คำเตือน : บทความนี้มีความเกรียนพร้อมความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง สาวกหรือคู่แข่งโปรดใช้วิจารณญานในการรับชม
สวัสดีครับ
ที่ผ่านมาผมได้พยายามศึกษาพวกเสียงเพลงมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ไม่ค่อยได้ฟังเพลงมากนัก บวกกับไปสะดุดตาเห็นร้านขายแผ่นซีดีแท้เพลงเก่าที่พ่อค้าแม่ค้าไปเหมามาขายถูกๆตามตลาดนัด ผมจึงซื้อมาฟัง มีความรู้สึกว่าแผ่นซีดีเพลงแท้คุณภาพเสียงใสสะอาดกว่าเพลง mp3 เดิมๆที่เคยฟังอยู่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เริ่มติดใจ จากแผ่นนึงเป็น2แผ่น3แผ่นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เสพติดเสียงที่มาจาก cd ซะแล้ว
เข้าเรื่องดีกว่า
พอดีเปิดเว็บแห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง-หูฟัง มีกระทู้หนึ่งบอกว่าไฟล์ lossless มีคุณภาพสู้ไฟล์ unconpress อย่าง WAV ไม่ได้ ผมก็คิดอยู่ในใจ ในเมื่อชื่อมันก็ฟ้องว่า lossless มันจะไปแย่กว่า WAV ได้ยังไง ก็เลยค้นดูไปเรื่อยๆก็มีเตือนกันด้วยว่าพบไฟล์ lossless เก๊ที่ให้โหลดผ่านอินเทอร์เน็ต เอ๊ะ เขารู้ได้ยังไง ฟังกันออกหรือมีอะไรมาตรวจสอบ
ซึ่งผมก็ได้เครื่องมือมาตรวจเช็คด้วยผ่านโปรแกรม Spek โหลดได้ที่นี่
http://spek.cc/
เป็นโปรแกรมที่แสดงค่าความถี่เสียงเพลงออกมาเป็นแถบสเปคตรัม หน้าตาประมาณนี้
โดยค่าแต่ละสีคือความเข้มเสียง(ภาษาชาวบ้านคือความดังของเสียง) และความสูงก็คือความถี่เสียงครับ
ในเมื่อมีโปรแกรมตัวนี้ผมจะมาโชว์แถบสเปคตรัมเสียงนี้ผ่านไฟล์เพลงรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบ lossy และ lossless ว่าตัวไหนทำได้ดีหรือไม่ดีอย่างไรครับ
เครื่องมือในการปฎิบัติการ
1.โปรแกรม iTune
ไว้สำหรับ rip เพลงมาเป็นไฟล์ AAC , MP3 และ ALAC ครับ
2.โปรแกรม Windows Media Player
ไว้สำหรับ rip เพลงเป็น WMA ครับ
3.Foobar2000
NOTE : ใครแก้ปัญหาภาษาไทยจากการ rip แผ่นได้ขอหลังไมล์นะครับ
ไว้สำหรับ rip เป็นไฟล์ FLAC,WAV และ OGG Vorbis ครับ
4.เว็บไซต์
http://keepvid.com
สำหรับทดสอบคุณภาพเสียงผ่าน Youtube ครับ
เพลงที่ใช้ทดสอบ
เพลงเธอยัง - POTATO
โดยทดสอบเสียงผ่านคลิปอันนี้และเสียงเพลงจากแผ่น CD แท้ด้วยครับ
การทดสอบแบ่งเป็น2ชนิดคือ lossless และ lossy ครับ แล้วสรุปตอนหลัง
ไฟล์ WAV ที่ rip จากแผ่น CD ตันฉบับครับ
-------- LOSSLESS --------------
เริ่มจาก FLAC ยอดนิยม
และ ALAC จากค่ายแอปเปิลครับ
เมื่อดูจากกราฟด้วยตาเปล่าแล้วจะเห็นว่าไฟล์ lossless นั้นเหมือนกันกับไฟล์ WAV ทุกประการ ทั้งไฟล์ FLAC และ ALAC โดยความสูงและสีความเข้มของเสียงนั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เพราะฉะนั้น คุณภาพไฟล์ Lossless เหมือนกันกับต้นฉบับทุกประการ
