อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
สวัสดี มิตรสหายชาวพันทิปทุกๆท่าน วันนี้ข้าพเจ้ามีความรู้มาแบ่งปัน เป็นความรู้ที่ได้มาจากการค้นหาข้อมูลจากวิกิพีเดียและเว็บไซต์ต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อันเป็นชนวนเหตุนำไปสู่เหตุการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายโลกเสรีและคอมมิวนิตส์ นำโดยสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
พอล บูเนี่ยน คือชื่อเรียกของยักษ์เพศชายตนหนึ่ง ตามตำนานกล่าวขานของชนอเมริกัน ว่ายักษ์ตนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีสัตว์เลี้ยงเป็นวัวสีฟ้า และมีขวานคู่ใจเพื่อใช้ตัดโค่นต้นไม้ แน่นอนว่าต้องเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก เพราะตัวของเจ้ายักษ์พอลเองนั้นก็สูงกว่า 50 ฟุต
........แต่เชื่อมั้ยครับ ยังมีต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งน่าพิศวง ลำต้นก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่ที่น่าประหลาดใจนั้น ก็เพราะมันยืนต้นขึ้นอยู่ในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม (Joint Security Area : JSA) ในบริเวณเขตปลอดทหาร (Korean Demilitarized Zone : DMZ) และด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน ที่แผ่ขยายจนบดบังจุดสังเกตการณ์นั้นเป็นเหตุ จึงเกือบทำให้แผ่นดินเกาหลีลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามคาบสมุทรเกาหลีไปแล้ว
เช้าของวันพุธที่ 18 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 เมื่อรถบรรทุกทหารแบบ M 35 Cargo วิ่งฮ้อตะบึงฝ่าสายลมเย็นเข้ามายังเขตปลอดทหาร เข้าจอดเทียบเคียงกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งยืนต้นอยู่ริมถนนในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม เหล่าชายฉกรรจ์ 14 นายจากกองกำลังสหประชาชาติ และอาสาสมัครทหารเกาหลีใต้ก็กระโดดลงมาจากท้ายรถบรรทุก พร้อมด้วยเครื่องมือตัดแต่งกิ่งไม้อาทิเช่น ขวาน เลื่อย และบันไดยาวสำหรับพาดไปยังต้นไม้ดังกล่าว ต้นไม้ต้นนี้อยู่บริเวณริมถนนซึ่งยืนต้นอยู่เยื้องๆ กั้นระหว่างป้อมจุดตรวจการณ์ OP-5 และ CP-3 ไว้ ซึ่งป้อม CP-3 นั้นเป็นเพียงป้อมตรวจการณ์ที่มีขนาดเล็ก และอยู่ใกล้ดินแดนเกาหลีเหนือมากกว่าจุดอื่นในบริเวณใกล้เคียงกัน มันจึงถูกเรียกว่า”ด่านเปลี่ยวโลกลืม” ดังนั้น ทหารยามที่ได้เข้าประจำอยู่ยังจุดนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อภัยอย่างสูง เพราะถัดออกไปไม่เกินห้าเมตรคือสะพานไปไม่หวนกลับ (Bridge of No Return) สะพานนี้เคยถูกใช้สำหรับแลกตัวเชลยกันในอดีต เพียงแต่ข้ามแม่น้ำแซชอนไปก็ถึงยังดินแดนเกาหลีเหนือแล้ว ด้วยกิ่งก้านสาขาที่แผ่ออกกว้างใหญ่ ทำให้ในช่วงฤดูหนาวนั้น ต้นไม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จนบดบังป้อมตรวจการณ์ CP-3 ไว้ ทหารยามที่อยู่ยังป้อม OP-5 จะไม่มีทางมองเห็นความเคลื่อนไหวยังป้อม CP-3 