ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/34632784
=====================
รัก(ไม่)สวย......ของฟ้าใส
บทที่ 3
====================
: Psycho G.
ฟ้าจูงตัวเองเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นพี่ไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ความใหญ่โตโอ่อ่าของภัตตาคารเบื้องหน้ายืนทะมึนข่มจนแทบทำให้ฟ้าตัวเล็กลงและหายวับไปกับตา ณ ตรงนั้น ประตูทางเข้าของภัตตาคารดูราวเป็นปากยักษ์ร้ายหิวจัดอ้ากว้างดูดกลืนเงินของผู้คนกระเป๋าหนักออกไปอย่างตะกรุมตะกราม แล้วคายผู้คนออกมาในสภาพกระเป๋าเงินเบาหวิวหมดความสำคัญ กระจกกรองแสงบานประตูทางเข้าติดอักษรสีทองเป็นประกายแวววาวเชิญชวนกระชากลูกค้าให้เสียหลักถลาเข้าไปในร้านอย่างไม่คิดชีวิต สู่บรรยากาศเย็นฉ่ำสลัวรางวับแวมโรแมนติก อาหารบนจานขอบทองราคาแพงแสนวิเศษ พนักงานต้อนรับแต่งตัวสวยงามหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส โน้มน้าวจิตใจให้มาแล้วอยากมาอีก และอีก...และอีก
กลางโคมไฟสลัวและเปลวเทียนสั่นไหวเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ มือนิ่มถูกเกาะกุมจากอุ้งมือแข็งแรง เจ้าของใบหน้าคมเข้มหล่อแรเงาจากแสงฉายนุ่มนวล ก่อนถูกกระซิบแผ่วข้างหูด้วยประโยคสำคัญที่สุด
“ฟ้า....ผมรักน้องฟ้า”
แสนหวานปานน้ำผึ้งเดือนสิบสอง อย่างนี้มีหรือว่าหัวใจจะไม่เต้นเป็นส่ำ
แต่ฟ้าเป็นคนรักนวลสงวนมือ มาจับไม้จับมือรุ่มร่ามมันเกินไปแล้ว อย่างนี้จะกลับไปสู้หน้าแม่ที่บ้านได้อย่างไร เท่านั้นเองฟ้ากระชากมือออกจากการเกาะกุมหันไปคว้าแจกันรวยดอกกุหลาบเสียบแซม ฟาดเปรี้ยงเต็มหัวของนายซันจนหน้าคว่ำลงไปในชามน้ำซุปหน่อไม้
ฟ้าหูตาลายเสียแล้ว กับการถูกจับมืออันจะเป็นรอยราคีไปชั่วชีวิตล้างอย่างไรก็ไม่สะอาดออกจากใจ คนเราต้องแต่งงานกันก่อนมิใช่หรือถึงจะจับไม้จับมือกันได้
“กรี๊ด...อ๊าก!” เสียงเด็กสาวกรีดร้องสุดเสียงระบายความเจ็บปวดขมขื่นที่กำลังทะลักทลายเข้ามาในหัวใจราวคลื่นยักษ์พิโรธ
เสียงร้องของฟ้ากระชากตัวเองออกมาจากฝันร้ายสุดสยอง จากฝันหวานกลางวันที่รบเร้าคุกคาม ความรู้สึกอ่อนไหวใจร้าวรานกระเจิดกระเจิงกระจัดกระจาย
ซันหันมามองเจ้าของเสียงร้องระทึกอย่างแปลกใจ ที่เห็นจู่ๆ ฟ้าก็ร้องสุดเสียงทั้งที่กำลังนั่งซ้อนท้ายอยู่ริมถนนอย่างสุขสบาย
“เป็นอะไรไปครับ...”
