อย่างที่เคยบอกไปถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศ เราต้องไปดูหนังของที่นั่นให้ได้ (ถ้ายังจำกันได้ แต่ถ้าไม่ได้ลองอ่านกระทู้เก่าๆ กันฮะ) เมื่อ พฤศจิกายน 58 เราได้ไป มาเลเซีย เราไปมา 7 วัน ก่อนไปคิดว่าได้ดูซักเรื่องนึงก็โอเคแล้วล่ะ แต่เอาเข้าจริง เราดูไป 7 เรื่อง หูย นี่ไปดูหนังหรือไปเที่ยวกันแน่ ???
แน่นอนฮะ โจทย์ที่สำคัญยังคงมีอยู่ 2 ข้อ คือ
1. ดูหนังมาเลเซียแท้ๆ
2. ทันกลับที่พักด้วยรถไฟ
อันนี้ที่ Berjaya Times Square ฮะ แต่ที่ Gurney Plaza ลืมถ่ายรูปอ่ะ
แต่คราวนี้ข้อ 2 นี่ตัดทิ้งไปได้เลยฮะ เราได้ทำการสำรวจแล้ว โรงหนังที่เป็นเป้าหมายของเราคือ GSC หรือ Golden Screen Cinema โรงหนังที่อยู่ในห้าง Berjaya Times Square ในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมันใกล้กะที่พักเรามากๆ ด้วยการเดินประมาณ 500 เมตร เพราะฉะนั้นจะดูหนังจบกี่ทุ่มก็สามารถเดินกลับได้แบบเก๋ๆ (มีอยู่วันนึงดูหนังจบตี 2) กะอีกที่นึงเป็นของ GSC เหมือนกันแต่ตั้งอยูในห้าง Gurney Plaza ในปีนัง ซึ่งก็อยู่ห่างจากที่พักด้วยการเดินเพียงเกือบๆ กิโลเท่านั้น ทีนี้ปัญหาเลยอยู่ที่ข้อ 1 เพราะเมื่อเราไปสำรวจโปรแกรมหนังที่เข้าฉายอยู่ทั้งหมดเวลานั้น มีหนังมาเลเซียเข้าฉายอยู่เพียงแค่เรื่องเดียว เรื่องอะไรเราจำไม่ได้อ่ะ และรอบฉายก็นรกมากๆ ประมาณเที่ยงๆ (เหมือนหนังใกล้ลาโรงแล้ว) ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องออกเที่ยวไง โชคยังดีที่สองวันต่อมามีหนังมาเลเซียเข้าฉายอีกเรื่องนึง แม้รอบฉายจะไม่เยอะ แต่ก็ยังหาดูง่ายหน่อย
ทีนี้เราขอสรุปภาพรวมคร่าวๆ ของการดูหนังที่มาเลเซียตามที่เราเจอมานะ
1. เท่าที่เห็น เราว่าวงการหนังมาเลเซียนี่แทบไม่ต่างจากวงการหนังไทยอ่ะ คือเราไม่รู้ว่าคนมาเลเซียชอบดูหนังของเค้ากันเองหรือเปล่า (เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าไม่ดูหนังไทย) แต่ถ้าดูจากจำนวนหนังที่เข้าฉาย รอบฉาย บวกกะจำนวนคนดูในรอบที่เราได้ดู คนน้อยมากๆ อ่ะ
บรรยากาศหน้า box office ฮะ
2. โรงหนังในมาเลเซียแทบไม่ต่างอะไรกะของไทยเลย ตั้งแต่ช่องขายตั๋วหน้าโรงหนัง เคาน์เตอร์ขายป็อปคอร์น ไปจนถึงโรงหนัง โฆษณาในโรงหนังและมารยาทการดูหนัง แต่ที่ต่างและเรามองว่าดีงามคือ ราคาค่าตั๋วหนังและราคาป็อปคอร์น
ราคาค่าตั๋วหนัง แต่ตอนถ่ายนี่มีหน้าต่างเล็กๆ ขึ้นมาปิดเฉย
3. ราคาค่าตั๋วหนัง เราว่ามันถูกมากๆ เลยนะถ้าเทียบกะของไทย และหนังที่เรามีโอกาสได้ดูมันก็ค่อนข้างหลากหลาย เลยพอจะบอกความแตกต่างได้ (คิดเป็นเงินไทยตอนที่เราแลกไปด้วยการคูณ 8.75)
- ราคาของวันฉาย จ. – พ. อยู่ที่ 11.50 RM
- ราคาของวันฉาย พฤ. – อา. อยูที่ 13.50 RM
- ราคาของโรง MAXX อยู่ที่ 19.00 RM