ได้เลย และนั้นจึงมีความพยายามอยู่บ่อยครั้งของทหารเกาหลีเหนือ ที่ข้ามสะพานมาเพื่อลักพาตัวทหารยามเกาหลีใต้ โดยการฉุดกระชากลากดึงข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือให้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทางกองกำลังสหประชาชาติ ร่วมกับกองกำลังอาสามสมัครเกาหลีใต้ จึงต้องเข้ามาตัดแต่งกิ่งต้นไม้ต้นนี้ เพื่อให้สามารถเพิ่มวิสัยทัศน์ในการตรวจการณ์ยังฝั่งป้อม CP-3 ได้ดีขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ Bridge of No Return สะพานไปไม่หวลกลับ คือสะพานที่กั้นระหว่างดินแดนเกาหลีทั้งสอง โดยใช้เส้นแบ่งชายแดน MDL (Military Demarcation Line) สำหรับแบ่งเขตแดนออกคนละฟาก ให้รวมถึงแม่น้ำที่อยู่ใต้สะพานนี้ด้วยต้องถูกแบ่งคนละฟากเช่นกัน สะพานนี้เคยถูกใช้สำหรับแลกเปลี่ยนนักโทษหรือเชลยศึก ในตอนช่วงปลายสงครามในปี 1953 และที่ได้ชื่อว่าไปไม่หวนกลับนั้น ก็เพราะเชลยจำนวนมากที่ถูกจับโดยฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ต้องการข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ และเชลยจากฝั่งเกาหลีเหนือ เมื่อข้ามสะพานมาได้ ก็ไม่อยากกลับไปฝั่งที่ตนเดินจากมาอีกนั้นเอง สะพานนี้ถูกใช้แลกเปลี่ยนเชลยครั้งสุดท้าย เมื่อปี 1968 โดยการแลกเปลี่ยน ปล่อยตัวนักโทษซึ่งเป็นลูกเรืออเมริกัน USS หลังจากนั้นมาก็ไม่มีผู้ใดใช้งานมันอีกเลย จนกระทั่งเกิดเหตุฆาตกรรมขวานในเดือนสิงหาคม ปี 1976
ในขณะที่ทหารฝ่ายสหประชาชาติ กำลังเพลินอยู่กับการพิจารณาเพื่อตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่นั้น ทุกอากัปกริยาการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถูกจับตามองโดยทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งยืนส่องกล้องมองมาแต่ไกล เพียงเวลาไม่ถึง 15 นาที ของการลงมือตัดแต่งกิ่งไม้เพียงกิ่งแรก ทหารเกาหลีเหนือ จำนวน 15 นาย โดยการนำของร้อยโท ปาร์ก ชุน ได้ข้ามสะพานมุ่งตรงเข้ามายังกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ก่อนจะเปิดฉากด่าทอร้อยเอก คิม นายทหารเกาหลีใต้ในทันที “ หยุดนะ ! หยุดการกระทำของพวกเจ้า บัดเดี๋ยวนี้นะ พวกเจ้ารู้หมือไร่ ต้นไม้ต้นนี้คือสมบัติของท่านผู้นำ “คิม อิล ซุง” ท่านได้ปลูกไว้ และมันเติบโตภายใต้การดูแลของท่านผู้นำเรา ” ฝ่ายทหารสหประชาชาติซึ่งได้แต่มองตากันเลิ่กลักต่างคุยกันซุบซิบ"เฮ้ยมันมาปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ ? "...ในระหว่างการโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง นายทหารสหรัฐฯสองนายผู้ควบคุมภารกิจในครั้งนั้นชื่อ ร้อยเอกอาร์เธอร์ โบนิฟาส(Capt. Arthur Bonifas) และร้อยโท มาร์ค บาเร็ต(Lt. Mark Barrett) ทั้งสองนายนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก่อนที่ผู้กองโบนิฟาสจะเดินหนีออกไปนั้น ได้สั่งให้ทหารทุกนายตัดกิ่งต้นไม้นั้นต่อ เมื่อเห็นว่าฝ่ายสหประชาชาติยังคงดื้อดึง ปาร์ค ชุน