ใครที่บอกว่าไฟล์ lossless นั้นไม่เหมือน WAV อันน่าจะมาจาก
- ไปเปิดฟีเจอร์บางตัวในโปรแกรม rip เพลงทำให้สัญญาณเปลี่ยนไป (โปรแกรม foobar แทบจะไม่มีการตั้งค่าอะไร มีแต่ตั้งค่า sampling rate กับ compression ratio)
- ไปเจอ lossless เก๊ซะแล้วล่ะครับ (lossless เก๊มาจากเอาไฟล์ที่เป็น lossy มาแปลงใหม่ให้เป็นไฟล์ lossless โดยคุณภาพก็ตามไฟล์ lossy ที่แปลงมา)
- ถ้าไปเล่นในเครื่องเล่น(บางตัว) อาจมีฟีเจอร์บางอย่างทำงานขึ้นมา หรือเครื่องเล่นทำงานร่วมกับไฟล์ lossless ได้ไม่ค่อยมีคุณภาพ
- เนื่องจากไฟล์ lossless ต้องการการประมวลผล(ซึ่งต่างจาก WAV ที่มันส่งออกไปยัง DAC ได้เลย) ตัวถอดรหัส(codec) อาจทำงานผิดพลาดหรือไม่ได้คุณภาพ(ถ้าเล่นผ่านคอมก็อัพเวอร์ชันใหม่)
EDIT : ในปัจจุบันมีเครื่องเล่นเพลงหลายตัวเริ่มรองรับไฟล์ FLAC แล้วนะครับ พวกเครื่องเสียงรถยนต์(ตัวระดับท็อป) ก็มีรองรับ FLAC แล้วเช่นกัน สำหรับคนอยากฟังเพลงคุณภาพแต่ไม่อยากเปลี่ยนแผ่นบ่อยๆ ก็ใช้แบบนี้เลยครับ
อ่อ มือถือ android รุ่นปัจจุบันสามารถอ่านไฟล์ FLAC ได้แล้วนะครับ(แต่จำไม่ได้ว่าเวอร์ชันอะไรขึ้นไป) ถ้าเครื่องไหนอ่านไม่ได้ก็มีแอพหลายตัวใน play store โหลดมาเล่นได้เช่นเดียวกัน
ส่วน iPhone ไม่แน่ใจว่าตอนซิงค์เพลง lossless จาก iTune ลง iPhone แล้วมันยังเป็น lossless อยู่หรือเปล่า ถ้าใครมีเครื่องอยู่ก็ทดสอบผลกันด้วยครับ
จบครับกับ Lossless
-------- LOSSY ไฟล์ยอดนิยม --------------
ผมจะทำการแบ่งคุณภาพตามระดับไว้ด้วยครับ มาดูกัน
เริ่มจากไฟล์ยอดนิยมอันดับ1ของโลกอย่าง MP3
128kbps
192kbps
320kbps << คุณภาพสูงสุดของ MP3
กระบวนการบีบอัดของ mp3 จะทำการตัดคลื่นเสียงความถี่สูงลงไปในช่วงคลื่นที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน (หูคนเราได้ยินเสียงตั้งแต่ 20Hz - 20kHz แต่ว่าแต่ละคนก็รับรู้คลื่นเสียงสูงได้ไม่เท่ากัน สำหรับผมนั้นรับรู้ได้สูงสุดราวๆ 16-17kHz) นับว่าเทคโนโลยีนี้เอาชนะธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ด้วยไฟล์ขนาดเล็ก ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยง่ายจึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแทบทำให้อุตสาหกรรมเพลงผ่าน CD แทบจะเจ๊งกันเลยทีเดียว
ดูจากแถบกราฟแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามีการลดทอนสัญญาณอย่างชัดเจน ยิ่งลงไปถึงขนาด 128-192kbps นั้นตัดลงไปถึง 16kHz กันเลยทีเดียว แถมตัว128k ยังไปลดสีน้ำเงิน(เสียงเบา)ออกไปอีก ฉะนั้นใครที่ใช้หูฟังหรือลำโพงที่ความไวสูงจะทำให้แยกความแตกต่างออกอย่างชัดเจน(เพราะเสียงค่อยมันแสดงออกมาให้รับรู้ได้มากขึ้นตามคุณภาพของเครื่องเสียง)