(MAXX ในที่นี้ก็คือโรงแบบ IMAX นี่แหละ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะเค้าไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ IMAX ไปเลยไม่ได้ใช้ชื่อว่า IMAX หรือซื้อไปแล้วแต่ใช้คำว่า MAXX แทน)
- ราคาของโรงแบบพรีเมี่ยม อยูที่ 18.00 RM
(โรงแบบพรีเมี่ยมเค้าเรียกว่า PC ย่อมาจาก Premium Class ทีแรกเราก็ไม่รู้อ่ะว่ามันยังไง แต่ก็สงสัยว่าทำไมเรื่องที่เราจะดูนี้มันราคาแพงกว่าปกติก็เลยถาม พนง. ดูเลยรู้ แล้วพรีเมี่ยมคลาสที่นี่เค้าเก๋นะ เก๋ตรงที่มันจะเป็นที่นั่งแบบโซฟาสำหรับนั่ง 2 คนไง คือถ้าเป็นที่ไทยเค้าจะแบบบังคับขายไปเลย 2 ที่ แม้เราจะดูคนเดียวก็เหอะ แต่ที่เราซื้อนี่เค้าขายแบบที่เดียวอ่ะ แต่ก็อาจจะเพราะเรื่องที่ดูนี้น่าจะเป็นหนังที่ใกล้ๆ จะลาโรงแล้ว คนดูไม่ค่อยเยอะเลยยอมขายมั้ง ? เพราะลองคิดดู มันเป็นที่นั่งแบบโซฟา ถ้าขายที่เดียวไปแล้ว อีกที่ใครจะมาซื้อล่ะ แบบไม่รู้จักกันไรเงี้ย)
ที่หน้าเคาน์เบอร์ป็อปคอร์น
เซ็ต SPECTRE ราคา 21 RM ถูกจนน่าใจหาย
4. ราคาป็อปคอร์น เฮ้ย ถูก ถูกมาก คือเราเคยกินแต่แบบแพงๆ มาทั้งชีวิตไง พอมาเจอที่นี่เลยรู้สึกว่ามันถูก มีหลายขนาด หลายราคา แต่เล็กสุดแค่ 7.50 RM เองอ่ะ แต่ข้อเสียก็คือ เค้าแทบไม่ทำแบบเป็นเซ็ตจากหนังเลยอ่ะ ตอนที่เราไปก็เห็นมีขายอยู่แบบเดียวคือ SPECTRE เป็นแบบแก้วเหล็กเก็บความเย็น สวยงามมากๆ พร้อมป็อปคอร์นราคาอยู่ที่ 21.00 RM เองอ่ะ และที่เสียอีกอย่างคือเราว่าป็อปคอร์นเค้าไม่ค่อยอร่อยอ่ะ ทั้งแบบรสเค็มธรรมดา รสหวาน และรสชีสเต็มๆ (ที่ราคาจะแพงกว่าเค้าหน่อย) สรุปทั้ง 3 รสนี้ไม่มีอันไหนถูกปากเลย
โปรแกรมฉาย หลากหลายดีมาก
5. หนังที่เข้าฉายหลากหลายมาก อันนี้ดีงามอ่ะ เอางี้เล่าง่ายๆ คืออย่างที่ไทยเนี่ย หนังที่เข้าฉายจะเป็นหนังฮอลลีวูดที่มาจากสตูดิโอใหญ่ๆ เป็นหลัก ถ้าหนังที่ไม่ได้มาจากสตูดิโอใหญ่ๆ จะถูกวางให้เป็นหนังอินดี้ และจะเข้าฉายแบบจำกัดโรงมากๆ หนังต่างประเทศอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทีนี้มามองที่หนังเอเซียกันมั่ง ในยุคนี้หนังจากญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน ไม่ว่าจะฟอร์มยักษ์ ทำเงินถล่มทลายในประเทศบ้านเกิดขนาดไหน ถ้ามีโอกาสได้เข้าฉายในไทยจะกลายสภาพเป็นหนังอินดี้หรือหนังเฉพาะกลุ่มทันที ทั้งๆ ที่หนังพวกนี้ไม่ได้เป็นหนังที่ดูยากอะไรเลยด้วยซ้ำ หนังอินเดียก็มีเข้าฉายนะ แต่มีแบบเฉพาะกลุ่ม มุ่งเป้าที่ลูกค้าชาวอินเดียเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเลยเข้าฉายอยู่เฉพาะในพื้นที่ที่มีคนอินเดียอาศัยอยู่เป็นหลัก (คือ เมเจอร์เอกมัย พระราม 3 และพัทยา) ส่วนหนังจากประเทศเพื่อนบ้าน (กลุ่ม AEC) น่ะเหรอ จะมีซักกี่คนที่รู้ว่าเคยมีมาเข้าฉาย ส่วนหนังไทยก็อย่างที่รู้ๆ กัน
