เรามโนว่าเค้าชอบเราได้ แต่ห้ามมโนว่าเค้าไม่ได้ชอบเราเด็ดขาด

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลย ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัย และขอให้ทุกคนใจเย็นๆ บอกกันดีๆ เนาะ
เข้าเรื่องเลยละกัน คือเราเพิ่งคบกับแฟนได้สักพักนึง แฟนที่เคยเป็นเพื่อน เป็นรักระยะไกล เป็นคนที่กันเราไว้ใน Friend-zone จนแทบจะถอดใจไม่จีบต่อ จนไปๆ มาๆ มันเวิร์คไง ทีมซัพพอร์ตก็ดี วางแผนมาก็ดี (มั้ง) ฮา จนตอนนี้ได้คบกันในที่สุด แล้วเราก็ชอบเล่าให้เพื่อนฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนไม่คิดว่าอย่างเราจะมีแฟนปุ๊บปุ๊บ คือไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เราเคยเป็นสาวโสดที่ค่อนข้างแฮปปี้กับการโสดนะ แบบถ้าหาผู้ชายที่คิดว่าดีไม่ได้ ก็อยู่เป็นโสดดีกว่า จนตอนนี้ทุกคนหาว่าชอบอวดผ. เลยบอกให้ไปเขียนหนังสือ ไม่ก็ไปสร้างหนัง เพราะมันเหมือนนิยาย ฮา แต่มันเรื่องจริงนะเออ เราว่ามาเขียนแชร์ๆ ไว้ก็ดี เพราะนอกจากเราจะไม่อึดอัดจากอาการอยากอวดผ. ได้เก็บไว้ย้อนอ่านเผื่อวันนึงเราไม่พอใจอะไรก็จะได้มาย้อนดูว่าตอนที่เราชอบเค้ามันเป็นยังไงแล้ว เรื่องของเราก็อาจจะทำให้ใครหลายคนที่กำลังท้อ และอยากจะถอยในเรื่องความรักที่ไปแอบรักเค้ามีกำลังใจลุกขึ้นมาสู้ต่อก็ได้

เราเป็นนักศึกษาป.ตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ เราเจอเค้าครั้งแรกเมื่อปลายเดือนกันยาปีที่แล้ว ที่ Omaha, Nebraska ที่เมกา ตอนเราได้ทุนไปเรียนระยะสั้น 5 อาทิตย์ (โครงการนี้ดีมากกก เป็นทุนเต็มจำนวน นอกจากจะได้สาระและไม่ต้องเสียเงินสักบาทแล้ว ยังได้เงินค่าขนมด้วยนะคุณ ใครสนใจเรื่องทุนหลังไมค์มาได้นะคะ ของเค้าดีจริงๆ ไม่หลอกไปขายแน่นอน) ผู้เข้าร่วมโครงการเดียวกับเรามี 21 คน (รวมเราด้วย) ตอนนั้นก็มีพี่ผู้หญิงคนไทยไปด้วยอีกสองคน อยู่ Omaha กัน 4 อาทิตย์ Portland 3 วัน แล้วก็ปิดท้ายที่ Washington, D.C. อีก 3 วัน

แฟนเราก็คือหนึ่งในคนที่ได้ทุนไปเรียนด้วยกันนี่แหละ ซึ่งทุนนี้เค้าให้ทุกประเทศในอาเซียน เพราะฉะนั้นต้องบอกก่อนเลยว่าแฟนเราเป็นคนเมียนมาร์หรือพม่านั่นเอง อ๊ะๆ ช้าก่อน อย่าเพิ่งปล่อยให้ตัวคุณตกเป็นผลของการศึกษาประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมค่ะ ละอคติแล้วมองเค้าเป็นคนธรรมดาคนนึงนี่แหละ ที่บอกก่อนนี่ไม่ใช่อะไร เพราะพูดตามหลักความจริงที่เห็นกันทั่วไป ก็เห็นกันอยู่ว่าคนไทยบางส่วนมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับคนจากประเทศเพื่อนบ้านเนาะ เราก็แค่เหนื่อยในบางครั้งที่ต้องพยายามอธิบายว่าประเทศเค้าและคนของเค้าก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดและเชื่อไปซะหมด เอ๊ะ เดี๋ยว ซีเรียสทำไม ไม่เอาๆ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า ก็นั่นแหละ เค้าเป็นเพื่อนร่วมโครงการคนนึงที่ตอนแรกเราก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เพราะหนึ่งเราไม่ได้คิดจะไปหาแฟน สองคือถ้าจะโชคดีมีแฟนจริงๆ เราก็อยากได้แฟนฝรั่ง เพราะเป็นสเปคที่ใฝ่ฝันมาเนิ่นนานมาก ฮา และสามคือเราคิดว่าเค้าชอบคนอื่นอยู่

