เริ่มต้นทัวนาเม้นต์แรก กับ ชิงแช้มป์เอเชีย U23 เพื่อคัด 3 ทีม จาก 40กว่าทีมเพื่อเป็นตัวแทนเอเชียในโอลิมปิค
สำหรับไทย ถือเป็นการกลับมาเข้าสู่เวทีเอเชียอีกครั้ง จะถือว่าเป็นการก้าวย่าง หรือการทดสอบ อะไรก็แล้วแต่
สำหรับแฟนบอล ถือเป็นเรื่องจริงจังมากกับทัวนาเม้นต์แรกนี้
หลังจากที่เราเสมอกับซาอุ 1-1 แบบฟอร์มที่มีข้อผิดพลาดเยอะ
แล้วมาแพ้ญี่ปุ่นแบบขาดลอย ทั้งสกอร์ และรูปเกมส์ 4-0
ทำให้เกิดกระแสด้านลบต่อทีมชาติไทยอย่างชัดเจนในโลกโซเชียล โดยเฉพาะแฟนบอลรุ่นใหม่
มานั่งวิเคราะห์เหตุการณ์ในลักษณะนี้ แล้วคิดต่อว่า
ถ้าทีมชาติชุดใหญ่ของเราเข้ารอบ 12 ทีม คัดบอลโลก จะต้องไปเจอทีมแข็งระดับเอเชีย
ถ้าเกิดแพ้บ่อยๆ แฟนบอลจะสูญเสียความมั่นใจ และศรัทธาที่มีต่อโค้ชหรือไม่
เมื่อปีที่แล้ว หลายคนก็พูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้น ผลงานทีมชุดใหญ่ของเรายังดีอยู่
หลายคนก็เลยมองข้ามไป เนื่องจากภาพแห่งความพ่ายแพ้ยังไม่เกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ มันได้เกิดขึ้นแล้ว แล้วมันก็เกิดการกระเพื่อมในหมู่แฟนบอลอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อให้เกิดแรงศรัทธาอย่างต่อเนื่อง เราก็คงต้องศรัทธาบนความเข้าใจ และความจริง
เพื่อให้เรายังคงอยู่บนเส้นทางแห่งความก้าวหน้า เราควรมองภาพให้ถูกต้อง รู้ตัวเอง และตั้งเป้าหมายสถานีต่อไปได้
ญี่ปุ่น เขาบอกว่า เขาจะเป็นแช้มป์โลกภายใน 50 ปี เมื่อตั้งเจลีกใหม่ๆ(20ปีที่แล้ว)
เมื่อมอง FIFA Ranking ย้อนกลับไป 22ปี (เริ่มตั้งค่า Ranking) จะเห็นว่า ตลอด 22 ปี
ญี่ปุ่น รวมถึงเกาหลีใต้ ก็ยังไม่สามารถมีอันดับสูงกว่า อังกฤษ และสเปนได้เลย อันนี้คงเป็นคำที่เขาเรียกกันว่า Class ล่ะมั้ง
ระดับ หรือ Class ก็คงเป็นกำแพงสูงที่แต่ละทีม ต้องกระโดดไปยืนอยู่บนระดับนั้นให้ได้ ญี่ปุ่นเขาก็มีเป้าหมายเช่นนั้น
หันมามองไทยเรา ว่าเราอยู่ Class ไหน จากภาพ เป็นการเปรียบเทียบ อังกฤษ ญี่ปุ่น อีรัก และ ไทย
จะเห็นว่า ระดับของไทย และอีรัก ไม่เคยอยู่สูงกว่าญี่ปุ่นเลย
แต่มีข้อน่าสังเกตุอย่างหนึ่ง ก็คือว่า ในอดีต ไทยเราอยู่ในระดับเดียวกับอีรัก
แต่ ตั้งแต่ปี 2004 - 2014 10ปี แห่งความตกต่ำของไทย เป็นการลด Class ของไทยลงอย่างรวดเร็ว ลงมาเท่ากับอาเซียน ดังภาพ
ในเอเชีย เขาว่า Top 4 ของเอเชีย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ อิหร่าน
เมื่อเราดู Ranking ของทั้ง4 ทีม จะเห็นว่า ใน Class ของเขา จะอยู่ใกล้เคียงกันในปัจจุบัน
เขาก็สมควรเป็น Top 4 จริงๆ ทีมไหนเจอ 4 ทีมนี้ แฟนบอลก็ต้องทำใจแพ้ไว้แต่เนิ่นๆ
เพราะระดับมันต่างกัน ถ้าจะชนะได้ ก็ต้องอาศัยฟอร์มดีสุดในวันที่แข่งจริงๆ
มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ออสเตรเลีย มีระดับที่ลดลง ในช่วง 4 ปีมานี้ แต่อีหร่านกับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมั่นคง
อาจเป็นเพราะ ภูมิภาคอื่นมีการพัฒนามากขึ้น ก็ไม่แน่ว่า ระดับฟุตบอลในเอเชียโดยรวม อาจเริ่มถดถอยลงก็ได้