แต่ที่มาเลเซียนะ นอกจากหนังฮอลลีวูดที่เข้าฉายเยอะไม่ต่างจากไทยแล้ว หนังที่ใช้ภาษาจีน (จีน ฮ่องกง ไต้หวัน) เข้าฉายเยอะมากๆ เฉพาะช่วงที่เราไปก็มีให้เลือกดูเยอะแยะมากมาย หนังอินเดียเองก็มีหลายเรื่อง รอบฉายอะไรก็หาง่าย มีหนังไทยเข้าฉายด้วยนะในช่วงที่เราไปคือเรื่อง “มอญซ่อนผี” นั่นเอง ส่วนหนังมาเลเซียน่ะเหรออย่างที่บอกไป หาดูลำบากยากเย็น
มีหนังไทยเข้าฉายด้วยฮะ "มอญซ่อนผี"
6. พูดถึงหนังแล้ว จุดที่เราสังเกตุอีกอย่างคือ คนมาเลเซียนี่น่าจะชอบดูหนังสยองขวัญ หรือหนังผีอะไรเทือกนี้มากกว่าหนังแนวอื่นหรือเปล่า เพราะมีหลายเรื่องมากๆ ในช่วงที่เราไป อย่างหนังไทยที่เข้าฉาย “มอญซ่อนผี” ก็เป็นหนังผี แล้วพอเราไปเดินสำรวจร้านขายหนังแผ่น (ซึ่งเราว่าสถานการณ์หนังแผ่นก็คงไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ เพราะเจออยู่แค่ร้านเดียว) มีหนังแนวๆ นี้จัดขายเป็นโซนเลย และเราก็พบดีวีดีหนังไทยเยอะมาก หลายเรื่องเลย แต่ทุกเรื่องที่เห็นนั้นเป็นหนังแนวผีๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะผีตลก หรือว่าผีแบบว่ากลัวไปเลย แถมหนังมาเลเซียที่เข้าฉายและเราได้ดูก็เป็นหนังผีด้วย
7. ทีนี้มาว่ากันที่หนังที่เราได้ดูมั่ง ไป 7 วัน ดูไป 7 เรื่อง ถามว่าทำไมต้องดูเยอะขนาดนี้ด้วย คือมันยังงี้ไง ปกติเราเป็นคนที่ชอบดูหนังมากๆ อยู่แล้ว ดูเกือบทุกเรื่อง ทุกแนวที่เข้าฉาย และตอนที่ไปมาเลเซียเนี่ย ตอนกลางวันเราที่ออกเที่ยวสำรวจบ้านเมืองใช่มะ แล้วพอตกกลางคืนเราก็ไม่รู้จะทำอะไรไง ช็อปปิ้งก็ไม่มีตังค์ด้วย เลยดูหนังมันเนี่ยแหละ
หนัง 7 เรื่อง แบ่งเป็น หนังฝรั่ง 3 เรื่อง (เป็นการเรียกรวมๆ หนังที่ใช้ภาษาอังกฤษ) หนังจีน 3 เรื่อง (อันนี้ก็เรียกรวมหนังที่ใช้ภาษาจีน) และก็หนังมาเลเซีย 1 เรื่อง จริงๆ เราตั้งใจจะดูหนังอินเดียอีกเรื่องนึง แต่คำนวณเวลาผิดไปหน่อยเลยอดดูเลย
***เซ็ตนี้ดูที่ Berjaya Times Square ในกัวลาลัมเปอร์
- Our Times (หนังจีน) เป็นเรื่องของเด็กสาวธรรมดาๆ ที่ไปแอบชอบรุ่นพี่สุดฮ็อต และมีเรื่องให้ต้องไปเกี่ยวพันกะนักเรียนนักเลงคนนึง ที่สุดท้ายก็ลงเอยอย่างแฮปปี้ เรื่องนี้สนุกนะ ชอบเลยแหละ ถ้าให้ยกตัวอย่าง หนังก็จะประมาณ “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” อ่ะ หนังพูดจีน มีซับฯ อังกฤษกะอีกภาษานึงน่าจะมาเลย์แหละ แต่เป็นหนังที่ดูแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก อ้อ เรื่องนี้ได้ดูแบบพรีเมี่ยมคลาสซะด้วย แลดูไฮโซ
บรรยากาศโรง Premium Class แลดูไฮโซ สมฐานะ
- Return of the Cuckoo (หนังจีน) เรื่องราวความรักสุดจะรันทดของ 1 หนุ่ม 2 สาว ที่นางเอกชอบพออยู่กะพระเอกแล้วก็หนีไปแต่งงาน มีเหตุให้ลูกผัวตาย กลับมาบ้าน พระเอกที่ดูเหมือนจะชอบพออยู่กะสาวอีกคนที่เป็นใบ้ พอคนรักเก่ากลับมาก็เลยยังรักเค้าอยู่ เราว่ามันดูรันทดเกินไปนะ ถามว่าสนุกมั้ย โอเค มันก็พอจะสนุกแหละ แต่ด้วยความที่เดินเรื่องช้าๆ เป็นหนังพูดจีนแล้วเราก็อ่านซับฯ อังกฤษไม่ค่อยจะทัน เลยง่วงๆ อ่ะ