เรามาเริ่มชอบเค้าที่ Portland นู่นนน นานแค่ไหนถามใจตัวเองดู เป็นเพื่อนกันมาดีๆ ตั้งเดือนโดยไม่คิดอะไร แบบไม่เคยคิดอะไรมากกว่าเพื่อนเลยจริงๆ นะ แล้วอยู่ดีๆ ก็ชอบ ไม่มีเหตุผล ชีวิตนี้ไม่เคยแอบชอบใครเลย เคยแต่ปลื้มๆ แบบเออคนนี้เก่งจัง พี่คนนี้ก็น่ารักดีนะ แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะแค่ปลื้ม พอทีนี้อยู่ดีๆ มาชอบก็ทำตัวไม่ถูกไง รู้แต่ว่าชอบ เอาตรงๆ ก็อยากได้มาเป็นแฟน เพราะอะไรไม่รู้แหละ แต่ชอบ ทีนี้ให้แฟนเราชื่อที (นามสมมติ) แล้วเราชื่อบี (นามสมมติ) ละกัน เอ๊ะ จะงงมั้ย บีบีทีที ไม่เอา เปลี่ยนดีกว่า เรียกแฟนเราว่าหมอ เราชื่อบีละกัน (ยังคงเป็นนามสมมติเช่นเดิม) เท่าที่เรารู้จักหมอมาระยะนึง ซึ่งก็ไม่ได้จะนานอะไร แต่ก็พอสังเกตได้ว่าเค้าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างขึ้อาย เงียบๆ แต่เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ถ้าพูดยาวๆ ทีนี่ต้องมีอะไรสักอย่าง สไตล์คุณหมอใจดีโดยทั่วไป เค้าแก่กว่าเราสามปี เรียนจบหมอ 6 ปีแล้ว แต่ไม่คิดจะต่อเฉพาะทางเพราะที่บ้านเค้าต้องเรียนต่ออีกตั้ง 5 ปี ก็เลยทำงานเป็นหมออาสาใน NGO ดีกว่า ออกไปอยู่ไกลๆ ทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยไรงี้ รอต่อป.โท เค้าบอกว่าเค้าชอบมากกว่าทำงานในโรงพยาบาล

การที่ตอนแรกเราไม่คิดอะไรกับเค้าเลยแล้วอยู่ดีๆ มาคิดที่ Portland นี่เราว่ามันมีสาเหตุ เพราะตอนสี่อาทิตย์แรกที่ Omaha เราเรียนและทำกิจกรรมตามปกตินักเรียนทั่วไป ก็เจอกันบ้าง ไม่เจอกันบ้าง ก็เพื่อนร่วมคลาสอ่ะ ผ่านๆ ไป แต่พอมาอยู่ Portland 3 วันนี่คือเที่ยวแทบตลอดเลยอ่ะ มีกิจกรรมสาระที่ต้องเข้าบ้าง นอกนั้นก็คือเที่ยว แต่เราต้องวางแผนกันเอง แยกกันไปเอง ถ้าจะไปพร้อมกันหมดยี่สิบกว่าคนก็ไม่น่าจะได้ไปไหนมาก เราไม่ชอบไปกับคนเยอะๆ ด้วย หยิบแผนที่ได้ก็เดินลิ่วๆ เลยจ้า ใครจะไปด้วยก็มา ไม่มีเป้าหมาย แผนเปลี่ยนได้ตลอด จะมาก็มา ไม่มาก็แยกไป ปรากฎตอนแรกมีเพื่อนมาด้วยอีกสี่คน แล้วแวะถ่ายรูปที่นึง สองในห้าของเราก็มัวดูรูปนานมาก เราสามคน (เรา หมอ และชาย (นามสมมติ) เพื่อนชาวลาว) เลยแยกมาก่อน ทุกวันนี้ก็ยังแอบรู้สึกผิดเบาๆ นะว่าเราทิ้งเพื่อนป่าววะ แต่เราเชื่อว่าเพื่อนเอาตัวรอดได้ ซึ่งเพื่อนก็รอดจริงๆ