จึงได้สั่งให้ทหารเกาหลีเหนือนายหนึ่งวิ่งข้ามสะพานกลับไปยังดินแดนเกาหลีเหนือคืน เพียงเวลาไม่ถึงนาที ทหารคนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมกับรถบรรทุก ซึ่งพรึ่บไปด้วยทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย กระโจนออกมาจากท้ายกระบะบรรทุก พร้อมด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ต่างเข้าโอบล้อมทหารสหประชาชาติทั้งหมดไว้ เมื่อฝ่ายสหประชาชาตินั้นด้อยกำลังพลกว่าย่อมใจแป้วเป็นธรรมดานายทหารเกาหลีเหนือจึงบอกกำชับให้ผู้กองโบนิฟาส ออกคำสั่งหยุดกิจกรรมทั้งหมดอีกครั้ง แต่โบนิฟาสก็หาได้สนใจคำพูดของนายทหารเกาหลีเหนือคนนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังเดินหันหลังให้อย่างไม่ใยดี ปาร์ก ชุน คงโมโหแทบคลั่งแต่ยังยืนกัดกรามและอยู่ในอาการนิ่งสงบ เขาบรรจงถอดนาฬิกาที่ข้อมือออกอย่างช้าๆ ก่อนจะห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าและเก็บมันไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อ หลังจากนั้น…….. “ฆ่ามันซะ !” สิ้นคำสั่งลุยจาก ปาร์ก ชุน ทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายทหารสหประชาชาติทันที ผู้กองโบนิฟาสถูกหวดด้วยไม้กระบองอย่างแรงเข้าที่ด้านหลังจนล้มคะมำพื้นไป จากนั้นทหารเกาหลีเหนืออีกประมาณ 5 นาย จึงเข้ากระหน่ำตีผู้กองอเมริกันด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ทั้งนี้ทหารเกาหลีใต้บางนายถูกรุมกระทืบแบบสหบาทา 7ต่อ1 ในระหว่างนี้เองที่ผู้หมวด มาร์ค บาเร็ตพยายามจะวิ่งหนีออกจากพื้นที่ เขากระโดดข้ามผนังอิฐบล็อกที่ก่อล้อมสนามหญ้าไว้ โดยพยายามวิ่งลงไปยังแนวพุ่มไม้หนาที่อยู่ติดกำแพงด้านหลังของป้อม CP-3 เพื่อหลบภัย แต่ทหารเกาหลีเหนือซึ่งเขม่นเขาไว้อยู่แล้ว ก็กระโดดตามเขาไปอีกสองนายพร้อมกับขวานด้ามเขื่อง เหตุการณ์วิวาทกันดังกล่าวถูกรายงานไปยังเบื้องบนทันที ทั้งนี้ยังถูกบันทึกไว้ได้โดยกล้องถ่ายเลนส์ขนาด 35 ม.ม. ซึ่งอยู่ในป้อมตรวจการณ์ OP-5 และป้อม CP-3 แต่ไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์วินาทีที่หมวดบาเร็ต ฟุบหายเข้าไปยังแนวพุ่มไม้ใกล้กำแพงได้เลย การต่อสู้ทั้งหมดกินระยะเวลาเพียง 20-30 นาที ก่อนที่ฝ่ายสหประชาชาติจะหนีซมซานออกมาด้วยร่างกายสะบักสะบอม ในขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือวางร่างของผู้กองโบนิฟาสไว้ยังท้ายรถบรรทุกของสหประชาชาติเอง และหลบกลับไปยังดินแดนของตน หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินของสหประชาชาติได้รุดเข้าพื้นที่ทันที และทำการค้นหาร่างของหมวดบาเร็ต ตามการวิเคราะห์จากภาพฟิมล์ที่บันทึกขณะเกิดเหตุ ซึ่งพบทหารยามเกาหลีเหนือพร้อมขวานสองนาย วิ่งออกมาจากป้อมจุดตรวจการณ์ KPA-8 จึงได้ทำการค้นหาและพบร่างของหมวดบาเร็ต ซึ่งฉกรรจ์ไปด้วยบาดแผลจากของมีคม ก่อนนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน แต่ผู้กองโบนิฟาส และหมวดบาเร็ตทั้งสองนายนี้ ได้เสียชีวิตระหว่างการนำส่ง...