- ADA APA DEKAT BUS STOP (หนังมาเลเซีย) ในที่สุดก็ได้ดูหนังมาเลเซียซักที จากข้อมูลเป็นหนังภาษาบาฮาซา (มั้ง?) เป็นเรื่องราวของคนที่ถูกคนรถตายที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นผีมาคอยหลอกหลอนคนที่ป้ายรถเมล์นั้น เป็นหนังผีนะ แต่เป็นผีตลกประมาณ “บ้านผีปอบ” อ่ะ วิธีการหลอกหรืออะไรก็เน้นเอาฮาเป็นหลัก แต่เรื่องนี้ดูไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ ภาษาก็ฟังไม่รู้เรื่อง แถมยังไม่มีซับฯ อะไรเลยอีก เกือบดึงสติเอาไว้ไม่อยู่ มีแวบหลับไปนิดนึงด้วย
- The Hunger Games: Mockingjay Part II (หนังฮอลลีวูด) เรื่องนี้เป็นหนังที่เราชอบมากๆ เลย ช่วงที่ไปก็เข้าฉายพอดี เลยไม่พลาด เรื่องนี้ได้ดูในแบบ MAXX ด้วยนะ แต่ค่อนข้างจะผิดคาดนิดนึงแฮะ เพราะเป็นหนังฟอร์มบิ๊กแถมเข้าฉายวันแรก เรานึกภาพว่าคนต้องเยอะมหาศาลแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงคนดูน้อยมากๆ และโรง MAXX มันก็จะใหญ่อยู่แล้วนะ แต่คนดูไม่ถึง 20 คนอ่ะ เลยรู้สึกว่าโล่งมากๆ เรื่องนี้เป็นหนังฝรั่งจะมีซับฯ ที่เป็นภาษามาเลย์ (มั้ง?) แต่เรื่องราวของหนังก็เป็นอะไรที่เข้าใจไม่ยากอยู่แล้ว จะมีติดนิดนึงก็ช่วงที่หนังมันพูดกันเยอะๆๆๆ อย่างตอนวางแผนอะไรนั่น แล้วเราฟังไม่ทันอ่ะ เลยอาจจะรู้เรื่องแต่ไม่ละเอียดนัก (และพอกลับมาไทยเราเลยไปดูอีกครั้งนึง)
ปล.เรื่องนี้โหดมาก ดูจบประมาณตี 2 ห้างปิดหมดแล้ว เราก็เดินหาทางออก แต่ยังดีที่ทางออกไม่ซับซ้อนอะไรมาก ลงลิฟท์มาก็เจอทางออกเลย
โรง MAXX ที่เค้าเคลมว่า "จอใหญ่ที่สุดในมาเลเซียเลยนะคุณ"
- The Hallow (หนังฝรั่ง) อันนี้เท่าที่รู้น่าจะเป็นหนังจากยุโรป เป็นเรื่องราวของครอบครัวนึง มีพ่อแม่และลูกเล็กๆ ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านกลางป่า และก็ไปยุ่งเกี่ยวกะอะไรลึกลับซักอย่าง ก็เลยเจอดีกันไป เรื่องนี้เราว่าไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ คือปกติก็เป็นคนชอบดูหนังแนวสยองอยู่แล้วนะ แต่เรื่องนี้ออกจะธรรมดา แต่เราก็รู้สึกเหมือนว่าหนังจะพยายามอธิบายถึงสาเหตุของเรื่องราว ที่มาที่ไปในหนัง แต่ด้วยความที่ฟังไม่ทัน และมีซับฯ มาเลย์ แน่นอนรู้เรื่องไม่หมด ก็เลยอาจจะรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยสนุกด้วยมั้ง
โรงหนังมาเลเซีย มันเป็นยังงี้นี้เองเงงๆๆๆ
อย่างที่เคยบอกไปถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศ เราต้องไปดูหนังของที่นั่นให้ได้ (ถ้ายังจำกันได้ แต่ถ้าไม่ได้ลองอ่านกระทู้เก่าๆ กันฮะ) เมื่อ พฤศจิกายน 58 เราได้ไป มาเลเซีย เราไปมา 7 วัน ก่อนไปคิดว่าได้ดูซักเรื่องนึงก็โอเคแล้วล่ะ แต่เอาเข้าจริง เราดูไป 7 เรื่อง หูย นี่ไปดูหนังหรือไปเที่ยวกันแน่ ???