กลับมาที่เราสามคน ตั้งแต่การแยกตัวในครั้งนั้นเราก็ฟอร์มทีมกันสามคนมาตลอด สามวันที่อยู่ที่นั่นก็อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่เช้ายันดึก ความใกล้ชิดนี่แหละที่ทำให้เราเริ่มมองเค้าเปลี่ยนไป จากที่คิดว่าเค้าชอบคนอื่นอยู่ตอนนั้นก็เลิกคิดละ เรานึกว่าเค้าชอบน้องผู้หญิงอีกคนที่มาจากเมียนมาร์เหมือนกัน  แต่จากสี่อาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเค้าคิดกับกันแค่พี่น้องทั้งคู่ เพราะน้องวา (นามสมมติ) เป็นน้องคนสุดท้องของที่บ้าน ไม่เคยไปต่างประเทศเลย ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง แต่เป็นคนน่ารัก แล้วจากเมียนมาร์ก็มีมากันแค่สองคน ตอนแรกเลยไม่ค่อยมีเพื่อน หมอก็เป็นพี่ใหญ่ของน้องชายสามคน ไม่มีน้องสาว นางก็รู้สึกว่านี่เหมือนน้องสาว เป็นความรับผิดชอบของนางที่ต้องช่วยดูแล เพราะมาด้วยกันเท่านี้ (อันนี้เคยถามทั้งคู่เลย) อ่ะ เหตุผลตอนแรกเราก็ตกไปข้อนึง เพราะเค้าไม่ได้ชอบคนอื่นอยู่ แล้วตอนนั้นคือใกล้จะกลับไทยแล้ว เราก็ปลงว่าคงไม่โชคดีได้แฟนฝรั่งตอนนี้แน่นอน ยังไงก็ไม่ทันละ ความรู้สีกที่พยายามมองหาความรักก็หมดไป โสดเหมือนเดิมก็มีความสุขดี

แต่เคยได้ยินมั้ยคะ "เมื่อใหร่ที่เราเลิกตามหาความรัก ความรักก็จะมาทักเราเอง" พอเหตุผลทั้งสองข้อหายไป อยู่ดีๆ เราก็เริ่มมองเค้าอีกแบบ ก็น่ารักดีเนาะ... เก่งจังเนาะ... ทำไมเป็นคนดีอ่ะ... ก็ไม่ได้หล่อนะ ทำไมมองเพลิน... อะไรมากมายที่จำไม่ได้และไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าชอบ อยากได้ ฮา แต่ก็ใกล้จะจบโปรแกรมละอ่ะ ถ้าได้คบกันจริงๆ จะรอดหรอ แต่เราก็เห็นว่าหลายๆ คู่เค้าก็รอดมาได้ตั้งนาน บางคู่อยู่ไกลกันกว่าเราตั้งเยอะเค้ายังรักกันดีเลย แล้วหนี่งในพี่คนไทยที่ไปด้วยกันก็มีแฟนเป็นคนแคนาดา เคยถามว่าทำยังไงถึงคบกันรอด เพราะเราเคยไปแลกเปลี่ยนตอนมัธยมก็เลิกกับแฟนที่นี่ พี่แกบอกว่า อย่างเดียวเลยนะ Don't be a bitch. That's it. แค่อย่างี่เง่าก็พอ ไอ้เราก็เรียนรู้จากประสบการณ์และรู้ว่าครั้งก่อนนั่นคือเรางี่เง่ามากๆ จริงๆ แหละ คราวนี้ไม่พลาดแน่นอน ชอบก็จีบเลยละกัน... แต่จะเริ่มยังไงล่ะ