ไม่นานหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้น สื่อเกาหลีเหนือเริ่มออกอากาศรายงานของการต่อสู้
“วันนี้ เมื่อเวลา 10:45 น. เราถูกรุกรานโดยจักรวรรดินิยมอเมริกัน ซึ่งได้ส่ง 14 เหล่าร้ายพร้อมด้วยขวาน เข้ามาในพื้นที่ร่วมรักษาความปลอดภัย เพื่อตัดต้นไม้โดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ฝ่ายตน การทำงานดังกล่าวควรได้รับการยินยอมร่วมกันก่อน ในขณะที่ฝ่ายเราได้ห้ามปรามการกระทำนั้นแล้ว กลับถูกตอบโต้ โดยการกระทำที่ยั่วยุอย่างร้ายแรง ด้วยการกวัดแกว่งอาวุธ และตีทำร้ายคนของเราก่อน เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถป้องกันตนเอง จากการกระทำภายใต้สถานการณ์ของการยั่วยุโดยประมาทครั้งนี้” ภายในสี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ต่อสู้ คิม จองอิล (บุตรชายของผู้นำเกาหลีเหนือคิม อิลซุง) ได้ร่อนจดหมายแถลงการณ์ไปยังที่ประชุมโคลอมเบียและศรีลังกาเพื่อประณามการยั่วยุ และเรียกร้องให้ทหารสหรัฐฯและทหารสหประชาชาติสลายตัวออกจากเขตปลอดทหารทั้งหมด โดยทางการคิวบาเองก็หนุนเกาหลีเหนือถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ด้วย ในขณะที่ CIA ได้ประเมินสถานการณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าการโจมตีครั้งนี้ ได้รับการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อสร้างสถานการณ์ความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯจึงเพิ่มมาตราการระดับการเผชิญหน้า 3 DEFCON ทันที...
การตอบสนองต่อเหตุการณ์ "ฆาตกรรมขวาน" ของฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่อมาตรการครั้งแรกที่ต้องการเพียงตัดแต่งกิ่งไม้เท่านั้น แต่คราวนี้ พวกเขาจะโค่นต้นไม้ลงแม่มเสียเลย การวางแผนปฏิบัติการหยามน้ำหน้าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ จึงถูงกางลงบนโต๊ะที่ประชุมในทันทีของวันที่ 19 สิงหาคม โดยแผนการทั้งหมดประธานาธิบดี เจอร์เนอร์รัล ฟอร์ด ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดี ปาร์ก จองฮี ผู้นำเกาหลีใต้ก็รับรู้ และกังวลใจต่อวิกฤตการณ์การเผชิญหน้า และการแสดงความแข็งแกร่งทางทหารเพื่อตบเกรียนสั่งสอนเกาหลีเหนือในครั้งนี้ ทั้งนี้ผู้นำทั้งสองยังสั่งกำชับให้มีความรอบคอบ จัดการอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมซึ่งอาจลามไปสู่สงครามใหญ่ได้อีกครั้ง ด้วยการวางแผนมากกว่าสองวันโดยนายพล ริชาร์ด จี สติลเวล และเหล่าขุนศึกทั้งสหรัฐฯและเกาหลีใต้ ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงโซล โดยให้ชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ว่า พอล บูเนี่ยน “Operation Paul Bunyan”
คราวนี้ล่ะ เจ้ายักษ์ใหญ่ พอล บูเนี่ยน จะกระโจนเข้าสู่ ปันมันจอม จังหวัดซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านร้างในเขต DMZ เสียที ลงไปดูหน่อยสิว่า แค่ต้นไม้ต้นเดียว มันจะอะไรกันนัก กันหนา.....
operation paul bunyan ชายคนนั้นชื่อพอล บันยัน
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
สวัสดี มิตรสหายชาวพันทิปทุกๆท่าน วันนี้ข้าพเจ้ามีความรู้มาแบ่งปัน เป็นความรู้ที่ได้มาจากการค้นหาข้อมูลจากวิกิพีเดียและเว็บไซต์ต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อันเป็นชนวนเหตุนำไปสู่เหตุการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายโลกเสรีและคอมมิวนิตส์ นำโดยสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
