่า ถนนขึ้นไปบนภูนี้ เป็นยิ่งกว่าถนนลูกรัง ขรุขระสั่นเกือบทุก 30 วินาที เราเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมถึงต้องมีบริการถนำเที่ยว ไม่ให้ขับขึ้นมาเอง เครื่องในและทุกสิ่งอันคือสั่นหมด ความง่วงที่กะว่า ขึ้นรถปุ๊บชั้นหลับดีกว่า ไม่มีอีกแล้วค่ะคุณผู้ชม 5555 นั่งสั่นสะเทือนกันไปตลอดเวลากว่า 1 ชั่วโมงเต็มๆ เป็นประสบการณ์การขึ้นภูที่หาไม่สามารถหาที่ไหนอีกแล้วในโลกนึ้ค่ะเรารับรอง ไม่อยากจะคิดถึงตอนขาลงเล้ย นั่งไม่ง่วงไปชวนคุณพี่คนขับรถคุยไปไป ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่นี่มาว่า..
แปลงดอกพญาเสือโคร่งที่นี่
มีอยู่ทั้งหมด 10 แปลง จะบานไล่จากบนสุดของเขามายังล่างสุด การบานเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่หนาวมากหรือน้อย ปีนี้หนาวน้อยและหนาวช้าทำให้ช่วงเวลาการบานไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่ช่วงเดียวกับที่เราไปจะบานมากจนเรียกได้ว่าเป็นช่วงพีคของฤดูกาลเลยทีเดียว ตอนนี้แปลงที่เรากำลังจะได้ไปคือแปลงที่ 8 กับ 9 ที่อยู่บนยอดของภู เพราะแปลง 10 บานและโรยไปมากแล้ว (เลขลำดับของแปลงก็ตามระดับความสูงซึ่งแปรผันกับเวลาการบาน) ส่วนเหล่าต้นพญาเสือโคร่งนี้ เป็นการปลูกอย่างตั้งใจ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเปิดมาได้สักประมาณ 3-4 ปีแล้ว และเป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่ชาวบ้านบนภูลมโล ชุมชนกกสะท้อนนี้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว (ช่วงปลายเดือน ธันวา ถึงต้นเดือนกุมภา) รถกระบะของชาวบ้านที่สำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวจากฝั่งกกสะทอนมีประมาณ 90 คัน ส่วนช่วงอื่นๆของปี พี่ๆก็จะทำไร่ทำสวนกันอยู่บนภูนี่ล่ะ
และแล้วเราก็มาถึงบนยอดภู ก่อนถึงมีแวะให้เข้าห้องน้ำ อากาศหนาวมากและได้เห็นว่า คนเยอะมาก เพราะบนนี้รวมคนที่มาจากฝั่งจังหวัดเลยและจังหวัดพิษณุโลกทั้งหมด
[CR] หุบเขาซากุระ ณ ภูลมโล (ขึ้นทางฝั่งเลย)
เริ่มจาก..ขณะกำลังกดหาข้อมูลสถานที่ชมดอกพญาเสือโคร่งในประเทศไทย หลากหลายชื่อที่คุ้นตาก็ปรากฎ เช่น ขุนช่างเคี่ยน ดอยอ่างขาง ศูนย์เกษตร ฯลฯ เราก็ได้พบกับชื่อ “ภูลมโล” เป็นครั้งแรก และด้วยคำโฆษณาว่า ‘เป็นจุดที่มีต้นพญาเสือโคร่งมากที่สุดในประเทศไทย’ เราจึงเอาชื่อนี้มา google ต่อทันที
ข้อมูลหรือกระทู้พันทิพเกี่ยวกับภูลมโลมีไม่มากนัก แต่ทุกภาพที่เห็นจากคนที่ไปมา ทำให้เราชวนเพื่อน (ด้วยการส่งกระทู้รูปสวยไปอวด) และตัดสินใจซื้อตั๋วไปจังหวัดเลยในเวลาอันสั้น โดยที่เอาข้อมูลหลักจากเว็บเพจที่เปนแรงบันดาลใจ ที่เขียนว่า ภูลมโล อยู่จังหวัดเลย (จริงๆแล้วภูลมโลกินพื้นที่ 2 จังหวัด คือ เลย และพิษณุโลก ซึ่งการทางเดินทางจากฝั่งพิษณุโลกเป็นที่นิยมกว่า เพราะใกล้กว่าและเส้นทางสบายกว่า สามารถแว้บเที่ยวภูหินร่องกล้าและภูทับเบิกได้ด้วย) แต่ในเมื่อตั๋วเรามีเป็น กรุงเทพฯ-เลย แล้วก็อย่าได้แคร์ ยังไงก็ไปถึงเหมือนกัน แถมยังได้ฟีลลิ่งซากุระแบบแดนอีสานอีกด้วย ลุย!