เพราะฉะนั้น คนที่ชอบการฟังเพลง ก็เลี่ยงไฟล์ MP3 ที่มี bitrate น้อยๆ ส่วนในระดับ 320kpbs ก็ถือว่าใช้ได้ครับ
------------------------------------------------------------------------
ถัดมา WMA ไฟล์เพลงจากเจ้าพ่อไมโครซอฟท์ที่หลายคนมองข้าม
128kbps
192kbps << โปรแกรม WMP มันปรับได้สูงสุดเท่านี้
ดูๆแล้วไฟล์นี้ไม่แตกต่างไปจาก mp3 มากนัก แต่จุดต่างคือไฟล์ระดับ 192kbps นั้นความหนาแน่นของเสียงกลับน้อยกว่า mp3 ในระดับเดียวกัน
คงเป็นแบบนี้สินะถึงไม่ค่อยมีคนนิยมมากนัก ไฟล์ตระกูลนี้จึงนิยมไปทำ web radio หรือ streaming เพลงออนไลน์ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันโดนเปลี่ยนเป็น mp3 ไปซะเกือบหมดแล้วเพราะต้องรองรับกับสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ (ทั้งๆที่สมาร์ทโฟนหลายๆรุ่นก็รองรับไฟล์ wma เหมือนกัน น่าจะเป็นที่ license ของตัว codec ซะมากกว่า)
เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามองข้ามไปแล้ว ก็มองข้ามกันต่อไป.....
---------------------------------------------------------------------------------
ต่อมาไฟล์ AAC ไฟล์จาก iTune ที่ซื้อง่าย(มั้ง)
เนื่องจากไฟล์ชนิดนี้มีค่า bitrate ไม่คงที่ ค่าที่แสดงให้ดูเป็นค่าโดยเฉลี่ยครับ
128kbps (High Quality)
256kbps (iTune Pro)
320kbps << สูงสุดที่โปรแกรม iTune มีให้
ตอนแรกผมคิดว่าไฟล์ AAC นั้นคงไม่ต่างจาก mp3 มาก แต่มาดูในกราฟกลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ในระดับ 256k นั้นความหนาแน่นของเสียงและความถี่มีมากกว่า mp3 320k อย่างชัดเจน และใกล้เคียงกับซีดีต้นฉบับมาก แต่ว่ามาเป็นค่าสูงสุด(320k) กลับไม่แตกต่างไปจาก 256k มากนัก ผมคิดว่ากระบวนการของไฟล์นี้คือไปลดทอนเสียงที่เบามากๆ(สีม่วง-น้ำเงิน)ออกไปก่อน แล้วค่อยลดความถี่เสียงลงตามค่า bitrate ซึ่งทำให้เสียงที่เป็นเนื้อจริงๆไม่ลดทอนลงมากนัก ด้วยการซื้อเพลงทำได้ง่ายขึ้นและคุณภาพที่ดีกว่า mp3 ในทุกย่าน เพราะแบบนี้จึงเห็นมีคนทดสอบเครื่องเสียงผ่านเครื่องเล่นของ apple มากขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อมันทำได้ดีขนาดนี้ก็ซื้อเพลงผ่าน iTune กันสิครับ
NOTE : ใครที่ซื้อเพลงผ่าน iTune ขอดูค่า bitrate ของเพลงหน่อยครับ ของผมที่ได้มาเป็นเพลง demo สากล bitrate VBR 256k ครับ
--------------------------------------------
สุดท้ายของ Lossy : OGG Vorbis เครื่องมือฟรี แต่ไม่นิยมเหมือนพี่(FLAC)เลย