จริงๆ ไทยในระดับอาเซียน จะอยู่สูงกว่าเพื่อนๆทั้งหมดมาตลอด
เป้าหมายที่ไทยควรตั้งไว้ใน1ปี 2ปี นี้ น่าจะเป็นการไต่ระดับให้เบียดกับทีม อีรัก จีน เกาหลีเหนือ จอร์แดน กาต้าร์ ยูเออี
เอาแบบที่เจอกันแล้ว กินกันยาก ก็น่าจะประสบความสำเร็จแล้ว
อย่างในภาพ จะเปรียบเทียบ ทีมจีน กับไทย แล้วก็มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ประกอบ
ระดับของทีมจีน ถือว่าสูงกว่าไทย แต่ไม่น่าจะยากเกินไป ถ้าเราจะขึ้นไปยืนอยู่แถวเดียวกับจีน
สุดท้าย เราลองเปรียบเทียบในกลุ่ม บี ระหว่าง ไทย เกาหลีเหนือ ซาอุ และ ญี่ปุ่น
จะเห็นว่า ไทยเราอยุ่ต่ำสุด โดยเราอาจพูดได้ว่า ไทยกับเกาหลีเหนือ อยู่ระดับเดียวกัน
ซึ่งจริงๆแล้ว เกาหลีเหนือเขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกับซาอุมากกว่า
เพราะมีช่วงหนึ่งที่ เกาหลีเหนือไม่มีแมทการแข่งขันทำให้อันดับตกไป
แต่ทั้งหมด ก็ยังคงมีระดับต่ำกว่าญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ไทยจะแพ้ญี่ปุ่นแบบขาดลอย
สรุปสุดท้ายคือ ในปีนี้ และปีหน้า ถ้าเราเข้ารอบ 12 ทีมฟุตบอลโลก เราจะเจอแต่ทีมที่มีระดับที่สูงกว่าเรา
อยากให้แฟนบอลเข้าใจสถานการณ์ ว่าเรากำลังกระโดดไต่ระดับ และทีมอื่นก็คงไม่ยินดีให้เราไต่ขึ้นไปง่ายๆ
ดังนั้น เราอาจได้ผลการแข่งขันที่ไม่พอใจอย่างแน่นอน
คำว่าชนะจะสะกดยากขึ้น แต่จะได้ประโยชน์จากความหมายของคำว่าแพ้มากขึ้น
ชนะก็ร่วมเฮ แพ้ก็ปลอบใจ ไม่อวยเกิน หรือด่าเพลิน สนับสนุนกันอย่างต่อเนื่อง
แล้วค่อยมาสรุปผลงานอีกที ในปี 2017ครับ
FIFA Ranking กับ เป้าหมายของฟุตบอลทีมชาติไทย
สำหรับไทย ถือเป็นการกลับมาเข้าสู่เวทีเอเชียอีกครั้ง จะถือว่าเป็นการก้าวย่าง หรือการทดสอบ อะไรก็แล้วแต่
สำหรับแฟนบอล ถือเป็นเรื่องจริงจังมากกับทัวนาเม้นต์แรกนี้
หลังจากที่เราเสมอกับซาอุ 1-1 แบบฟอร์มที่มีข้อผิดพลาดเยอะ
แล้วมาแพ้ญี่ปุ่นแบบขาดลอย ทั้งสกอร์ และรูปเกมส์ 4-0
ทำให้เกิดกระแสด้านลบต่อทีมชาติไทยอย่างชัดเจนในโลกโซเชียล โดยเฉพาะแฟนบอลรุ่นใหม่
มานั่งวิเคราะห์เหตุการณ์ในลักษณะนี้ แล้วคิดต่อว่า
ถ้าทีมชาติชุดใหญ่ของเราเข้ารอบ 12 ทีม คัดบอลโลก จะต้องไปเจอทีมแข็งระดับเอเชีย
ถ้าเกิดแพ้บ่อยๆ แฟนบอลจะสูญเสียความมั่นใจ และศรัทธาที่มีต่อโค้ชหรือไม่
เมื่อปีที่แล้ว หลายคนก็พูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้น ผลงานทีมชุดใหญ่ของเรายังดีอยู่
หลายคนก็เลยมองข้ามไป เนื่องจากภาพแห่งความพ่ายแพ้ยังไม่เกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ มันได้เกิดขึ้นแล้ว แล้วมันก็เกิดการกระเพื่อมในหมู่แฟนบอลอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อให้เกิดแรงศรัทธาอย่างต่อเนื่อง เราก็คงต้องศรัทธาบนความเข้าใจ และความจริง
เพื่อให้เรายังคงอยู่บนเส้นทางแห่งความก้าวหน้า เราควรมองภาพให้ถูกต้อง รู้ตัวเอง และตั้งเป้าหมายสถานีต่อไปได้
ญี่ปุ่น เขาบอกว่า เขาจะเป็นแช้มป์โลกภายใน 50 ปี เมื่อตั้งเจลีกใหม่ๆ(20ปีที่แล้ว)
