ถ้าบอกเพื่อนในเดอะแก๊งว่าจะชวนไปสุขุมวิท ภาพแรกของหลายๆคน คือต้องชวนไปกินอาหารญี่ปุ่น ไม่ก็ไนท์คลัยสักแห่งหนึ่งแน่ๆ แต่ไม่ใช่นะฮ๊าาาาา เราไม่เน้นกินนะทริปนี้ 55555555 ชวนไปสุขุมวิทคราวนี้ของเรา ชวนไปพักผ่อน หอบงานไปทำได้ ใครใคร่กิน กิน ใครใคร่ทำงาน ทำแต่เน้นแค่วันตอนกลางวันเท่านั้น ส่วนกลางคืนก็มานอนเม้าท์มอยแบบสมัยเด็กหอ ในโฮสเทลสไตล์ลอฟท์ ใจกลางสุขุมวิท ที่เราอ่านเจอในหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่ง น่าแปลกที่มากินบุพเฟ่แถวย่านนี้ก็บ่อย ทำไมไม่สังเกตเห็น แว่บแรกก็คิดเลยว่า จะต้องชวนเพื่อนมาให้ได้ เพราะทริปนี้สั้นๆ อยู่ในกรุงเทพฯ ใครมาไม่ได้ หึ!
แต่ก่อนจะชวนเพื่อนไปนั้น เราโทรมาสอบถามก่อนค่ะ พอว่างวันเสาร์ก็เลยเข้าไปชิมกาแฟที่คาซ่าลาแปง โชคดีที่เจอไกด์พาเที่ยวสุดน่ารัก ที่อนุญาตให้เราเข้าชมเพื่อนำไปรีวิวในเว็บก่อนได้ หากนัดเพื่อนพร้อมเมื่อไหร่ คงได้ไปกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาอีกที ว่าแล้วก็ไปเซอร์เวย์กันเลยค่ะ
ONEDAY | PAUSE and FORWARD หยุดพักแล้วค่อยไปต่อ
ภายใต้ความความคิดที่ว่า ความจำเป็นของคนเราในการใช้ชีวิตนั้น เริ่มจากการตื่นนอนที่สดชื่น พร้อมอาหารเช้าที่ดี เริ่มต้นการทำงานในสถานที่ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ได้พบปะเพื่อนฝูง และเข้านอนอย่างมีความสุข จึงนำมาสู่ CO WORKING – LIVING PLACE สถานที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบในหนึ่งวันอย่าง ‘ONEDAY’ โครงการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประกอบไปด้วย 4 โซนหลักอย่าง ONEDAY PAUSE HOSTEL (วันเดย์ พอส โฮสเทล), ONEDAY FORWARD CO WORKING SPACE (วันเดย์ ฟอร์เวิร์ด โค เวิร์คกิ้งสเปส), ONEDAY AT A TIME RESTAURANT (ร้านอาหารวันเดย์ แอท อะ ไทม์), CASA LAPINx26 CAFE (คาซ่า ลาแปง 26 คาเฟ่)
โดยที่นี่ตั้งอยู่ริมถนนภายในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้สถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ ถ้าเดินจากต้นซอยก็ใช้เวลาเต็มที่ไม่เกิน 10 นาที จะพบอาคารสูง 2 ชั้นสไตล์ลอฟท์อยู่ฝั่งซ้ายมือ เห็นอย่างนั้นแล้ว ก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปทันที
เมื่อจอดรถได้แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะติดต่อไกด์ที่เรานัดไว้ เพื่อรีบเข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้านหลังประตูไม้สีน้ำตาลที่มีสติ้กเกอร์สีขาวติดไว้ตัวโตพร้อมสัญลักษณ์ PAUSE กับคำว่า HOSTEL
ONEDAY | PAUSE HOSTEL
วันเดย์ พอส โฮสเทล เป็นที่พักอาศัยในรูปแบบโฮสเทลน้องใหม่ย่านสุขุมวิทที่เปิดตัวได้ประมาณ 2 ปี โดยหากสนใจเข้าพัก สามารถเช็คข้อมูลได้ที่เว็บไซต์วันเดย์บีเคเค (www.onedaybkk.com) หรือบุ๊คกิ้งผ่านทางเว็บอโกด้า (agoda.com) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะยืนรอ เราสังเกตุการตกแต่งภายในส่วนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ของประดับและเฟอนิเจอร์ล้วนแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายกับหอพักในสไตล์หนังฝรั่งสักเรื่อง บวกกับบรรยากาศที่กำลังใกล้ช่วงสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ของประดับตกแต่งของทางโฮสเทล เลยกลายเป็นของเล่นย่อมๆให้เราได้เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ
