operation paul bunyan ชายคนนั้นชื่อพอล บันยัน

อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
        สวัสดี มิตรสหายชาวพันทิปทุกๆท่าน วันนี้ข้าพเจ้ามีความรู้มาแบ่งปัน เป็นความรู้ที่ได้มาจากการค้นหาข้อมูลจากวิกิพีเดียและเว็บไซต์ต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง อันเป็นชนวนเหตุนำไปสู่เหตุการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายโลกเสรีและคอมมิวนิตส์ นำโดยสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/


        พอล บูเนี่ยน คือชื่อเรียกของยักษ์เพศชายตนหนึ่ง ตามตำนานกล่าวขานของชนอเมริกัน ว่ายักษ์ตนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีสัตว์เลี้ยงเป็นวัวสีฟ้า และมีขวานคู่ใจเพื่อใช้ตัดโค่นต้นไม้ แน่นอนว่าต้องเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก เพราะตัวของเจ้ายักษ์พอลเองนั้นก็สูงกว่า 50 ฟุต
........แต่เชื่อมั้ยครับ ยังมีต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งน่าพิศวง ลำต้นก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่ที่น่าประหลาดใจนั้น ก็เพราะมันยืนต้นขึ้นอยู่ในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม (Joint Security Area : JSA) ในบริเวณเขตปลอดทหาร (Korean Demilitarized Zone : DMZ) และด้วยกิ่งก้านสาขาของมัน ที่แผ่ขยายจนบดบังจุดสังเกตการณ์นั้นเป็นเหตุ จึงเกือบทำให้แผ่นดินเกาหลีลุกเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามคาบสมุทรเกาหลีไปแล้ว
        เช้าของวันพุธที่ 18 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1976 เมื่อรถบรรทุกทหารแบบ M 35 Cargo วิ่งฮ้อตะบึงฝ่าสายลมเย็นเข้ามายังเขตปลอดทหาร เข้าจอดเทียบเคียงกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งยืนต้นอยู่ริมถนนในเขตรักษาความปลอดภัยร่วม เหล่าชายฉกรรจ์ 14 นายจากกองกำลังสหประชาชาติ และอาสาสมัครทหารเกาหลีใต้ก็กระโดดลงมาจากท้ายรถบรรทุก พร้อมด้วยเครื่องมือตัดแต่งกิ่งไม้อาทิเช่น ขวาน เลื่อย และบันไดยาวสำหรับพาดไปยังต้นไม้ดังกล่าว ต้นไม้ต้นนี้อยู่บริเวณริมถนนซึ่งยืนต้นอยู่เยื้องๆ กั้นระหว่างป้อมจุดตรวจการณ์ OP-5 และ CP-3 ไว้ ซึ่งป้อม CP-3 นั้นเป็นเพียงป้อมตรวจการณ์ที่มีขนาดเล็ก และอยู่ใกล้ดินแดนเกาหลีเหนือมากกว่าจุดอื่นในบริเวณใกล้เคียงกัน มันจึงถูกเรียกว่า”ด่านเปลี่ยวโลกลืม” ดังนั้น ทหารยามที่ได้เข้าประจำอยู่ยังจุดนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อภัยอย่างสูง เพราะถัดออกไปไม่เกินห้าเมตรคือสะพานไปไม่หวนกลับ (Bridge of No Return) สะพานนี้เคยถูกใช้สำหรับแลกตัวเชลยกันในอดีต เพียงแต่ข้ามแม่น้ำแซชอนไปก็ถึงยังดินแดนเกาหลีเหนือแล้ว  ด้วยกิ่งก้านสาขาที่แผ่ออกกว้างใหญ่ ทำให้ในช่วงฤดูหนาวนั้น ต้นไม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จนบดบังป้อมตรวจการณ์ CP-3 ไว้ ทหารยามที่อยู่ยังป้อม OP-5 จะไม่มีทางมองเห็นความเคลื่อนไหวยังป้อม CP-3 ได้เลย และนั้นจึงมีความพยายามอยู่บ่อยครั้งของทหารเกาหลีเหนือ ที่ข้ามสะพานมาเพื่อลักพาตัวทหารยามเกาหลีใต้ โดยการฉุดกระชากลากดึงข้ามไปยังฝั่งเกาหลีเหนือให้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทางกองกำลังสหประชาชาติ ร่วมกับกองกำลังอาสามสมัครเกาหลีใต้ จึงต้องเข้ามาตัดแต่งกิ่งต้นไม้ต้นนี้ เพื่อให้สามารถเพิ่มวิสัยทัศน์ในการตรวจการณ์ยังฝั่งป้อม CP-3 ได้ดีขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