แน่นอนฮะ โจทย์ที่สำคัญยังคงมีอยู่ 2 ข้อ คือ
1. ดูหนังมาเลเซียแท้ๆ
2. ทันกลับที่พักด้วยรถไฟ
อันนี้ที่ Berjaya Times Square ฮะ แต่ที่ Gurney Plaza ลืมถ่ายรูปอ่ะ
แต่คราวนี้ข้อ 2 นี่ตัดทิ้งไปได้เลยฮะ เราได้ทำการสำรวจแล้ว โรงหนังที่เป็นเป้าหมายของเราคือ GSC หรือ Golden Screen Cinema โรงหนังที่อยู่ในห้าง Berjaya Times Square ในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมันใกล้กะที่พักเรามากๆ ด้วยการเดินประมาณ 500 เมตร เพราะฉะนั้นจะดูหนังจบกี่ทุ่มก็สามารถเดินกลับได้แบบเก๋ๆ (มีอยู่วันนึงดูหนังจบตี 2) กะอีกที่นึงเป็นของ GSC เหมือนกันแต่ตั้งอยูในห้าง Gurney Plaza ในปีนัง ซึ่งก็อยู่ห่างจากที่พักด้วยการเดินเพียงเกือบๆ กิโลเท่านั้น ทีนี้ปัญหาเลยอยู่ที่ข้อ 1 เพราะเมื่อเราไปสำรวจโปรแกรมหนังที่เข้าฉายอยู่ทั้งหมดเวลานั้น มีหนังมาเลเซียเข้าฉายอยู่เพียงแค่เรื่องเดียว เรื่องอะไรเราจำไม่ได้อ่ะ และรอบฉายก็นรกมากๆ ประมาณเที่ยงๆ (เหมือนหนังใกล้ลาโรงแล้ว) ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องออกเที่ยวไง โชคยังดีที่สองวันต่อมามีหนังมาเลเซียเข้าฉายอีกเรื่องนึง แม้รอบฉายจะไม่เยอะ แต่ก็ยังหาดูง่ายหน่อย
ทีนี้เราขอสรุปภาพรวมคร่าวๆ ของการดูหนังที่มาเลเซียตามที่เราเจอมานะ
1. เท่าที่เห็น เราว่าวงการหนังมาเลเซียนี่แทบไม่ต่างจากวงการหนังไทยอ่ะ คือเราไม่รู้ว่าคนมาเลเซียชอบดูหนังของเค้ากันเองหรือเปล่า (เหมือนที่คนไทยชอบบอกว่าไม่ดูหนังไทย) แต่ถ้าดูจากจำนวนหนังที่เข้าฉาย รอบฉาย บวกกะจำนวนคนดูในรอบที่เราได้ดู คนน้อยมากๆ อ่ะ
บรรยากาศหน้า box office ฮะ
2. โรงหนังในมาเลเซียแทบไม่ต่างอะไรกะของไทยเลย ตั้งแต่ช่องขายตั๋วหน้าโรงหนัง เคาน์เตอร์ขายป็อปคอร์น ไปจนถึงโรงหนัง โฆษณาในโรงหนังและมารยาทการดูหนัง แต่ที่ต่างและเรามองว่าดีงามคือ ราคาค่าตั๋วหนังและราคาป็อปคอร์น
ราคาค่าตั๋วหนัง แต่ตอนถ่ายนี่มีหน้าต่างเล็กๆ ขึ้นมาปิดเฉย
3. ราคาค่าตั๋วหนัง เราว่ามันถูกมากๆ เลยนะถ้าเทียบกะของไทย และหนังที่เรามีโอกาสได้ดูมันก็ค่อนข้างหลากหลาย เลยพอจะบอกความแตกต่างได้ (คิดเป็นเงินไทยตอนที่เราแลกไปด้วยการคูณ 8.75)
- ราคาของวันฉาย จ. – พ. อยู่ที่ 11.50 RM
- ราคาของวันฉาย พฤ. – อา. อยูที่ 13.50 RM
- ราคาของโรง MAXX อยู่ที่ 19.00 RM
(MAXX ในที่นี้ก็คือโรงแบบ IMAX นี่แหละ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะเค้าไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ IMAX ไปเลยไม่ได้ใช้ชื่อว่า IMAX หรือซื้อไปแล้วแต่ใช้คำว่า MAXX แทน)
- ราคาของโรงแบบพรีเมี่ยม อยูที่ 18.00 RM