พอล บูเนี่ยน คือชื่อเรียกของยักษ์เพศชายตนหนึ่ง ตามตำนานกล่าวขานของชนอเมริกัน ว่ายักษ์ตนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีสัตว์เลี้ยงเป็นวัวสีฟ้า และมีขวานคู่ใจเพื่อใช้ตัดโค่นต้นไม้ แน่นอนว่าต้องเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก เพราะตัวของเจ้ายักษ์พอลเองนั้นก็สูงกว่า 50 ฟุต
........แต่เชื่อมั้ยครับ ยังมีต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งน่าพิศวง ลำต้นก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่ที่น่าประหลาดใจนั้น ก็เพราะมันยืนต้นขึ้นอยู่ในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม (Joint Security Area : JSA) ในบริเวณเขตปลอดทหาร (Korean Demilitarized Zone : DMZ) และด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน ที่แผ่ขยายจนบดบังจุดสังเกตการณ์นั้นเป็นเหตุ จึงเกือบทำให้แผ่นดินเกาหลีลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามคาบสมุทรเกาหลีไปแล้ว
เช้าของวันพุธที่ 18 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 เมื่อรถบรรทุกทหารแบบ M 35 Cargo วิ่งฮ้อตะบึงฝ่าสายลมเย็นเข้ามายังเขตปลอดทหาร เข้าจอดเทียบเคียงกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งยืนต้นอยู่ริมถนนในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม เหล่าชายฉกรรจ์ 14 นายจากกองกำลังสหประชาชาติ และอาสาสมัครทหารเกาหลีใต้ก็กระโดดลงมาจากท้ายรถบรรทุก พร้อมด้วยเครื่องมือตัดแต่งกิ่งไม้อาทิเช่น ขวาน เลื่อย และบันไดยาวสำหรับพาดไปยังต้นไม้ดังกล่าว ต้นไม้ต้นนี้อยู่บริเวณริมถนนซึ่งยืนต้นอยู่เยื้องๆ กั้นระหว่างป้อมจุดตรวจการณ์ OP-5 และ CP-3 ไว้ ซึ่งป้อม CP-3 นั้นเป็นเพียงป้อมตรวจการณ์ที่มีขนาดเล็ก และอยู่ใกล้ดินแดนเกาหลีเหนือมากกว่าจุดอื่นในบริเวณใกล้เคียงกัน มันจึงถูกเรียกว่า”ด่านเปลี่ยวโลกลืม” ดังนั้น ทหารยามที่ได้เข้าประจำอยู่ยังจุดนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อภัยอย่างสูง เพราะถัดออกไปไม่เกินห้าเมตรคือสะพานไปไม่หวนกลับ (Bridge of No Return) สะพานนี้เคยถูกใช้สำหรับแลกตัวเชลยกันในอดีต เพียงแต่ข้ามแม่น้ำแซชอนไปก็ถึงยังดินแดนเกาหลีเหนือแล้ว ด้วยกิ่งก้านสาขาที่แผ่ออกกว้างใหญ่ ทำให้ในช่วงฤดูหนาวนั้น ต้นไม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จนบดบังป้อมตรวจการณ์ CP-3 ไว้ ทหารยามที่อยู่ยังป้อม OP-5 จะไม่มีทางมองเห็นความเคลื่อนไหวยังป้อม CP-3 ได้เลย และนั้นจึงมีความพยายามอยู่บ่อยครั้งของทหารเกาหลีเหนือ ที่ข้ามสะพานมาเพื่อลักพาตัวทหารยามเกาหลีใต้ โดยการฉุดกระชากลากดึงข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือให้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทางกองกำลังสหประชาชาติ ร่วมกับกองกำลังอาสามสมัครเกาหลีใต้ จึงต้องเข้ามาตัดแต่งกิ่งต้นไม้ต้นนี้ เพื่อให้สามารถเพิ่มวิสัยทัศน์ในการตรวจการณ์ยังฝั่งป้อม CP-3 ได้ดีขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในขณะที่ทหารฝ่ายสหประชาชาติ กำลังเพลินอยู่กับการพิจารณาเพื่อตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่นั้น ทุกอากัปกริยาการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถูกจับตามองโดยทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งยืนส่องกล้องมองมาแต่ไกล เพียงเวลาไม่ถึง 15 นาที ของการลงมือตัดแต่งกิ่งไม้เพียงกิ่งแรก ทหารเกาหลีเหนือ จำนวน 15 นาย โดยการนำของร้อยโท ปาร์ก ชุน ได้ข้ามสะพานมุ่งตรงเข้ามายังกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ก่อนจะเปิดฉากด่าทอร้อยเอก คิม นายทหารเกาหลีใต้ในทันที “ หยุดนะ ! หยุดการกระทำของพวกเจ้า บัดเดี๋ยวนี้นะ พวกเจ้ารู้หมือไร่ ต้นไม้ต้นนี้คือสมบัติของท่านผู้นำ “คิม อิล ซุง” ท่านได้ปลูกไว้ และมันเติบโตภายใต้การดูแลของท่านผู้นำเรา ” ฝ่ายทหารสหประชาชาติซึ่งได้แต่มองตากันเลิ่กลักต่างคุยกันซุบซิบ"เฮ้ยมันมาปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ ? "...