ก่อนเดินทาง เราโทรไปสอบถามข้อมูลกับทางชมรมท่องเที่ยวกกสะทอน ได้ความว่า สำหรับที่พัก บนภูลมโลไม่สามารถกางเต๊นท์ได้ เพราะเคยอนุญาตให้กางในช่วงแรกที่เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆแต่ขยะเยอะ ทำให้ตอนนี้เรื่องที่พักจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบโฮมสเตย์แทน คือให้จองมาที่ชมรม และทางชมรมจะจัดการติดต่อชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการ โดยราคาต่อหัว ต่อคืน คนละ 500 บาท รวมอาหารสองมื้อ คือเย็นและเช้า และอีกแบบคือ กึ่งรีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์ ราคาคนละ 600 บาท (แต่ไม่ได้ถามข้อมูลส่วนนี้มาว่าต่างกันมากแค่ไหน) ซึ่งเหล่าโฮมสเตย์เหล่านี้จะอยู่ด้านล่างภูลมโล ส่วนการเดินทางขึ้นไปบนภูลมโลจากฝั่งกกสะทอนนี้ จะต้องเหมารถเที่ยวของชาวบ้านขึ้นไปเท่านั้น เพราะเส้นทางต้องใช้รถ 4 ล้อขับเคลื่อนเท่านั้น (แต่หากใครมีรถกระบะหรือปิ๊กอัพก็สามารถขับขึ้นไปเองได้ แต่ตัวเราขอสนับสนุนให้ใช้บริการชาวบ้านดีกว่า เพราะทางค่อนข้างแย่มาก มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นด้วยเพราะความไม่ชินทาง) โดยราคาเหมาต่อคันอยู่ที่ 1,500 บาท ขึ้นและลงภู 1 ครั้ง และสำหรับการเดินทางจากสนามบินเลย ไปยังอำเภอด่านซ้ายเพื่อไปเจอจุดนับพบ ณ ชมรม ได้ข้อมูลมาว่า ให้หารถตู้แถวหน้าสนามบินที่เขียนว่าไป บ้านน้ำพุง ก็จะมีรถเรื่อยๆมาส่งถึงที่ชมรมได้เลย และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เราเลือกไปวันเสาร์อาทิตย์ที่ 16-17 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลปีก่อนๆว่าจะเป็นช่วงที่ดอกบานเต็มหุบเขามากที่สุด โดยเราตามข้อมูลอัพเดตความบานของดอกพญาเสือโคร่ง ณ ภูลมโลจากเฟซบุ๊คของชุมชนท่องเที่ยว กกสะทอน ซึ่งอัพเดตก่อนเราไปถึงคือ บานประมาณ 30% แต่ภาพที่ทางเพจโพสอัพเดตวันต่อวันทำให้เราตื่นเต้นมีความหวังว่า ต่อให้ 30 เปอร์เซนต์ยังไงก็ต้องสวยแหละว้า
เรามาถึงสนามบินเลยตอนเที่ยง ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย (มี 2 สายการบินที่บินมาลงสนามบินเลย คือ นกแอร์และแอร์เอเชีย) ตามแพลนเดิมกะว่า จะนั่งรถตู้โดยสารไปลงที่บ้านน้ำพุง แต่หลังจากคำนวนไปมา ว่ากว่าจะไปถึง แล้วจะทำอะไร จะเหมารถไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วลงมาหรอ แล้วพรุ่งนี้เช้าล่ะ ทำให้เรากะเพื่อนตัดสินใจเช่ารถ (แบบไม่ได้จองล่วงหน้า) ซึ่งโชคดีที่จาก 3 บริษัทหน้าสนามบินมี 1 