(โรงแบบพรีเมี่ยมเค้าเรียกว่า PC ย่อมาจาก Premium Class ทีแรกเราก็ไม่รู้อ่ะว่ามันยังไง แต่ก็สงสัยว่าทำไมเรื่องที่เราจะดูนี้มันราคาแพงกว่าปกติก็เลยถาม พนง. ดูเลยรู้ แล้วพรีเมี่ยมคลาสที่นี่เค้าเก๋นะ เก๋ตรงที่มันจะเป็นที่นั่งแบบโซฟาสำหรับนั่ง 2 คนไง คือถ้าเป็นที่ไทยเค้าจะแบบบังคับขายไปเลย 2 ที่ แม้เราจะดูคนเดียวก็เหอะ แต่ที่เราซื้อนี่เค้าขายแบบที่เดียวอ่ะ แต่ก็อาจจะเพราะเรื่องที่ดูนี้น่าจะเป็นหนังที่ใกล้ๆ จะลาโรงแล้ว คนดูไม่ค่อยเยอะเลยยอมขายมั้ง ? เพราะลองคิดดู มันเป็นที่นั่งแบบโซฟา ถ้าขายที่เดียวไปแล้ว อีกที่ใครจะมาซื้อล่ะ แบบไม่รู้จักกันไรเงี้ย)
ที่หน้าเคาน์เบอร์ป็อปคอร์น
เซ็ต SPECTRE ราคา 21 RM ถูกจนน่าใจหาย
4. ราคาป็อปคอร์น เฮ้ย ถูก ถูกมาก คือเราเคยกินแต่แบบแพงๆ มาทั้งชีวิตไง พอมาเจอที่นี่เลยรู้สึกว่ามันถูก มีหลายขนาด หลายราคา แต่เล็กสุดแค่ 7.50 RM เองอ่ะ แต่ข้อเสียก็คือ เค้าแทบไม่ทำแบบเป็นเซ็ตจากหนังเลยอ่ะ ตอนที่เราไปก็เห็นมีขายอยู่แบบเดียวคือ SPECTRE เป็นแบบแก้วเหล็กเก็บความเย็น สวยงามมากๆ พร้อมป็อปคอร์นราคาอยู่ที่ 21.00 RM เองอ่ะ และที่เสียอีกอย่างคือเราว่าป็อปคอร์นเค้าไม่ค่อยอร่อยอ่ะ ทั้งแบบรสเค็มธรรมดา รสหวาน และรสชีสเต็มๆ (ที่ราคาจะแพงกว่าเค้าหน่อย) สรุปทั้ง 3 รสนี้ไม่มีอันไหนถูกปากเลย
โปรแกรมฉาย หลากหลายดีมาก
5. หนังที่เข้าฉายหลากหลายมาก อันนี้ดีงามอ่ะ เอางี้เล่าง่ายๆ คืออย่างที่ไทยเนี่ย หนังที่เข้าฉายจะเป็นหนังฮอลลีวูดที่มาจากสตูดิโอใหญ่ๆ เป็นหลัก ถ้าหนังที่ไม่ได้มาจากสตูดิโอใหญ่ๆ จะถูกวางให้เป็นหนังอินดี้ และจะเข้าฉายแบบจำกัดโรงมากๆ หนังต่างประเทศอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทีนี้มามองที่หนังเอเซียกันมั่ง ในยุคนี้หนังจากญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน ไม่ว่าจะฟอร์มยักษ์ ทำเงินถล่มทลายในประเทศบ้านเกิดขนาดไหน ถ้ามีโอกาสได้เข้าฉายในไทยจะกลายสภาพเป็นหนังอินดี้หรือหนังเฉพาะกลุ่มทันที ทั้งๆ ที่หนังพวกนี้ไม่ได้เป็นหนังที่ดูยากอะไรเลยด้วยซ้ำ หนังอินเดียก็มีเข้าฉายนะ แต่มีแบบเฉพาะกลุ่ม มุ่งเป้าที่ลูกค้าชาวอินเดียเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเลยเข้าฉายอยู่เฉพาะในพื้นที่ที่มีคนอินเดียอาศัยอยู่เป็นหลัก (คือ เมเจอร์เอกมัย พระราม 3 และพัทยา) ส่วนหนังจากประเทศเพื่อนบ้าน (กลุ่ม AEC) น่ะเหรอ จะมีซักกี่คนที่รู้ว่าเคยมีมาเข้าฉาย ส่วนหนังไทยก็อย่างที่รู้ๆ กัน