        ในขณะที่ทหารฝ่ายสหประชาชาติ กำลังเพลินอยู่กับการพิจารณาเพื่อตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่นั้น ทุกอากัปกริยาการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถูกจับตามองโดยทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งยืนส่องกล้องมองมาแต่ไกล เพียงเวลาไม่ถึง 15 นาที ของการลงมือตัดแต่งกิ่งไม้เพียงกิ่งแรก ทหารเกาหลีเหนือ จำนวน 15 นาย โดยการนำของร้อยโท ปาร์ก ชุน  ได้ข้ามสะพานมุ่งตรงเข้ามายังกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ก่อนจะเปิดฉากด่าทอร้อยเอก คิม นายทหารเกาหลีใต้ในทันที  “ หยุดนะ ! หยุดการกระทำของพวกเจ้า บัดเดี๋ยวนี้นะ พวกเจ้ารู้หมือไร่ ต้นไม้ต้นนี้คือสมบัติของท่านผู้นำ “คิม อิล ซุง” ท่านได้ปลูกไว้ และมันเติบโตภายใต้การดูแลของท่านผู้นำเรา ”  ฝ่ายทหารสหประชาชาติซึ่งได้แต่มองตากันเลิ่กลักต่างคุยกันซุบซิบ"เฮ้ยมันมาปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหรวะ ? "...ในระหว่างการโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง นายทหารสหรัฐฯสองนายผู้ควบคุมภารกิจในครั้งนั้นชื่อ ร้อยเอกอาร์เธอร์ โบนิฟาส(Capt. Arthur Bonifas) และร้อยโท มาร์ค บาเร็ต(Lt. Mark Barrett) ทั้งสองนายนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก่อนที่ผู้กองโบนิฟาสจะเดินหนีออกไปนั้น ได้สั่งให้ทหารทุกนายตัดกิ่งต้นไม้นั้นต่อ เมื่อเห็นว่าฝ่ายสหประชาชาติยังคงดื้อดึง ปาร์ค ชุน จึงได้สั่งให้ทหารเกาหลีเหนือนายหนึ่งวิ่งข้ามสะพานกลับไปยังดินแดนเกาหลีเหนือคืน เพียงเวลาไม่ถึงนาที ทหารคนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมกับรถบรรทุก ซึ่งพรึ่บไปด้วยทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย กระโจนออกมาจากท้ายกระบะบรรทุก พร้อมด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ต่างเข้าโอบล้อมทหารสหประชาชาติทั้งหมดไว้ เมื่อฝ่ายสหประชาชาตินั้นด้อยกำลังพลกว่าย่อมใจแป้วเป็นธรรมดานายทหารเกาหลีเหนือจึงบอกกำชับให้ผู้กองโบนิฟาส ออกคำสั่งหยุดกิจกรรมทั้งหมดอีกครั้ง แต่โบนิฟาสก็หาได้สนใจคำพูดของนายทหารเกาหลีเหนือคนนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังเดินหันหลังให้อย่างไม่ใยดี ปาร์ก ชุน คงโมโหแทบคลั่งแต่ยังยืนกัดกรามและอยู่ในอาการนิ่งสงบ เขาบรรจงถอดนาฬิกาที่ข้อมือออกอย่างช้าๆ ก่อนจะห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าและเก็บมันไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อ หลังจากนั้น…….. “ฆ่ามันซะ !” สิ้นคำสั่งลุยจาก ปาร์ก ชุน ทหารเกาหลีเหนือกว่า 20 นาย ก็เข้ากลุ้มรุมทำร้ายทหารสหประชาชาติทันที ผู้กองโบนิฟาสถูกหวดด้วยไม้กระบองอย่างแรงเข้าที่ด้านหลังจนล้มคะมำพื้นไป จากนั้นทหารเกาหลีเหนืออีกประมาณ 5 นาย จึงเข้ากระหน่ำตีผู้กองอเมริกันด้วยไม้กระบองและเหล็กแชลง ทั้งนี้ทหารเกาหลีใต้บางนายถูกรุมกระทืบแบบสหบาทา 7ต่อ1 ในระหว่างนี้เองที่ผู้หมวด มาร์ค บาเร็ตพยายามจะวิ่งหนีออกจากพื้นที่ เขากระโดดข้ามผนังอิฐบล็อกที่ก่อล้อมสนามหญ้าไว้ โดยพยายามวิ่งลงไปยังแนวพุ่มไม้หนาที่อยู่ติดกำแพงด้านหลังของป้อม CP-3 เพื่อหลบภัย แต่ทหารเกาหลีเหนือซึ่งเขม่นเขาไว้อยู่แล้ว ก็กระโดดตามเขาไปอีกสองนายพร้อมกับขวานด้ามเขื่อง เหตุการณ์วิวาทกันดังกล่าวถูกรายงานไปยังเบื้องบนทันที ทั้งนี้ยังถูกบันทึกไว้ได้โดยกล้องถ่ายเลนส์ขนาด 35 ม.ม. ซึ่งอยู่ในป้อมตรวจการณ์ OP-5 และป้อม CP-3 แต่ไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์วินาทีที่หมวดบาเร็ต ฟุบหายเข้าไปยังแนวพุ่มไม้ใกล้กำแพงได้เลย การต่อสู้ทั้งหมดกินระยะเวลาเพียง 20-30 นาที ก่อนที่ฝ่ายสหประชาชาติจะหนีซมซานออกมาด้วยร่างกายสะบักสะบอม ในขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือวางร่างของผู้กองโบนิฟาสไว้ยังท้ายรถบรรทุกของสหประชาชาติเอง และหลบกลับไปยังดินแดนของตน หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินของสหประชาชาติได้รุดเข้าพื้นที่ทันที และทำการค้นหาร่างของหมวดบาเร็ต ตามการวิเคราะห์จากภาพฟิมล์ที่บันทึกขณะเกิดเหตุ ซึ่งพบทหารยามเกาหลีเหนือพร้อมขวานสองนาย วิ่งออกมาจากป้อมจุดตรวจการณ์ KPA-8 จึงได้ทำการค้นหาและพบร่างของหมวดบาเร็ต ซึ่งฉกรรจ์ไปด้วยบาดแผลจากของมีคม ก่อนนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน แต่ผู้กองโบนิฟาส และหมวดบาเร็ตทั้งสองนายนี้ ได้เสียชีวิตระหว่างการนำส่ง...