และอีกสิ่งที่ดูจะเรียกสายตาจากเราได้ไม่แพ้กันก็คือ จำนวนลูกค้าที่ผลัดกันเดินเช็คอินเช็คเอาท์ในส่วนต้อนรับ มากหน้าหลายตาจนเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ‘จำนวนลูกค้าที่เข้าพัก เป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติมากกว่ากัน’
“อย่างละครึ่งเลยค่ะ ชาวต่างชาติก็เยอะ แต่คนไทยก็เข้าพักเยอะเหมือนกัน”
โดย คุณยู้ ไกด์สาวของเราบอกเหตุผลว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะมาในสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ ส่วนคนไทยมีทั้งมาทำงานและเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อน
พอพูดไม่ทันขาดคำ เราก็สังเกตุเห็นน้องผู้ชายชาวไทยเดินออกจากประตูมาเพื่อเช็คเอาท์ สะพายกระเป๋าเป้ ส่วนในมือถือทั้งผ้าห่มและผ้าขนหนูที่ถูกพับเรียบอย่างดี ทีแรกเราเข้าใจว่าคงเอาไปส่งซัก แต่จริงแล้วๆ เวลาเช็คเอาท์ออกจากที่โฮสเทล เป็นกฎที่จะต้องเอาของมาคืน ทั้งผ้าห่มผ้าขนหนู รวมถึงกุญแจล็อกเกอร์และคีย์การ์ดที่ให้ไปในครั้งที่เช็คอิน โดยเราเดินตามคุณยู้เข้าไปด้านในที่ถือว่าเป็นโซนไพรเวทเฉพาะผู้เข้าพัก ต้องใช้คีย์การ์ดแตะเพื่อเข้าผ่านเท่านั้น
ตัวอาคารชั้นล่างในส่วนแรกเป็นโถงโล่งแบบโอเพ่นแอร์ ผนังแต่ละด้านตกแต่งด้วยปูนและอิฐแดงแตกต่างกัน แต่ก็ดูสวยและเข้ากันมาก หน้าต่างเป็นแบบบานกว้างติดมุ้งลวด มีม่านผืนบางๆพอที่จะรับลมและแสงแดด มีการกั้นแบ่งเพื่อการใช้งานไว้อย่างชัดเจน ซึ่งแบ่งเป็นส่วนพักผ่อน มีโซฟาและโต๊ะสี่เหลี่ยมให้ได้นั่งอ่านหนังสือและเขียนการ์ด
มุมทำงานมีคอมคอมพิวเตอร์สองเครื่องและเครื่องเขียนไว้สำหรับลูกค้า
และในส่วนที่เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษก็คือ โซนดูหนัง ที่ทางโฮสเทลได้มีการจัดเตรียมแผ่นภาพยนตร์ไว้ให้เลือกสรรพร้อมกับเครื่องเล่นและจอทีวี ลูกค้าที่เข้าพักสามารถเข้าใช้งานได้ตามอัธยาศัยโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือหากภาพยนตร์ที่เปิดอยู่น่าสนใจ ก็สามารถเข้าชมร่วมกับคนอื่นๆได้เช่นกัน
ส่วนพื้นที่ด้านในสุดจัดเป็นพื้นที่แคนทีนของทางโฮสเทล จะเปิดให้ทานอาหารเช้าตั้งแต่ 7.30 am จนถึง 10.30 am แบ่งเป็นครัวและโต๊ะอาหารขนาดยาวสำหรับแขกที่เข้าพักจำนวนหลายท่านมีโซนอาหารเช้าไว้สำหรับบริการตนเอง
โดยพื้นที่ครัวของที่นี่ ลูกค้าสามารถนำมาวัตถุดิบมาปรุงอาหารกันเองได้ เพราะทางโฮสเทลได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้เกือบทุกอย่างแล้ว
มีตู้กับข้าว ตู้เย็น และของใช้จำเป็นสำหรับทำครัว
ส่วนเรื่องการบริการอย่างซักรีด ที่นี่จะไม่มีให้ แต่จะจัดเตรียมเครื่องซักผ้าปั่นแห้งแบบหยอดเหรียญไว้ให้แทน เผื่อลูกค้าท่านใดสนใจใช้บริการ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คุณยู้กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยปกติแล้ว ลูกค้าที่เข้าพักไม่ค่อยมาใช้บริการในส่วนนี้กันเท่าไหร่นัก จะน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนที่เข้าพัก