บริษัทมีรถว่างอยู่พอดี ทำให้เราสองคนได้ mazda 2 มาขับด้วยราคา 1,200 บาทต่อวัน เราจะกลับมาที่สนามบินเลยพรุ่งนี้ตอนเย็น ทำให้คิดราคาแบบ วันครึ่ง เป็น 1,800 บาท รวมกับค่ามัดจำที่ต้องจ่ายเป็นเงินสดมูลค่า 5,000 บาท ทำให้หลังจากจ่ายส่วนนั้นเสร็จเรากับเพื่อนต้องหาที่กดเงินกันโดยด่วน (แนะนำคนที่มั่นใจว่าขับรถแน่ๆจองรถล่วงหน้านะคะ)
เมื่อกะว่าวันนี้ยังไงก็ไม่ได้ขึ้นไปเที่ยวบนภูลมโลเป็นแน่ เราจึงสร้างแพลนใหม่ด้วยการเที่ยวในจังหวัดเลย และแวะภูเรือ (เพราะเป็นทางผ่านไปยังอำเภอด่านซ้าย) แทน ซึ่งส่วนนี้ขออนุญาตข้ามไปสำหรับรีวิวครั้งแรกนี้ (กลัวจะยืดเยื้อและไม่สนุกพอ : D หากอยากทราบ หลังไมค์มาได้นะคะ จังหวัดเลยมีอะไรเที่ยวไม่น้อยน้ะ บอกไว้ว่าเราไปเที่ยวห้วยกระทิง กินข้าวบนแพ เที่ยวทุ่งดาวเรือง (เหลืองมากกกก) และไปปีนเขาชมพระอาทิตย์ตกจากจุดที่ไม่มีใครปีนขึ้นไปบนภูเรือ ก่อนจะมุ่งหน้าไปชุมชนท่องเที่ยวกกสะทอน) เอาภาพไปชมแบบฉบับย่อค่ะ
อันนี้คือ ห้วยกระทิง ที่ต้องมาทานอาหารบนแพ (แถมแพยังล่องพาเราไปเที่ยวกลางน้ำหลังเสิร์ฟอาหารครบทุกอย่าง และปล่อยเราทิ้งไว้จนกว่าจะพอใจ ลมแรงและชิวมากๆ คนท้องที่โดดน้ำกันตูมๆ เป็นที่ๆต้องมาแวะนะคะถ้ามีเวลา)
ทุ่งดาวเรืองที่ผ่านไปเห็นป้ายโดยบังเอิญระหว่างขับรถ เหลืองอร่ามมากๆ นี่แหละค่ะ ข้อดีของ Road Trip จะจอดตรงก็จอดเล้ย!
ปิดท้ายวันก่อนมุ่งหน้าไปยังภูลมโลด้วยภาพพระอาทิตย์ตกจากบนภูเรือค่ะ อยากได้รูปมุมแบบนี้หลังไมค์นะคะ
แผนที่ด้านล่างนี้เพื่อมุ่งไปยังชมรมท่องเที่ยวกกสะทอนค่ะ
กว่าจะไปถึงชมรมด้านบนทำเรากับเพื่อนใจเสียไปหลายที เพราะป้ายไม่มีเลย ต้องสอบถามชาวบ้านเอา แล้วทางขึ้นไปนี่เป็นภูเขาแบบทางไม่ดี ไม่มีไฟ ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไม่เห็นบ้านเรือนด้วยซ้ำจนเกือบถอดใจว่า ขับรถกลับลงไปกันไหม มาผิดทางแล้ว สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พอมีโทรติด ที่ชมรมที่บอกจะมีคนอยู่ตลอดก็ดันไม่มีคนรับ แต่เห็นรถยนต์ขับสวนลงมาหลายคันอยู่ ก็เลยตัดสินใจโบกเพื่อถาม โล่งใจที่พี่คนขับกระบะบอกว่า ขึ้นไปอีกน้อง จนแถวไหนมีไฟเยอะๆนั่นแหละ