แต่ที่มาเลเซียนะ นอกจากหนังฮอลลีวูดที่เข้าฉายเยอะไม่ต่างจากไทยแล้ว หนังที่ใช้ภาษาจีน (จีน ฮ่องกง ไต้หวัน) เข้าฉายเยอะมากๆ เฉพาะช่วงที่เราไปก็มีให้เลือกดูเยอะแยะมากมาย หนังอินเดียเองก็มีหลายเรื่อง รอบฉายอะไรก็หาง่าย มีหนังไทยเข้าฉายด้วยนะในช่วงที่เราไปคือเรื่อง “มอญซ่อนผี” นั่นเอง ส่วนหนังมาเลเซียน่ะเหรออย่างที่บอกไป หาดูลำบากยากเย็น
มีหนังไทยเข้าฉายด้วยฮะ "มอญซ่อนผี"
6. พูดถึงหนังแล้ว จุดที่เราสังเกตุอีกอย่างคือ คนมาเลเซียนี่น่าจะชอบดูหนังสยองขวัญ หรือหนังผีอะไรเทือกนี้มากกว่าหนังแนวอื่นหรือเปล่า เพราะมีหลายเรื่องมากๆ ในช่วงที่เราไป อย่างหนังไทยที่เข้าฉาย “มอญซ่อนผี” ก็เป็นหนังผี แล้วพอเราไปเดินสำรวจร้านขายหนังแผ่น (ซึ่งเราว่าสถานการณ์หนังแผ่นก็คงไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ เพราะเจออยู่แค่ร้านเดียว) มีหนังแนวๆ นี้จัดขายเป็นโซนเลย และเราก็พบดีวีดีหนังไทยเยอะมาก หลายเรื่องเลย แต่ทุกเรื่องที่เห็นนั้นเป็นหนังแนวผีๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะผีตลก หรือว่าผีแบบว่ากลัวไปเลย แถมหนังมาเลเซียที่เข้าฉายและเราได้ดูก็เป็นหนังผีด้วย
7. ทีนี้มาว่ากันที่หนังที่เราได้ดูมั่ง ไป 7 วัน ดูไป 7 เรื่อง ถามว่าทำไมต้องดูเยอะขนาดนี้ด้วย คือมันยังงี้ไง ปกติเราเป็นคนที่ชอบดูหนังมากๆ อยู่แล้ว ดูเกือบทุกเรื่อง ทุกแนวที่เข้าฉาย และตอนที่ไปมาเลเซียเนี่ย ตอนกลางวันเราที่ออกเที่ยวสำรวจบ้านเมืองใช่มะ แล้วพอตกกลางคืนเราก็ไม่รู้จะทำอะไรไง ช็อปปิ้งก็ไม่มีตังค์ด้วย เลยดูหนังมันเนี่ยแหละ
หนัง 7 เรื่อง แบ่งเป็น หนังฝรั่ง 3 เรื่อง (เป็นการเรียกรวมๆ หนังที่ใช้ภาษาอังกฤษ) หนังจีน 3 เรื่อง (อันนี้ก็เรียกรวมหนังที่ใช้ภาษาจีน) และก็หนังมาเลเซีย 1 เรื่อง จริงๆ เราตั้งใจจะดูหนังอินเดียอีกเรื่องนึง แต่คำนวณเวลาผิดไปหน่อยเลยอดดูเลย
***เซ็ตนี้ดูที่ Berjaya Times Square ในกัวลาลัมเปอร์
- Our Times (หนังจีน) เป็นเรื่องของเด็กสาวธรรมดาๆ ที่ไปแอบชอบรุ่นพี่สุดฮ็อต และมีเรื่องให้ต้องไปเกี่ยวพันกะนักเรียนนักเลงคนนึง ที่สุดท้ายก็ลงเอยอย่างแฮปปี้ เรื่องนี้สนุกนะ ชอบเลยแหละ ถ้าให้ยกตัวอย่าง หนังก็จะประมาณ “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” อ่ะ หนังพูดจีน มีซับฯ อังกฤษกะอีกภาษานึงน่าจะมาเลย์แหละ แต่เป็นหนังที่ดูแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก อ้อ เรื่องนี้ได้ดูแบบพรีเมี่ยมคลาสซะด้วย แลดูไฮโซ
บรรยากาศโรง Premium Class แลดูไฮโซ สมฐานะ