เนื่องจากไฟล์ชนิดนี้มีค่า bitrate ไม่คงที่(อีกแล้ว) ค่าที่แสดงให้ดูเป็นค่าโดยเฉลี่ยครับ
128kbps
256kbps
เทพสุด 500kbps
ดูจากกราฟแล้วกระบวนการน่าจะมาจากการลดทอนเสียงเบาจากความถี่สูงมาก่อน และตัดทอนลงมาเรื่อยๆตามค่า bitrate ครับ เป็นวิธีการที่ผสมกันระหว่าง mp3 กับ AAC ดูจากความหนาแน่นและความถี่แล้วจะเป็นรอง AAC ไม่มาก และดีกว่า mp3 อย่างชัดเจน ถึงแม้เครื่องมือทั้งการแปลงไฟล์และ codec ถอดรหัสไฟล์นั้นแจกฟรีแถมเป็น opensource กลับไม่ได้รับความนิยมในคนเล่นเพลง เนื่องด้วยไม่มีค่ายเพลงไหนที่ให้โหลดเพลงแบบ ogg และเครื่องเล่นที่เล่นไฟล์นี้ได้ก็มีจำนวนจำกัด แต่ว่าไฟล์เสียงแบบนี้ได้รับความนิยมในเกม เสียงที่ประกอบการเล่นเกมหลายๆเกมมักใช้การบีบอัดแบบ ogg เนื่องมาจากไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหา license ของตัวเข้ารหัสแถมได้ขนาดไฟล์ที่เล็กด้วยครับ
เพราะฉะนั้น งานดีพอตัว แต่หาเครื่องเล่นยาก เอาไปทำเอฟเฟ็คต์เกมเถอะ
-------------------- เสียงจากเพลงใน Youtube ล่ะ ---------------------------
ผมทำการดาวน์โหลดเพลงใน youtube ผ่านเว็บ keepvid ก็จะมีให้เลือก 2 แบบคือ m4a (AAC) และแบบ webm (Vorbis,Opus) ก็เอามาทั้งสอบแบบให้ชมกันครับ
m4a -> AAC 128kbps
webm -> Vorbis 128kbps
อันนี้แถม (เพราะตอนโหลดมีให้เลือก) webm -> Opus 160kbps
คุณภาพที่ได้ไม่แตกต่างไปจากไฟล์ AAC และ OGG ที่ rip มาจาก cd มากนัก (ที่ bitrate 128kbps นะครับ) ใครจะเอาไปฟังทดสอบความไพเราะหรือเนื้อหาเพลงก็ถือว่าใช้งานได้ มีคุณภาพที่ดีกว่า mp3 128k อยู่นิดหน่อย แต่ถ้าเอาไปเดโมเครื่องเสียงก็อาจจะไม่เหมาะนัก ใช้ CD หรือไฟล์ใน iTune ดีกว่า
------------------------------
สรุป ใช้ให้เหมาะกับความต้องการดีที่สุด
กราฟสเปคตรัมที่ให้ท่านชมนั้นเป็นเพียงแสดงค่าระดับเสียงในแต่ละความถี่เท่านั้น ไม่สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพที่แท้จริงในเสียงเพลงได้ บางเพลงกราฟไม่หนาและเยอะมากกลับมีเสียงที่ไพเราะ กังวาล sound stage กว้างสุดลูกหูลูกตา บางเพลงเสียงดนตรีไม่กี่ชิ้น จังหวะเสียงนุ่มๆ แต่มีคลื่นเสียงเต็มกราฟเลยก็มี ที่สำคัญคือ
***** ซื้อเพลงที่มีลิขสิทธิ์แท้นะครับ ******
ไม่ว่าจะซื้อแผ่นซีดีหรือจะซื้อผ่าน iTune ก็ดี หรือซื้อผ่านผู้ให้บริการอื่นๆก็ดี นับว่าท่านได้ก้าวเข้าสู่นักฟังเพลง "ที่แท้จริง" ได้แล้วครับ
ส่งท้ายด้วยกราฟของเพลงจากราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ใครคิดว่าเพลงลูกทุ่งรายละเอียดเสียงไม่เยอะ มาดูกันครับ
แบบว่าเต็มกราฟเลยทีเดียว
จบแต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดี
มี EDIT ต่อ คห.14
[วิเคราะห์เกรียน] เจาะระบบไฟล์เพลง lossy VS lossless แบบไหนเหมาะกับคุณ
สวัสดีครับ
ที่ผ่านมาผมได้พยายามศึกษาพวกเสียงเพลงมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ไม่ค่อยได้ฟังเพลงมากนัก บวกกับไปสะดุดตาเห็นร้านขายแผ่นซีดีแท้เพลงเก่าที่พ่อค้าแม่ค้าไปเหมามาขายถูกๆตามตลาดนัด ผมจึงซื้อมาฟัง มีความรู้สึกว่าแผ่นซีดีเพลงแท้คุณภาพเสียงใสสะอาดกว่าเพลง mp3 เดิมๆที่เคยฟังอยู่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เริ่มติดใจ จากแผ่นนึงเป็น2แผ่น3แผ่นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เสพติดเสียงที่มาจาก cd ซะแล้ว
เข้าเรื่องดีกว่า
พอดีเปิดเว็บแห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง-หูฟัง มีกระทู้หนึ่งบอกว่าไฟล์ lossless มีคุณภาพสู้ไฟล์ unconpress อย่าง WAV ไม่ได้ ผมก็คิดอยู่ในใจ ในเมื่อชื่อมันก็ฟ้องว่า lossless มันจะไปแย่กว่า WAV ได้ยังไง ก็เลยค้นดูไปเรื่อยๆก็มีเตือนกันด้วยว่าพบไฟล์ lossless เก๊ที่ให้โหลดผ่านอินเทอร์เน็ต เอ๊ะ เขารู้ได้ยังไง ฟังกันออกหรือมีอะไรมาตรวจสอบ
ซึ่งผมก็ได้เครื่องมือมาตรวจเช็คด้วยผ่านโปรแกรม Spek โหลดได้ที่นี่ http://spek.cc/
เป็นโปรแกรมที่แสดงค่าความถี่เสียงเพลงออกมาเป็นแถบสเปคตรัม หน้าตาประมาณนี้
โดยค่าแต่ละสีคือความเข้มเสียง(ภาษาชาวบ้านคือความดังของเสียง) และความสูงก็คือความถี่เสียงครับ
ในเมื่อมีโปรแกรมตัวนี้ผมจะมาโชว์แถบสเปคตรัมเสียงนี้ผ่านไฟล์เพลงรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบ lossy และ lossless ว่าตัวไหนทำได้ดีหรือไม่ดีอย่างไรครับ
เครื่องมือในการปฎิบัติการ
1.โปรแกรม iTune
ไว้สำหรับ rip เพลงมาเป็นไฟล์ AAC , MP3 และ ALAC ครับ
2.โปรแกรม Windows Media Player
ไว้สำหรับ rip เพลงเป็น WMA ครับ
3.Foobar2000
NOTE : ใครแก้ปัญหาภาษาไทยจากการ rip แผ่นได้ขอหลังไมล์นะครับ
ไว้สำหรับ rip เป็นไฟล์ FLAC,WAV และ OGG Vorbis ครับ
4.เว็บไซต์ http://keepvid.com
สำหรับทดสอบคุณภาพเสียงผ่าน Youtube ครับ
เพลงที่ใช้ทดสอบ
เพลงเธอยัง - POTATO
โดยทดสอบเสียงผ่านคลิปอันนี้และเสียงเพลงจากแผ่น CD แท้ด้วยครับ
การทดสอบแบ่งเป็น2ชนิดคือ lossless และ lossy ครับ แล้วสรุปตอนหลัง
ไฟล์ WAV ที่ rip จากแผ่น CD ตันฉบับครับ
-------- LOSSLESS --------------
เริ่มจาก FLAC ยอดนิยม
และ ALAC จากค่ายแอปเปิลครับ
เมื่อดูจากกราฟด้วยตาเปล่าแล้วจะเห็นว่าไฟล์ lossless นั้นเหมือนกันกับไฟล์ WAV ทุกประการ ทั้งไฟล์ FLAC และ ALAC โดยความสูงและสีความเข้มของเสียงนั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