หลังจากกระแทกกระทั้นกับทางที่คิดว่าไม่เหมาะกับมาซด้ามาเกือบชั่วโมง เราก็มาถึงชมรม ที่พอเข้าไปบอกว่าเราจองที่พักไว้แล้ว (แบบปากเปล่า ไม่มีการส่งยืนยันหลักฐาน จำได้แค่ว่าจองกับผู้หญิง) คนที่อยู่รอบดึกในชมรมก็ถามว่าจองกับใครไว้ยังไง ได้น้ำใจจากชาวบ้านบริเวณโดยรอบที่ร้านขายดอกไม้ ขายของชำเล็กๆน้อยๆนั้นพยายามช่วยคิดว่า ผู้หญิงที่เป็นผู้จัดการนู่นนี่ในชมรมคือใคร และพยายามโทรตามตัวให้ แถมบอกว่า ถ้าไม่มีที่พัก คืนนี้นอนเต๊นท์ด้วยกันฟรีก็ได้ เค้าก็นอนเหมือนกัน รอขายของช่วงเช้า เราซาบซึ้งน้ำใจยิ่งนัก แต่คืนนั้นอากาศหนาวเกินกว่าจะยอมตกลงง่ายๆ เราจึงขอรอให้ติดต่อได้แน่ๆก่อนค่อยตอบตกลง ระหว่างนั้นก็กินมาม่าร้อนๆ ข้าวเหนียวกับไข่ปิ้งที่เหลืออยู่ร้านเดียวหน้าชมรมรอไปพลางๆ (โดยลืมไปว่า ถ้าได้เข้าโฮมสเตย์ข้าวมื้อเย็นเค้าก็จะเตรียมไว้ให้เรา) แต่ตอนนั้น 3 ทุ่มกว่าแล้ว จะให้ไม่หิวยังไงไหว
พอเรากินข้าวใกล้อิ่มก็ได้รับข่าวดีว่า จองไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะให้คนของชมรมขับรถนำไปเพราะโฮมสเตย์ของเราจอดรถได้ ซึ่งลงเขามาอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึง โฮมสเตย์ของเรามีชื่อว่า เย็นจิต โฮมสเตย์ เพราะพี่ผู้หญิงชื่อพี่เย็นจิต ตอนแรกเราเข้าใจว่าจะต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ แต่ปรากฎว่าบ้านของพี่เย็นจิตรับได้แค่ 2 คนต่อครั้ง เพราะแกต่อเติมห้องเพิ่มที่หลังบ้านเป็นห้องนอนและห้องน้ำเพียง 1 ห้อง เราจึงกลายเป็นแขกคู่เดียวของคุณพี่ในคืนนั้น
ภาพพี่เย็นจิตและน้องซันเดย์ในห้องนอนของเราคืนนั้นค่ะ
พอไปถึงแกก็ถามไถ่จะกินข้าวเย็นอะไร ผัดกะเพราะหรือหมูทอดดี แกรออยู่กลัวไม่มา แต่เรากินไปเรียบร้อยแล้วเลยไม่กวนแกดีกว่า รีบไปอาบน้ำเตรียมตื่นเช้าเพราะพรุ่งนี้นัดรถของชมรมให้มารับตอนตี 4.30 เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนภูลมโล แกน่ารักมาก เสนอว่า เอาอาหารขึ้นไปกินบนภูไหมตอนเช้า เพราะมันไกลและบนนั้นไม่มีอะไรกินนะ แกจะตื่นมาทำให้แล้วใส่ตะกร้าเอาขึ้นไป น่ารักมากเลย เราตื่นเต้นมากเพราะจะได้ทำการ ฮานามิ (นั่งปิกนิกใต้ต้นซากุระ) แบบคนญี่ปุ่น 555 รู้สึกได้ถึงความตั้งอกตั้งใจของแกที่จะโฮสเรา ยิ่งเข้ามาในห้อง เจอการจัดแบบน่ารักๆบนโต๊ะซึ่งแกบอกว่า ลูกชายแกเป็นคนจัด ตื่นเต้นเพราะเราเป็นแขกกรุ๊ปที่ 2 ตั้งแต่แกเข้าร่วมโครงการ มีทั้งชากาแฟ ผลไม้ ดอกไม้ เตียงนอนก็บริการกางมุ้งให้ เป็นแบบบ้านๆได้ฟีลลิ่งมากๆ เรา 2 คนลืมนึกเรื่องผ้าเช็ดตัว แกก็ไปจัดหามาให้ แถมยังอนุญาตให้เราไปอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำในบ้านแกก็ได้เพราะเห็นว่าดึกแล้ว (น้ำสำหรับอาบในห้องแขกคือน้ำจากตุ่ม! ซึ่งอาจทำให้ถึงจุดเยือกแข็งได้ในเวลานั้น) ประทับใจตั้งแต่แรกเลย