ในระหว่างการโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง นายทหารสหรัฐฯสองนายผู้ควบคุมภารกิจในครั้งนั้นชื่อ ร้อยเอกอาร์เธอร์ โบนิฟาส(Capt. Arthur Bonifas) และร้อยโท มาร์ค บาเร็ต(Lt. Mark Barrett) ทั้งสองนายนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก่อนที่ผู้กองโบนิฟาสจะเดินหนีออกไปนั้น ได้สั่งให้ทหารทุกนายตัดกิ่งต้นไม้นั้นต่อ เมื่อเห็นว่าฝ่ายสหประชาชาติยังคงดื้อดึง ปาร์ค ชุน จึงได้สั่งให้ทหารเกาหลีเหนือนายหนึ่งวิ่งข้ามสะพานกลับไปยังดินแดนเกาหลีเหนือคืน เพียงเวลาไม่ถึงนาที ทหารคนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมกับรถบรรทุก ซึ่งพรึ่บไปด้วยทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย กระโจนออกมาจากท้ายกระบะบรรทุก พร้อมด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ต่างเข้าโอบล้อมทหารสหประชาชาติทั้งหมดไว้ เมื่อฝ่ายสหประชาชาตินั้นด้อยกำลังพลกว่าย่อมใจแป้วเป็นธรรมดานายทหารเกาหลีเหนือจึงบอกกำชับให้ผู้กองโบนิฟาส ออกคำสั่งหยุดกิจกรรมทั้งหมดอีกครั้ง แต่โบนิฟาสก็หาได้สนใจคำพูดของนายทหารเกาหลีเหนือคนนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังเดินหันหลังให้อย่างไม่ใยดี ปาร์ก ชุน คงโมโหแทบคลั่งแต่ยังยืนกัดกรามและอยู่ในอาการนิ่งสงบ เขาบรรจงถอดนาฬิกาที่ข้อมือออกอย่างช้าๆ ก่อนจะห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าและเก็บมันไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อ หลังจากนั้น…….. “ฆ่ามันซะ !” สิ้นคำสั่งลุยจาก ปาร์ก ชุน ทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายทหารสหประชาชาติทันที ผู้กองโบนิฟาสถูกหวดด้วยไม้กระบองอย่างแรงเข้าที่ด้านหลังจนล้มคะมำพื้นไป จากนั้นทหารเกาหลีเหนืออีกประมาณ 5 นาย จึงเข้ากระหน่ำตีผู้กองอเมริกันด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ทั้งนี้ทหารเกาหลีใต้บางนายถูกรุมกระทืบแบบสหบาทา 7ต่อ1 ในระหว่างนี้เองที่ผู้หมวด มาร์ค บาเร็ตพยายามจะวิ่งหนีออกจากพื้นที่ เขากระโดดข้ามผนังอิฐบล็อกที่ก่อล้อมสนามหญ้าไว้ โดยพยายามวิ่งลงไปยังแนวพุ่มไม้หนาที่อยู่ติดกำแพงด้านหลังของป้อม CP-3 เพื่อหลบภัย แต่ทหารเกาหลีเหนือซึ่งเขม่นเขาไว้อยู่แล้ว ก็กระโดดตามเขาไปอีกสองนายพร้อมกับขวานด้ามเขื่อง เหตุการณ์วิวาทกันดังกล่าวถูกรายงานไปยังเบื้องบนทันที ทั้งนี้ยังถูกบันทึกไว้ได้โดยกล้องถ่ายเลนส์ขนาด 35 ม.ม. ซึ่งอยู่ในป้อมตรวจการณ์ OP-5 และป้อม CP-3 แต่ไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์วินาทีที่หมวดบาเร็ต ฟุบหายเข้าไปยังแนวพุ่มไม้ใกล้กำแพงได้เลย การต่อสู้ทั้งหมดกินระยะเวลาเพียง 20-30 นาที ก่อนที่ฝ่ายสหประชาชาติจะหนีซมซานออกมาด้วยร่างกายสะบักสะบอม ในขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือวางร่างของผู้กองโบนิฟาสไว้ยังท้ายรถบรรทุกของสหประชาชาติเอง และหลบกลับไปยังดินแดนของตน หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินของสหประชาชาติได้รุดเข้าพื้นที่ทันที และทำการค้นหาร่างของหมวดบาเร็ต ตามการวิเคราะห์จากภาพฟิมล์ที่บันทึกขณะเกิดเหตุ ซึ่งพบทหารยามเกาหลีเหนือพร้อมขวานสองนาย วิ่งออกมาจากป้อมจุดตรวจการณ์ KPA-8 จึงได้ทำการค้นหาและพบร่างของหมวดบาเร็ต ซึ่งฉกรรจ์ไปด้วยบาดแผลจากของมีคม ก่อนนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน แต่ผู้กองโบนิฟาส และหมวดบาเร็ตทั้งสองนายนี้ ได้เสียชีวิตระหว่างการนำส่ง...