เพราะฉะนั้น คุณภาพไฟล์ Lossless เหมือนกันกับต้นฉบับทุกประการ
ใครที่บอกว่าไฟล์ lossless นั้นไม่เหมือน WAV อันน่าจะมาจาก
- ไปเปิดฟีเจอร์บางตัวในโปรแกรม rip เพลงทำให้สัญญาณเปลี่ยนไป (โปรแกรม foobar แทบจะไม่มีการตั้งค่าอะไร มีแต่ตั้งค่า sampling rate กับ compression ratio)
- ไปเจอ lossless เก๊ซะแล้วล่ะครับ (lossless เก๊มาจากเอาไฟล์ที่เป็น lossy มาแปลงใหม่ให้เป็นไฟล์ lossless โดยคุณภาพก็ตามไฟล์ lossy ที่แปลงมา)
- ถ้าไปเล่นในเครื่องเล่น(บางตัว) อาจมีฟีเจอร์บางอย่างทำงานขึ้นมา หรือเครื่องเล่นทำงานร่วมกับไฟล์ lossless ได้ไม่ค่อยมีคุณภาพ
- เนื่องจากไฟล์ lossless ต้องการการประมวลผล(ซึ่งต่างจาก WAV ที่มันส่งออกไปยัง DAC ได้เลย) ตัวถอดรหัส(codec) อาจทำงานผิดพลาดหรือไม่ได้คุณภาพ(ถ้าเล่นผ่านคอมก็อัพเวอร์ชันใหม่)
EDIT : ในปัจจุบันมีเครื่องเล่นเพลงหลายตัวเริ่มรองรับไฟล์ FLAC แล้วนะครับ พวกเครื่องเสียงรถยนต์(ตัวระดับท็อป) ก็มีรองรับ FLAC แล้วเช่นกัน สำหรับคนอยากฟังเพลงคุณภาพแต่ไม่อยากเปลี่ยนแผ่นบ่อยๆ ก็ใช้แบบนี้เลยครับ
อ่อ มือถือ android รุ่นปัจจุบันสามารถอ่านไฟล์ FLAC ได้แล้วนะครับ(แต่จำไม่ได้ว่าเวอร์ชันอะไรขึ้นไป) ถ้าเครื่องไหนอ่านไม่ได้ก็มีแอพหลายตัวใน play store โหลดมาเล่นได้เช่นเดียวกัน
ส่วน iPhone ไม่แน่ใจว่าตอนซิงค์เพลง lossless จาก iTune ลง iPhone แล้วมันยังเป็น lossless อยู่หรือเปล่า ถ้าใครมีเครื่องอยู่ก็ทดสอบผลกันด้วยครับ
จบครับกับ Lossless
-------- LOSSY ไฟล์ยอดนิยม --------------
ผมจะทำการแบ่งคุณภาพตามระดับไว้ด้วยครับ มาดูกัน
เริ่มจากไฟล์ยอดนิยมอันดับ1ของโลกอย่าง MP3
128kbps
192kbps
320kbps << คุณภาพสูงสุดของ MP3
กระบวนการบีบอัดของ mp3 จะทำการตัดคลื่นเสียงความถี่สูงลงไปในช่วงคลื่นที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน (หูคนเราได้ยินเสียงตั้งแต่ 20Hz - 20kHz แต่ว่าแต่ละคนก็รับรู้คลื่นเสียงสูงได้ไม่เท่ากัน สำหรับผมนั้นรับรู้ได้สูงสุดราวๆ 16-17kHz) นับว่าเทคโนโลยีนี้เอาชนะธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ด้วยไฟล์ขนาดเล็ก ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยง่ายจึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแทบทำให้อุตสาหกรรมเพลงผ่าน CD แทบจะเจ๊งกันเลยทีเดียว
ดูจากแถบกราฟแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามีการลดทอนสัญญาณอย่างชัดเจน ยิ่งลงไปถึงขนาด 128-192kbps นั้นตัดลงไปถึง 16kHz กันเลยทีเดียว แถมตัว128k ยังไปลดสีน้ำเงิน(เสียงเบา)ออกไปอีก ฉะนั้นใครที่ใช้หูฟังหรือลำโพงที่ความไวสูงจะทำให้แยกความแตกต่างออกอย่างชัดเจน(เพราะเสียงค่อยมันแสดงออกมาให้รับรู้ได้มากขึ้นตามคุณภาพของเครื่องเสียง)