“เปล่าค่ะ แกล้งร้องซ้อมคอเฉยๆค่ะ” ฟ้ารีบอธิบาย ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายเขินเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าฝันกลางวันอย่างเป็นจริงเป็นจัง หนุ่มซันมองด้วยความรักและความไม่แน่ใจ จะหาผู้หญิงแบบนี้ได้ที่ไหน อยู่ดีๆ ก็ร้องกรี๊ด...อ๊าก! ขึ้นมาเฉย ๆ แต่นั่นล่ะ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของเด็กสาวที่สะท้อนความงามออกมาจากความจริงใจ
กระดิ่งจักรยานสีด่างขับขานเสียงกังวานใสกรุ๋งกริ๋งราวระฆังสั่นไหวบนชายคาสวรรค์ ฟ้าเกือบเผลอตัวอิงแอบแนบแผ่นหลังแคบ แต่ไม่มีทางเสียล่ะจะทำแบบนั้น...ไม่มีทางว่าคนอย่างฟ้าจะไปอิงแอบแนบชิดเพียงเพราะความหล่อดลบันดาล แสงแดดยามใกล้เที่ยงเริ่มใจร้ายมากขึ้นอย่างไม่มีมารยาท ฟ้าจึงกางร่มที่ถือมาด้วยเพื่อปกป้องตัวเองจากการลวนลามของแสงแดด กางกั้นด้วยร่มสีสันสดใส หัวใจของฟ้าเต้นเป็นจังหวะดัง แมนสัน…แมนซัน.....แมนสัน....แมนซัน...สลับไปมาจนใจสับสนระส่ำระสาย บางครั้งรุนแรงบ้าคลั่งบางครั้งอ่อนล้าโรยแรงแผ่วโหย
ลมกระโชกรุนแรง ร่มในมือกางต้านลมดึงรั้งของฟ้ารั้งไปด้านข้าง
“ว้าย!”
ฟ้าอุทานเสียงหลง ร่างเอียงวูบวาบเอียงซ้ายเอียงขวาจากแรงกระชากร่มของลมแรง มือหนึ่งกำด้ามร่มแน่นมือหนึ่งเกาะเบาะจักรยานไม่คิดชีวิต เริ่มจำได้แล้วว่าแม่เคยบอก “อยู่บนรถอย่ากางร่ม”
รถจักรยานเป๋ไปมาเหมือนเมาเหล้า เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อน่องและแขนปูดโปนเส้นเอ็นราวมือกะลาสีควบคุมพังงาผู้มีความพยายามประคับประคองนาวาชีวิตให้พ้นคลื่นลมบ้าคลั่งโหมกระหน่ำผ่านพ้นไปให้ถึงฝั่ง หยาดเหงื่อหยดไหลเข้าตาพร่าพรายเปลวแดดข้างหน้าระยับยิบ
“นั่งนิ่งๆ สิครับฟ้า...อย่าเฉไปมา”
เขาร้องบอกเสียงแหบแห้งเพราะกำลังอาบเหงื่อต่างน้ำ
“ลมมันแรงค่ะ จะเอาไม่อยู่แล้ว”
ฟ้าร้องบอกเสียงหวาน มือหนึ่งเกาะเบาะจักรยาน(จะกอดเอวเด็กหนุ่มก็ยังเขินมากอยู่) มือหนึ่งดึงรั้งร่มสุดกำลัง
ถนนวัยรุ่นยาวไกลสายนั้นดีว่าไม่มีรถวิ่งผ่านมาเยอะ ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดในถนนตามเมืองใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งป่านนี้สองหนุ่มสาวคงเปลี่ยนมิติไปปั่นจักรยานสีด่างในอีกหนึ่งภพเป็นแน่แท้
คนน่าสงสารมากที่สุดคงเป็นซันเพราะไหนจะแบกน้ำหนักของฟ้า ไหนจะเอาชนะแรงลมต้านร่มสวย ช่างเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงศักดิ์ศรีเกียรติยศลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
ในที่สุดโซ่จักรยานขาดผึงปล่อยวางจากการยึดติด เพราะรับแรงต้านทานไม่ไหว