อย่างไรก็ตาม เราได้หยุดนึกถึงเหตุผลว่าทำไม ก่อนจะเดินตามขึ้นไปชมห้องพักชั้นบน ที่เวลาลูกค้าจะเข้าห้องพัก ต้องถอดรองเท้ารวมกันไว้ที่จุดนี้ก่อน
[CR] ONEDAY | PAUSE and FORWARD เหมือนจะไปย่านนี้บ่อย แต่ทำไมเราเพิ่งมารู้จักกัน
แต่ก่อนจะชวนเพื่อนไปนั้น เราโทรมาสอบถามก่อนค่ะ พอว่างวันเสาร์ก็เลยเข้าไปชิมกาแฟที่คาซ่าลาแปง โชคดีที่เจอไกด์พาเที่ยวสุดน่ารัก ที่อนุญาตให้เราเข้าชมเพื่อนำไปรีวิวในเว็บก่อนได้ หากนัดเพื่อนพร้อมเมื่อไหร่ คงได้ไปกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาอีกที ว่าแล้วก็ไปเซอร์เวย์กันเลยค่ะ
ONEDAY | PAUSE and FORWARD หยุดพักแล้วค่อยไปต่อ
ภายใต้ความความคิดที่ว่า ความจำเป็นของคนเราในการใช้ชีวิตนั้น เริ่มจากการตื่นนอนที่สดชื่น พร้อมอาหารเช้าที่ดี เริ่มต้นการทำงานในสถานที่ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ได้พบปะเพื่อนฝูง และเข้านอนอย่างมีความสุข จึงนำมาสู่ CO WORKING – LIVING PLACE สถานที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบในหนึ่งวันอย่าง ‘ONEDAY’ โครงการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประกอบไปด้วย 4 โซนหลักอย่าง ONEDAY PAUSE HOSTEL (วันเดย์ พอส โฮสเทล), ONEDAY FORWARD CO WORKING SPACE (วันเดย์ ฟอร์เวิร์ด โค เวิร์คกิ้งสเปส), ONEDAY AT A TIME RESTAURANT (ร้านอาหารวันเดย์ แอท อะ ไทม์), CASA LAPINx26 CAFE (คาซ่า ลาแปง 26 คาเฟ่)
โดยที่นี่ตั้งอยู่ริมถนนภายในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้สถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ ถ้าเดินจากต้นซอยก็ใช้เวลาเต็มที่ไม่เกิน 10 นาที จะพบอาคารสูง 2 ชั้นสไตล์ลอฟท์อยู่ฝั่งซ้ายมือ เห็นอย่างนั้นแล้ว ก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปทันที
เมื่อจอดรถได้แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะติดต่อไกด์ที่เรานัดไว้ เพื่อรีบเข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้านหลังประตูไม้สีน้ำตาลที่มีสติ้กเกอร์สีขาวติดไว้ตัวโตพร้อมสัญลักษณ์ PAUSE กับคำว่า HOSTEL
ONEDAY | PAUSE HOSTEL
วันเดย์ พอส โฮสเทล เป็นที่พักอาศัยในรูปแบบโฮสเทลน้องใหม่ย่านสุขุมวิทที่เปิดตัวได้ประมาณ 2 ปี โดยหากสนใจเข้าพัก สามารถเช็คข้อมูลได้ที่เว็บไซต์วันเดย์บีเคเค (www.onedaybkk.com) หรือบุ๊คกิ้งผ่านทางเว็บอโกด้า (agoda.com) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะยืนรอ เราสังเกตุการตกแต่งภายในส่วนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ของประดับและเฟอนิเจอร์ล้วนแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายกับหอพักในสไตล์หนังฝรั่งสักเรื่อง บวกกับบรรยากาศที่กำลังใกล้ช่วงสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ของประดับตกแต่งของทางโฮสเทล เลยกลายเป็นของเล่นย่อมๆให้เราได้เก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ
และอีกสิ่งที่ดูจะเรียกสายตาจากเราได้ไม่แพ้กันก็คือ จำนวนลูกค้าที่ผลัดกันเดินเช็คอินเช็คเอาท์ในส่วนต้อนรับ มากหน้าหลายตาจนเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ‘จำนวนลูกค้าที่เข้าพัก เป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติมากกว่ากัน’
“อย่างละครึ่งเลยค่ะ ชาวต่างชาติก็เยอะ แต่คนไทยก็เข้าพักเยอะเหมือนกัน”
โดย คุณยู้ ไกด์สาวของเราบอกเหตุผลว่า ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะมาในสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ ส่วนคนไทยมีทั้งมาทำงานและเปลี่ยนบรรยากาศการพักผ่อน
พอพูดไม่ทันขาดคำ เราก็สังเกตุเห็นน้องผู้ชายชาวไทยเดินออกจากประตูมาเพื่อเช็คเอาท์ สะพายกระเป๋าเป้ ส่วนในมือถือทั้งผ้าห่มและผ้าขนหนูที่ถูกพับเรียบอย่างดี ทีแรกเราเข้าใจว่าคงเอาไปส่งซัก แต่จริงแล้วๆ เวลาเช็คเอาท์ออกจากที่โฮสเทล เป็นกฎที่จะต้องเอาของมาคืน ทั้งผ้าห่มผ้าขนหนู รวมถึงกุญแจล็อกเกอร์และคีย์การ์ดที่ให้ไปในครั้งที่เช็คอิน โดยเราเดินตามคุณยู้เข้าไปด้านในที่ถือว่าเป็นโซนไพรเวทเฉพาะผู้เข้าพัก ต้องใช้คีย์การ์ดแตะเพื่อเข้าผ่านเท่านั้น
ตัวอาคารชั้นล่างในส่วนแรกเป็นโถงโล่งแบบโอเพ่นแอร์ ผนังแต่ละด้านตกแต่งด้วยปูนและอิฐแดงแตกต่างกัน แต่ก็ดูสวยและเข้ากันมาก หน้าต่างเป็นแบบบานกว้างติดมุ้งลวด มีม่านผืนบางๆพอที่จะรับลมและแสงแดด มีการกั้นแบ่งเพื่อการใช้งานไว้อย่างชัดเจน ซึ่งแบ่งเป็นส่วนพักผ่อน มีโซฟาและโต๊ะสี่เหลี่ยมให้ได้นั่งอ่านหนังสือและเขียนการ์ด
มุมทำงานมีคอมคอมพิวเตอร์สองเครื่องและเครื่องเขียนไว้สำหรับลูกค้า
และในส่วนที่เรารู้สึกชอบเป็นพิเศษก็คือ โซนดูหนัง ที่ทางโฮสเทลได้มีการจัดเตรียมแผ่นภาพยนตร์ไว้ให้เลือกสรรพร้อมกับเครื่องเล่นและจอทีวี ลูกค้าที่เข้าพักสามารถเข้าใช้งานได้ตามอัธยาศัยโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือหากภาพยนตร์ที่เปิดอยู่น่าสนใจ ก็สามารถเข้าชมร่วมกับคนอื่นๆได้เช่นกัน
ส่วนพื้นที่ด้านในสุดจัดเป็นพื้นที่แคนทีนของทางโฮสเทล จะเปิดให้ทานอาหารเช้าตั้งแต่ 7.30 am จนถึง 10.30 am แบ่งเป็นครัวและโต๊ะอาหารขนาดยาวสำหรับแขกที่เข้าพักจำนวนหลายท่านมีโซนอาหารเช้าไว้สำหรับบริการตนเอง
โดยพื้นที่ครัวของที่นี่ ลูกค้าสามารถนำมาวัตถุดิบมาปรุงอาหารกันเองได้ เพราะทางโฮสเทลได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้เกือบทุกอย่างแล้ว
มีตู้กับข้าว ตู้เย็น และของใช้จำเป็นสำหรับทำครัว
ส่วนเรื่องการบริการอย่างซักรีด ที่นี่จะไม่มีให้ แต่จะจัดเตรียมเครื่องซักผ้าปั่นแห้งแบบหยอดเหรียญไว้ให้แทน เผื่อลูกค้าท่านใดสนใจใช้บริการ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คุณยู้กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยปกติแล้ว ลูกค้าที่เข้าพักไม่ค่อยมาใช้บริการในส่วนนี้กันเท่าไหร่นัก จะน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนที่เข้าพัก
อย่างไรก็ตาม เราได้หยุดนึกถึงเหตุผลว่าทำไม ก่อนจะเดินตามขึ้นไปชมห้องพักชั้นบน ที่เวลาลูกค้าจะเข้าห้องพัก ต้องถอดรองเท้ารวมกันไว้ที่จุดนี้ก่อน