เพราะฉะนั้น คนที่ชอบการฟังเพลง ก็เลี่ยงไฟล์ MP3 ที่มี bitrate น้อยๆ ส่วนในระดับ 320kpbs ก็ถือว่าใช้ได้ครับ
------------------------------------------------------------------------
ถัดมา WMA ไฟล์เพลงจากเจ้าพ่อไมโครซอฟท์ที่หลายคนมองข้าม
128kbps
192kbps << โปรแกรม WMP มันปรับได้สูงสุดเท่านี้
ดูๆแล้วไฟล์นี้ไม่แตกต่างไปจาก mp3 มากนัก แต่จุดต่างคือไฟล์ระดับ 192kbps นั้นความหนาแน่นของเสียงกลับน้อยกว่า mp3 ในระดับเดียวกัน
คงเป็นแบบนี้สินะถึงไม่ค่อยมีคนนิยมมากนัก ไฟล์ตระกูลนี้จึงนิยมไปทำ web radio หรือ streaming เพลงออนไลน์ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันโดนเปลี่ยนเป็น mp3 ไปซะเกือบหมดแล้วเพราะต้องรองรับกับสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ (ทั้งๆที่สมาร์ทโฟนหลายๆรุ่นก็รองรับไฟล์ wma เหมือนกัน น่าจะเป็นที่ license ของตัว codec ซะมากกว่า)
เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามองข้ามไปแล้ว ก็มองข้ามกันต่อไป.....
---------------------------------------------------------------------------------
ต่อมาไฟล์ AAC ไฟล์จาก iTune ที่ซื้อง่าย(มั้ง)
เนื่องจากไฟล์ชนิดนี้มีค่า bitrate ไม่คงที่ ค่าที่แสดงให้ดูเป็นค่าโดยเฉลี่ยครับ
128kbps (High Quality)
256kbps (iTune Pro)
320kbps << สูงสุดที่โปรแกรม iTune มีให้
ตอนแรกผมคิดว่าไฟล์ AAC นั้นคงไม่ต่างจาก mp3 มาก แต่มาดูในกราฟกลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ในระดับ 256k นั้นความหนาแน่นของเสียงและความถี่มีมากกว่า mp3 320k อย่างชัดเจน และใกล้เคียงกับซีดีต้นฉบับมาก แต่ว่ามาเป็นค่าสูงสุด(320k) กลับไม่แตกต่างไปจาก 256k มากนัก ผมคิดว่ากระบวนการของไฟล์นี้คือไปลดทอนเสียงที่เบามากๆ(สีม่วง-น้ำเงิน)ออกไปก่อน แล้วค่อยลดความถี่เสียงลงตามค่า bitrate ซึ่งทำให้เสียงที่เป็นเนื้อจริงๆไม่ลดทอนลงมากนัก ด้วยการซื้อเพลงทำได้ง่ายขึ้นและคุณภาพที่ดีกว่า mp3 ในทุกย่าน เพราะแบบนี้จึงเห็นมีคนทดสอบเครื่องเสียงผ่านเครื่องเล่นของ apple มากขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อมันทำได้ดีขนาดนี้ก็ซื้อเพลงผ่าน iTune กันสิครับ
NOTE : ใครที่ซื้อเพลงผ่าน iTune ขอดูค่า bitrate ของเพลงหน่อยครับ ของผมที่ได้มาเป็นเพลง demo สากล bitrate VBR 256k ครับ
--------------------------------------------
สุดท้ายของ Lossy : OGG Vorbis เครื่องมือฟรี แต่ไม่นิยมเหมือนพี่(FLAC)เลย