ไม่นานหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้น สื่อเกาหลีเหนือเริ่มออกอากาศรายงานของการต่อสู้
“วันนี้ เมื่อเวลา 10:45 น. เราถูกรุกรานโดยจักรวรรดินิยมอเมริกัน ซึ่งได้ส่ง 14 เหล่าร้ายพร้อมด้วยขวาน เข้ามาในพื้นที่ร่วมรักษาความปลอดภัย เพื่อตัดต้นไม้โดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ฝ่ายตน การทำงานดังกล่าวควรได้รับการยินยอมร่วมกันก่อน ในขณะที่ฝ่ายเราได้ห้ามปรามการกระทำนั้นแล้ว กลับถูกตอบโต้ โดยการกระทำที่ยั่วยุอย่างร้ายแรง ด้วยการกวัดแกว่งอาวุธ และตีทำร้ายคนของเราก่อน เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถป้องกันตนเอง จากการกระทำภายใต้สถานการณ์ของการยั่วยุโดยประมาทครั้งนี้” ภายในสี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ต่อสู้ คิม จองอิล (บุตรชายของผู้นำเกาหลีเหนือคิม อิลซุง) ได้ร่อนจดหมายแถลงการณ์ไปยังที่ประชุมโคลอมเบียและศรีลังกาเพื่อประณามการยั่วยุ และเรียกร้องให้ทหารสหรัฐฯและทหารสหประชาชาติสลายตัวออกจากเขตปลอดทหารทั้งหมด โดยทางการคิวบาเองก็หนุนเกาหลีเหนือถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ด้วย ในขณะที่ CIA ได้ประเมินสถานการณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าการโจมตีครั้งนี้ ได้รับการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อสร้างสถานการณ์ความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯจึงเพิ่มมาตราการระดับการเผชิญหน้า 3 DEFCON ทันที...
การตอบสนองต่อเหตุการณ์ "ฆาตกรรมขวาน" ของฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่อมาตรการครั้งแรกที่ต้องการเพียงตัดแต่งกิ่งไม้เท่านั้น แต่คราวนี้ พวกเขาจะโค่นต้นไม้ลงแม่มเสียเลย การวางแผนปฏิบัติการหยามน้ำหน้าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ จึงถูงกางลงบนโต๊ะที่ประชุมในทันทีของวันที่ 19 สิงหาคม โดยแผนการทั้งหมดประธานาธิบดี เจอร์เนอร์รัล ฟอร์ด ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดี ปาร์ก จองฮี ผู้นำเกาหลีใต้ก็รับรู้ และกังวลใจต่อวิกฤตการณ์การเผชิญหน้า และการแสดงความแข็งแกร่งทางทหารเพื่อตบเกรียนสั่งสอนเกาหลีเหนือในครั้งนี้ ทั้งนี้ผู้นำทั้งสองยังสั่งกำชับให้มีความรอบคอบ จัดการอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมซึ่งอาจลามไปสู่สงครามใหญ่ได้อีกครั้ง ด้วยการวางแผนมากกว่าสองวันโดยนายพล ริชาร์ด จี สติลเวล และเหล่าขุนศึกทั้งสหรัฐฯและเกาหลีใต้ ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงโซล โดยให้ชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ว่า พอล บูเนี่ยน “Operation Paul Bunyan”
คราวนี้ล่ะ เจ้ายักษ์ใหญ่ พอล บูเนี่ยน จะกระโจนเข้าสู่ ปันมันจอม จังหวัดซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านร้างในเขต DMZ เสียที ลงไปดูหน่อยสิว่า แค่ต้นไม้ต้นเดียว มันจะอะไรกันนัก กันหนา.....