- Return of the Cuckoo (หนังจีน) เรื่องราวความรักสุดจะรันทดของ 1 หนุ่ม 2 สาว ที่นางเอกชอบพออยู่กะพระเอกแล้วก็หนีไปแต่งงาน มีเหตุให้ลูกผัวตาย กลับมาบ้าน พระเอกที่ดูเหมือนจะชอบพออยู่กะสาวอีกคนที่เป็นใบ้ พอคนรักเก่ากลับมาก็เลยยังรักเค้าอยู่ เราว่ามันดูรันทดเกินไปนะ ถามว่าสนุกมั้ย โอเค มันก็พอจะสนุกแหละ แต่ด้วยความที่เดินเรื่องช้าๆ เป็นหนังพูดจีนแล้วเราก็อ่านซับฯ อังกฤษไม่ค่อยจะทัน เลยง่วงๆ อ่ะ
- ADA APA DEKAT BUS STOP (หนังมาเลเซีย) ในที่สุดก็ได้ดูหนังมาเลเซียซักที จากข้อมูลเป็นหนังภาษาบาฮาซา (มั้ง?) เป็นเรื่องราวของคนที่ถูกคนรถตายที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นผีมาคอยหลอกหลอนคนที่ป้ายรถเมล์นั้น เป็นหนังผีนะ แต่เป็นผีตลกประมาณ “บ้านผีปอบ” อ่ะ วิธีการหลอกหรืออะไรก็เน้นเอาฮาเป็นหลัก แต่เรื่องนี้ดูไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ ภาษาก็ฟังไม่รู้เรื่อง แถมยังไม่มีซับฯ อะไรเลยอีก เกือบดึงสติเอาไว้ไม่อยู่ มีแวบหลับไปนิดนึงด้วย
- The Hunger Games: Mockingjay Part II (หนังฮอลลีวูด) เรื่องนี้เป็นหนังที่เราชอบมากๆ เลย ช่วงที่ไปก็เข้าฉายพอดี เลยไม่พลาด เรื่องนี้ได้ดูในแบบ MAXX ด้วยนะ แต่ค่อนข้างจะผิดคาดนิดนึงแฮะ เพราะเป็นหนังฟอร์มบิ๊กแถมเข้าฉายวันแรก เรานึกภาพว่าคนต้องเยอะมหาศาลแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงคนดูน้อยมากๆ และโรง MAXX มันก็จะใหญ่อยู่แล้วนะ แต่คนดูไม่ถึง 20 คนอ่ะ เลยรู้สึกว่าโล่งมากๆ เรื่องนี้เป็นหนังฝรั่งจะมีซับฯ ที่เป็นภาษามาเลย์ (มั้ง?) แต่เรื่องราวของหนังก็เป็นอะไรที่เข้าใจไม่ยากอยู่แล้ว จะมีติดนิดนึงก็ช่วงที่หนังมันพูดกันเยอะๆๆๆ อย่างตอนวางแผนอะไรนั่น แล้วเราฟังไม่ทันอ่ะ เลยอาจจะรู้เรื่องแต่ไม่ละเอียดนัก (และพอกลับมาไทยเราเลยไปดูอีกครั้งนึง)
ปล.เรื่องนี้โหดมาก ดูจบประมาณตี 2 ห้างปิดหมดแล้ว เราก็เดินหาทางออก แต่ยังดีที่ทางออกไม่ซับซ้อนอะไรมาก ลงลิฟท์มาก็เจอทางออกเลย
โรง MAXX ที่เค้าเคลมว่า "จอใหญ่ที่สุดในมาเลเซียเลยนะคุณ"
- The Hallow (หนังฝรั่ง) อันนี้เท่าที่รู้น่าจะเป็นหนังจากยุโรป เป็นเรื่องราวของครอบครัวนึง มีพ่อแม่และลูกเล็กๆ ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านกลางป่า และก็ไปยุ่งเกี่ยวกะอะไรลึกลับซักอย่าง ก็เลยเจอดีกันไป เรื่องนี้เราว่าไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ คือปกติก็เป็นคนชอบดูหนังแนวสยองอยู่แล้วนะ แต่เรื่องนี้ออกจะธรรมดา แต่เราก็รู้สึกเหมือนว่าหนังจะพยายามอธิบายถึงสาเหตุของเรื่องราว ที่มาที่ไปในหนัง แต่ด้วยความที่ฟังไม่ทัน และมีซับฯ มาเลย์ แน่นอนรู้เรื่องไม่หมด ก็เลยอาจจะรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยสนุกด้วยมั้ง