เนื่องจากไฟล์ชนิดนี้มีค่า bitrate ไม่คงที่(อีกแล้ว) ค่าที่แสดงให้ดูเป็นค่าโดยเฉลี่ยครับ
128kbps
256kbps
เทพสุด 500kbps
ดูจากกราฟแล้วกระบวนการน่าจะมาจากการลดทอนเสียงเบาจากความถี่สูงมาก่อน และตัดทอนลงมาเรื่อยๆตามค่า bitrate ครับ เป็นวิธีการที่ผสมกันระหว่าง mp3 กับ AAC ดูจากความหนาแน่นและความถี่แล้วจะเป็นรอง AAC ไม่มาก และดีกว่า mp3 อย่างชัดเจน ถึงแม้เครื่องมือทั้งการแปลงไฟล์และ codec ถอดรหัสไฟล์นั้นแจกฟรีแถมเป็น opensource กลับไม่ได้รับความนิยมในคนเล่นเพลง เนื่องด้วยไม่มีค่ายเพลงไหนที่ให้โหลดเพลงแบบ ogg และเครื่องเล่นที่เล่นไฟล์นี้ได้ก็มีจำนวนจำกัด แต่ว่าไฟล์เสียงแบบนี้ได้รับความนิยมในเกม เสียงที่ประกอบการเล่นเกมหลายๆเกมมักใช้การบีบอัดแบบ ogg เนื่องมาจากไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหา license ของตัวเข้ารหัสแถมได้ขนาดไฟล์ที่เล็กด้วยครับ
เพราะฉะนั้น งานดีพอตัว แต่หาเครื่องเล่นยาก เอาไปทำเอฟเฟ็คต์เกมเถอะ
-------------------- เสียงจากเพลงใน Youtube ล่ะ ---------------------------
ผมทำการดาวน์โหลดเพลงใน youtube ผ่านเว็บ keepvid ก็จะมีให้เลือก 2 แบบคือ m4a (AAC) และแบบ webm (Vorbis,Opus) ก็เอามาทั้งสอบแบบให้ชมกันครับ
m4a -> AAC 128kbps
webm -> Vorbis 128kbps
อันนี้แถม (เพราะตอนโหลดมีให้เลือก) webm -> Opus 160kbps
คุณภาพที่ได้ไม่แตกต่างไปจากไฟล์ AAC และ OGG ที่ rip มาจาก cd มากนัก (ที่ bitrate 128kbps นะครับ) ใครจะเอาไปฟังทดสอบความไพเราะหรือเนื้อหาเพลงก็ถือว่าใช้งานได้ มีคุณภาพที่ดีกว่า mp3 128k อยู่นิดหน่อย แต่ถ้าเอาไปเดโมเครื่องเสียงก็อาจจะไม่เหมาะนัก ใช้ CD หรือไฟล์ใน iTune ดีกว่า
------------------------------
สรุป ใช้ให้เหมาะกับความต้องการดีที่สุด
กราฟสเปคตรัมที่ให้ท่านชมนั้นเป็นเพียงแสดงค่าระดับเสียงในแต่ละความถี่เท่านั้น ไม่สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพที่แท้จริงในเสียงเพลงได้ บางเพลงกราฟไม่หนาและเยอะมากกลับมีเสียงที่ไพเราะ กังวาล sound stage กว้างสุดลูกหูลูกตา บางเพลงเสียงดนตรีไม่กี่ชิ้น จังหวะเสียงนุ่มๆ แต่มีคลื่นเสียงเต็มกราฟเลยก็มี ที่สำคัญคือ
***** ซื้อเพลงที่มีลิขสิทธิ์แท้นะครับ ******
ไม่ว่าจะซื้อแผ่นซีดีหรือจะซื้อผ่าน iTune ก็ดี หรือซื้อผ่านผู้ให้บริการอื่นๆก็ดี นับว่าท่านได้ก้าวเข้าสู่นักฟังเพลง "ที่แท้จริง" ได้แล้วครับ
ส่งท้ายด้วยกราฟของเพลงจากราชินีเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ใครคิดว่าเพลงลูกทุ่งรายละเอียดเสียงไม่เยอะ มาดูกันครับ
แบบว่าเต็มกราฟเลยทีเดียว
จบแต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดี
มี EDIT ต่อ คห.14