ซันเองก็แปลกใจที่จู่ๆการปั่นจักรยานเคยฝืดอืดอาดกลับเปลี่ยนมาเป็นลื่นไหลราวไร้แรงเสียดทาน ด้วยความพยายามเอาใจสาว จึงไม่ทันคิดหาเหตุผลรีบตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานอย่างรวดเร็วสุดชีวิตเร็วจี๋ราวจักรผัน ถ้าใครมองดูท่าทางของเขาตอนนี้จะพบว่าเหมือนกับนักปั่นจักรยานทีมชาติผู้กำลังปั่นสุดฝีเท้าเข้าโค้งมุ่งหน้าสู่หลักชัย แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วจะเห็นว่ารถวิ่งช้าลงทุกที
ฟ้าเองก็ไม่ทันสังเกตถึงโซ่จักรยานที่ยอมแพ้หลุดร่วงลงกองยาวเหยียดบนพื้นถนน นับวันแต่จะไกลห่างออกไปทุกที ทิ้งให้โซ่ชะตาขาดอ้างว้างเดียวดายกลางเปลวแดดแผดเผา
เด็กสาวมองแผ่นหลังชุ่มเหงื่ออย่างชื่นชม สายลมหวีดหวิวผ่านข้างหูราวกับว่าจักรยานกำลังโจนทะยานไปตามถนนวัยรุ่นราวลมเพชรหึง จนฟ้าเกรงว่าจะเกิดการเฉี่ยวชน
ฟ้าน้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ
“ช้าๆ ก็ได้ค่ะไม่ต้องขับเร็วถึงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ “
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ซันกระหืดกระหอบบอก สายตาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าพร่าไหว “เพื่อฟ้าผมยอมตายกลายเป็นผีสิงสู่จักรยานให้เป็นตำนานรักอนุสาวรีย์จักรยานสีด่าง ให้คนรุ่นต่อไปบอกกล่าวเล่าขานร่ำลือถึงตำนานรักอมตะของหนุ่มคนหนึ่งผู้อุทิศตนปั่นจักรยานเพื่อคนรักจนตายคาอานจักรยาน ประกาศให้โลกรับรู้ถึงอภิมหาความรัก....และ...”
“พอแล้วค่ะ รำคาญ”
“เย้”
ซันร้อง้วยความเคยตัวอันติดนิสัยมาจากตอนที่แล้ว
“เอ๊ะ.พี่ซันคะ...นั่น...”
พลันฟ้าก็ร้องเสียงดังชี้มือให้ซันดูสิ่งประหลาด
บนทางเท้า เด็กชายอายุประมาณ 4 ขวบคนหนึ่งกำลังปั่นสามล้อเด็กเล่นคันเล็กๆ วิ่งแซงรถจักรยานของสองหนุ่มสาวไปอย่างเหลือเชื่อ พลางหันมามองฟ้าและซันเหมือนจะถามว่าพี่สองคนทำเป็นบ้าอะไรกันอยู่ ซันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าเด็กเล็กตัวแค่นี้ปั่นสามล้อของเล่นแซงรถตนไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ปั่นเต็มที่สุดกำลังประมาณว่าความเร็วตอนนี้ไม่น่าต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเด็ดขาด
เหตุการณ์ยังไม่พอแค่นั้น เมื่อทั้งสองเห็นชายชราขาหักคนหนึ่งกำลังเขยกไม้เท้าแซงผ่านหน้าไปอีกอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนจะแปลกใจจนตายทั้งเป็น ฟ้าเป็นคนมองดูพื้นแล้วร้องสุดเสียง
“รถจะล้มแล้ว....ระวัง”
ทำไมจะไม่ล้มล่ะ ในเมื่อรถจักรยานมันวิ่งมาตามแรงเฉื่อยช้าลงเป็นลำดับจนแทบจะหยุดนิ่ง คนข้างทางหลายคนเดินผ่านไปมามองทั้งคู่อย่างงงงันเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาปั่นจักรยานไร้โซ่เร็วจี๋สุดชีวิต เด็กสาวอีกคนนั่งทำหน้าซึ้งแสนหวานอยู่ด้านหลังบนรถที่เกือบจะไม่มีความเร็วอยู่แล้ว
ภาพแบบนี้มีให้ดูง่ายที่ไหนกัน
ในที่สุดรถก็ล้มลงจนได้
โครม...!
“ว้าย......”