เกริ่นนำมาซะยาวก่อนจะขึ้นภูกันจริงๆซะทีนะคะ ;p เกือบตี 5 รถกระบะของชาวบ้านมารับ เราเหมากันสองคน เพราะการไปรวมกับคนอื่นน่าจะลำบากในการอยากย้ายที่ หรือขึ้นลงคนละเวลา (และหลีกเลี่ยงการหัวติดฝุ่นถ้าต้องนั่งกระบะหลัง) และการเดินทางแบบกกสะทอน ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
เส้นทางคือต้องบอกตรงๆว่าแย่มาก ถึงแม้ตอนนั้นจะมืดมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง แต่สัมผัสได้อย่างรุนแรงว่า ถนนขึ้นไปบนภูนี้ เป็นยิ่งกว่าถนนลูกรัง ขรุขระสั่นเกือบทุก 30 วินาที เราเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมถึงต้องมีบริการถนำเที่ยว ไม่ให้ขับขึ้นมาเอง เครื่องในและทุกสิ่งอันคือสั่นหมด ความง่วงที่กะว่า ขึ้นรถปุ๊บชั้นหลับดีกว่า ไม่มีอีกแล้วค่ะคุณผู้ชม 5555 นั่งสั่นสะเทือนกันไปตลอดเวลากว่า 1 ชั่วโมงเต็มๆ เป็นประสบการณ์การขึ้นภูที่หาไม่สามารถหาที่ไหนอีกแล้วในโลกนึ้ค่ะเรารับรอง ไม่อยากจะคิดถึงตอนขาลงเล้ย นั่งไม่ง่วงไปชวนคุณพี่คนขับรถคุยไปไป ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่นี่มาว่า..
แปลงดอกพญาเสือโคร่งที่นี่มีอยู่ทั้งหมด 10 แปลง จะบานไล่จากบนสุดของเขามายังล่างสุด การบานเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่หนาวมากหรือน้อย ปีนี้หนาวน้อยและหนาวช้าทำให้ช่วงเวลาการบานไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่ช่วงเดียวกับที่เราไปจะบานมากจนเรียกได้ว่าเป็นช่วงพีคของฤดูกาลเลยทีเดียว ตอนนี้แปลงที่เรากำลังจะได้ไปคือแปลงที่ 8 กับ 9 ที่อยู่บนยอดของภู เพราะแปลง 10 บานและโรยไปมากแล้ว (เลขลำดับของแปลงก็ตามระดับความสูงซึ่งแปรผันกับเวลาการบาน) ส่วนเหล่าต้นพญาเสือโคร่งนี้ เป็นการปลูกอย่างตั้งใจ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเปิดมาได้สักประมาณ 3-4 ปีแล้ว และเป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่ชาวบ้านบนภูลมโล ชุมชนกกสะท้อนนี้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว (ช่วงปลายเดือน ธันวา ถึงต้นเดือนกุมภา) รถกระบะของชาวบ้านที่สำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวจากฝั่งกกสะทอนมีประมาณ 90 คัน ส่วนช่วงอื่นๆของปี พี่ๆก็จะทำไร่ทำสวนกันอยู่บนภูนี่ล่ะ
และแล้วเราก็มาถึงบนยอดภู ก่อนถึงมีแวะให้เข้าห้องน้ำ อากาศหนาวมากและได้เห็นว่า คนเยอะมาก เพราะบนนี้รวมคนที่มาจากฝั่งจังหวัดเลยและจังหวัดพิษณุโลกทั้งหมด
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น