ไม่นานหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้น สื่อเกาหลีเหนือเริ่มออกอากาศรายงานของการต่อสู้
“วันนี้ เมื่อเวลา 10:45 น. เราถูกรุกรานโดยจักรวรรดินิยมอเมริกัน ซึ่งได้ส่ง 14 เหล่าร้ายพร้อมด้วยขวาน เข้ามาในพื้นที่ร่วมรักษาความปลอดภัย เพื่อตัดต้นไม้โดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ฝ่ายตน การทำงานดังกล่าวควรได้รับการยินยอมร่วมกันก่อน ในขณะที่ฝ่ายเราได้ห้ามปรามการกระทำนั้นแล้ว กลับถูกตอบโต้ โดยการกระทำที่ยั่วยุอย่างร้ายแรง ด้วยการกวัดแกว่งอาวุธ และตีทำร้ายคนของเราก่อน เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถป้องกันตนเอง จากการกระทำภายใต้สถานการณ์ของการยั่วยุโดยประมาทครั้งนี้” ภายในสี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ต่อสู้ คิม จองอิล (บุตรชายของผู้นำเกาหลีเหนือคิม อิลซุง) ได้ร่อนจดหมายแถลงการณ์ไปยังที่ประชุมโคลอมเบียและศรีลังกาเพื่อประณามการยั่วยุ และเรียกร้องให้ทหารสหรัฐฯและทหารสหประชาชาติสลายตัวออกจากเขตปลอดทหารทั้งหมด โดยทางการคิวบาเองก็หนุนเกาหลีเหนือถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ด้วย ในขณะที่ CIA ได้ประเมินสถานการณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าการโจมตีครั้งนี้ ได้รับการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อสร้างสถานการณ์ความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯจึงเพิ่มมาตราการระดับการเผชิญหน้า 3 DEFCON ทันที...
        การตอบสนองต่อเหตุการณ์ "ฆาตกรรมขวาน" ของฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่อมาตรการครั้งแรกที่ต้องการเพียงตัดแต่งกิ่งไม้เท่านั้น แต่คราวนี้ พวกเขาจะโค่นต้นไม้ลงแม่มเสียเลย การวางแผนปฏิบัติการหยามน้ำหน้าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ จึงถูงกางลงบนโต๊ะที่ประชุมในทันทีของวันที่ 19 สิงหาคม โดยแผนการทั้งหมดประธานาธิบดี เจอร์เนอร์รัล ฟอร์ด ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดี ปาร์ก จองฮี ผู้นำเกาหลีใต้ก็รับรู้ และกังวลใจต่อวิกฤตการณ์การเผชิญหน้า และการแสดงความแข็งแกร่งทางทหารเพื่อตบเกรียนสั่งสอนเกาหลีเหนือในครั้งนี้ ทั้งนี้ผู้นำทั้งสองยังสั่งกำชับให้มีความรอบคอบ จัดการอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมซึ่งอาจลามไปสู่สงครามใหญ่ได้อีกครั้ง ด้วยการวางแผนมากกว่าสองวันโดยนายพล ริชาร์ด จี สติลเวล และเหล่าขุนศึกทั้งสหรัฐฯและเกาหลีใต้ ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงโซล โดยให้ชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ว่า พอล บูเนี่ยน “Operation Paul Bunyan”
คราวนี้ล่ะ เจ้ายักษ์ใหญ่ พอล บูเนี่ยน จะกระโจนเข้าสู่ ปันมันจอม จังหวัดซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านร้างในเขต DMZ เสียที ลงไปดูหน่อยสิว่า แค่ต้นไม้ต้นเดียว มันจะอะไรกันนัก กันหนา.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่