เริ่มจากบอกเพื่อนสนิทที่เป็นรูมเมทชื่อ ฮาซ (นามสมมติ) หญิงมุสลิมผู้น่ารักจากมาเลเซีย ด้วยความอัดอั้นตันใจเก็บไว้คนเดียวไม่ไหวเลยต้องบอก สักพักก็เบลอๆ อะไรยังไงไม่รู้ เพื่อนสนิทฟอร์มทีมซัพพอร์ตเตอร์กันเลยจ้าาา พี่คนไทยสอง สาวมาเลย์สอง ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนหลัก แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำไรอ่ะ ก็เป็นปกติของเรางี้ ไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนเหมือนเดิม แชทก็มีไว้แค่นัดเวลาลงมาเจอ เวลากินข้าวหรือเผื่อใครหาย เรื่องมันเริ่มมาไต่ระดับความเข้มข้นที่ D.C. วันแรกไปดูพิพิธภัณฑ์กัน ตอนเช้าคือเป็นโปรแกรมบังคับ ทุกคนไปด้วยกันหมด ทั้งนักเรียน เมนเทอร์ ครูบาอาจารย์ไปด้วยกันหมด ทีนี้ลองนึกภาพคนเกือบสามสิบคนเดินออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งพร้อมกัน พร้อมด้วยร่มสีดำหรือเทาที่มีกันเกือบทุกคน เช้าวันนั้นที่ฝนตกปรอยๆ ในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว บ้างโรยราลงจากต้น เป็นบรรยากาศที่โรแมนติกเบาๆ แบบครึ้มๆ เย็นๆ

แต่... แต่ร่มเราเป็นสีส้มค่าาา ส้มแบบส้มแปร้ด ชัดเด่นเป็นสง่าอร่ามตาแลตะลึงมากๆ และเหมือนว่าการมีร่มที่ขัดกับ mood and tone ของสภาวะแวดล้อมนั้นจะยังไม่พอ ยังไม่ทันไปไหนไกล ฮาซเพื่อนรักก็เดินเข้ามาจับร่มเราแล้วบอกว่าเอาร่มมา เราก็นึกว่าเพื่อนไม่มีร่มก็เลยบอกว่าให้มาเดินด้วยกันก็ได้ เราเดินคนเดียว แบ่งๆ กัน นางบอกว่าไม่ใช่ เอาร่มมา แล้วไปอยู่กับหมอซะ นี่สตั๊นท์สามวิแล้วแบบ ฮาซ เราเข้าใจมาตลอดว่าแกเรียบร้อย แกร้ายมาก เช็กสีร่มเพื่อนด้วย ร่มเราหายไปใครจะไม่รู้ฮะ เล่นส้มแปร้ดซะขนาดนี้ เราก็คิดนะว่าเป็นผู้หญิงยิงเรือจะมาตั้งหน้าตั้งตาอ่อย เอ๊ย จีบผู้ชายแรงขนาดนี้ก็ไม่ไหวมั้ง แต่สุดท้ายฮาซก็หาได้สนใจไม่และคว้าร่มเราเดินออกไปหาเพื่อนคนอื่นลิ่วๆๆ เราก็เลยไม่มีทางเลือกอ่ะเนาะ ไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่ ก็โดดจากร่มนั้นไปร่มนี้ (ตอนนั้นรอข้ามถนน) คุยกับคนนั้นทีคนนี้ที อุ๊ย ร่มหมอว่างพอดี ขออยู่ด้วยละกัน ก็เนียนๆ คุยอะไรไปตามประสาเพื่อน ตอนคิดไรไม่ออกก็ไม่คุย ได้เดินในร่มด้วยกันก็พอแล้ว ถึงเค้าจะดูไม่ได้คิดอะไรกับเรามากกว่าเพื่อนก็เถอะ แต่เราว่าเราก็ไม่ได้แสดงออกมากนะ ก็ไม่รู้ว่าเค้ารู้มั้ยว่าเราชอบ ช่วงเช้าวันนั้นก็แฮปปี้ดี้ดาไป เราก็เกรงใจนะ กลัวเค้าอึดอัด แล้วเราชอบความชัดเจน ขี้เกียจคิดเอง เลยถามไปว่าโอเคมั้ยที่เรามาเดินด้วย เราไปหาเพื่อนคนอื่นได้นะ เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ทำไมเค้าต้องไม่โอเคด้วยล่ะ ก็เผื่อเบียดไง เดี๋ยวอึดอัด เค้าบอกว่าไม่อึดอัดหรอก อย่างนี้โอเคแล้ว นี่ก็ฟินไปดิ มโนไปดิ เรื่องแค่เนี้ย เค้าก็พูดเป็นเพื่อนกันธรรมดาแต่นี่แฮปปี้มากกก ฮา


...........................
เดี๋ยวมาต่อนะจ๊ะ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่