เมื่อมอง FIFA Ranking ย้อนกลับไป 22ปี (เริ่มตั้งค่า Ranking) จะเห็นว่า ตลอด 22 ปี
ญี่ปุ่น รวมถึงเกาหลีใต้ ก็ยังไม่สามารถมีอันดับสูงกว่า อังกฤษ และสเปนได้เลย อันนี้คงเป็นคำที่เขาเรียกกันว่า Class ล่ะมั้ง
ระดับ หรือ Class ก็คงเป็นกำแพงสูงที่แต่ละทีม ต้องกระโดดไปยืนอยู่บนระดับนั้นให้ได้ ญี่ปุ่นเขาก็มีเป้าหมายเช่นนั้น
หันมามองไทยเรา ว่าเราอยู่ Class ไหน จากภาพ เป็นการเปรียบเทียบ อังกฤษ ญี่ปุ่น อีรัก และ ไทย
จะเห็นว่า ระดับของไทย และอีรัก ไม่เคยอยู่สูงกว่าญี่ปุ่นเลย
แต่มีข้อน่าสังเกตุอย่างหนึ่ง ก็คือว่า ในอดีต ไทยเราอยู่ในระดับเดียวกับอีรัก
แต่ ตั้งแต่ปี 2004 - 2014 10ปี แห่งความตกต่ำของไทย เป็นการลด Class ของไทยลงอย่างรวดเร็ว ลงมาเท่ากับอาเซียน ดังภาพ
ในเอเชีย เขาว่า Top 4 ของเอเชีย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ อิหร่าน
เมื่อเราดู Ranking ของทั้ง4 ทีม จะเห็นว่า ใน Class ของเขา จะอยู่ใกล้เคียงกันในปัจจุบัน
เขาก็สมควรเป็น Top 4 จริงๆ ทีมไหนเจอ 4 ทีมนี้ แฟนบอลก็ต้องทำใจแพ้ไว้แต่เนิ่นๆ
เพราะระดับมันต่างกัน ถ้าจะชนะได้ ก็ต้องอาศัยฟอร์มดีสุดในวันที่แข่งจริงๆ
มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ออสเตรเลีย มีระดับที่ลดลง ในช่วง 4 ปีมานี้ แต่อีหร่านกับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมั่นคง
อาจเป็นเพราะ ภูมิภาคอื่นมีการพัฒนามากขึ้น ก็ไม่แน่ว่า ระดับฟุตบอลในเอเชียโดยรวม อาจเริ่มถดถอยลงก็ได้
จริงๆ ไทยในระดับอาเซียน จะอยู่สูงกว่าเพื่อนๆทั้งหมดมาตลอด
เป้าหมายที่ไทยควรตั้งไว้ใน1ปี 2ปี นี้ น่าจะเป็นการไต่ระดับให้เบียดกับทีม อีรัก จีน เกาหลีเหนือ จอร์แดน กาต้าร์ ยูเออี
เอาแบบที่เจอกันแล้ว กินกันยาก ก็น่าจะประสบความสำเร็จแล้ว
อย่างในภาพ จะเปรียบเทียบ ทีมจีน กับไทย แล้วก็มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ประกอบ
ระดับของทีมจีน ถือว่าสูงกว่าไทย แต่ไม่น่าจะยากเกินไป ถ้าเราจะขึ้นไปยืนอยู่แถวเดียวกับจีน
สุดท้าย เราลองเปรียบเทียบในกลุ่ม บี ระหว่าง ไทย เกาหลีเหนือ ซาอุ และ ญี่ปุ่น
จะเห็นว่า ไทยเราอยุ่ต่ำสุด โดยเราอาจพูดได้ว่า ไทยกับเกาหลีเหนือ อยู่ระดับเดียวกัน
ซึ่งจริงๆแล้ว เกาหลีเหนือเขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกับซาอุมากกว่า
เพราะมีช่วงหนึ่งที่ เกาหลีเหนือไม่มีแมทการแข่งขันทำให้อันดับตกไป
แต่ทั้งหมด ก็ยังคงมีระดับต่ำกว่าญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ไทยจะแพ้ญี่ปุ่นแบบขาดลอย
สรุปสุดท้ายคือ ในปีนี้ และปีหน้า ถ้าเราเข้ารอบ 12 ทีมฟุตบอลโลก เราจะเจอแต่ทีมที่มีระดับที่สูงกว่าเรา
อยากให้แฟนบอลเข้าใจสถานการณ์ ว่าเรากำลังกระโดดไต่ระดับ และทีมอื่นก็คงไม่ยินดีให้เราไต่ขึ้นไปง่ายๆ
ดังนั้น เราอาจได้ผลการแข่งขันที่ไม่พอใจอย่างแน่นอน
คำว่าชนะจะสะกดยากขึ้น แต่จะได้ประโยชน์จากความหมายของคำว่าแพ้มากขึ้น
ชนะก็ร่วมเฮ แพ้ก็ปลอบใจ ไม่อวยเกิน หรือด่าเพลิน สนับสนุนกันอย่างต่อเนื่อง
แล้วค่อยมาสรุปผลงานอีกที ในปี 2017ครับ