ดีว่ามันเป็นการล้มธรรมดา ไม่ใช่ล้มตอนมีความเร็วสูงจึงไม่เป็นอันตรายมากนัก
ฟ้านั่งกางร่ม มองดูซันผู้กำลังยักแย่ยักยันประคองรถขึ้นมาอย่างซังกะตายปลงในชีวิต
“อ้าว....ฟ้า ไม่เป็นไรมากเหรอครับ”
เด็กหนุ่มถาม ยังงงไม่หาย สงสัยว่าทำไมตัวเองปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วสูง ไม่ได้ชนไม่ได้เฉี่ยวแล้วล้มได้อย่างไร แถมยังไม่บาดเจ็บเท่าที่ควรอีก ไม่เข้าใจเลย
“แล้วอยากให้ฟ้าคอหักตายเลยหรือคะ” ฟ้าร้องไห้ น้ำตาฟ้า ฟ้าบนลมร้อน ฟ้าล่างหลั่งน้ำตา โลกนี้มีหลายด้านหลายมุม
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมถามด้วยความเป็นห่วงใจจริงนะครับ”
ซันร้องอย่างประหลาดใจปนตกใจเมื่อเห็นท่าทางรันทดหดหู่และหยาดน้ำตาฟ้า ใจหนึ่งอยากไปปลอบขวัญแต่ใจหนึ่งยังห่วงจักรยานมากกว่าเพราะคนล้มลุกเองได้ แต่จักรยานล้มลุกเองไม่ได้ ดังนั้นรถต้องมาก่อนคนเสมอ
ในที่สุดหลังจากพยายามปัดขาตั้งจักรยานให้ตั้งลำได้อีกครั้ง ซันเพิ่งพบว่ารถของเขาสิ้นเยื่อขาดใยไร้โซ่เสียแล้ว
เขาเข้าใจแจ่มแจ้งหมดสิ้นทุกประการ
แทบไม่มีใครบรรยายความรู้สึกของเขาได้ วงหน้าคมเข้มขาวซีด ริมฝีปากบางเม้มแน่นสะกดกลั้นความเขินอุทธัจปะทุประดังปานลาวาระเบิด(ขนาดเขินยังหล่อเพื่อรักษามาตรฐานของพระเอก) ไม่เจ็บ แต่เขินอายจนไม่อยากสบตาพลโลก
ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการทำเอ๋อเปิ่นเฉิ่มต่อหน้านางอันเป็นที่รัก มันยิ่งกว่าแมวถูกตัดหนวดร้อยเท่า
“น้องฟ้า”
ในที่สุดเขาหันไปทางเด็กสาวผู้นั่งกางร่มจ้องมองมาด้วยสายตาแป๋วแจ๋ว สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ฟ้ากระเถิบถอยกรูดมองอย่างหวาดๆ
“ถึงจักรยานของผมจะไร้โซ่ แต่ผมก็จะพาน้องฟ้าไปให้ถึงร้านอาหารให้ได้”
เขายืดอกสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ ก้าวตรงไปยังจักรยาน สองมือจับแฮนด์จักรยานคู่ชีพแนบแน่นหันมาบอกด้วยเสียงหนักแน่นสายตามุ่งมั่น
“ขอเชิญน้องฟ้านั่งรถ ฟ้านั่งผมจะเป็นคนจูงไปให้ถึงร้านอาหาร”
นายคนนี้จะเอาไงกันแน่ เมื่อครู่ก็ทำเปิ่นเอ๋อมาทีแล้ว คราวนี้จะให้นั่งซ้อนท้ายแล้วตัวเองเป็นคนจูง มันจะหวานมากเกินกว่าเหตุจนน่าสงสัย
จะเป็นได้ไหมว่านายซันจะทุจริตต่อคุณความดี ขณะกำลังตั้งหน้าใช้สองมือจูงจักรยาน เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะแอบหยิบขวดยากล่อมประสาทออกมาจากกระเป๋าหลัง แอบยื่นส่งมานรกมาให้แบบเธอไม่รู้ตัวจนเผลอหยิบกินเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ และที่น่ากลัวจนไม่อยากคิดคือ ถ้าเขาจูงจักรยานที่มีเธอนั่งเบาะหลังไปเลี้ยวเข้าโรงแรม เธอจะทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นออกมาได้ในสถานการณ์คับขัน
ส่วนสายตาของซันมุ่งมั่นจริงจังเหลือเกิน เป็นนัยน์ตาของนักรบห้าวหาญฮึกเหิม ผู้กำลังกระโจนลงในสมรภูมิเลือดปกป้องมาตุภูมิและนางในดวงใจให้พ้นจากภัยพิบัติ
“เห็นแก่ผมสักครั้งเถิดนะครับ ให้ผมได้แสดงถึงความจริงใจจริงจังมุ่งมั่นของผมเพื่อเป็นการพิสูจน์ถึง.....”
ฟ้ารู้แกวว่ามีหวังร่ายยาวแน่ รีบตัดบททันที
“พอแล้วค่ะ นั่งก็ได้ รำคาญ”
“เย้...”
.........
รัก(ไม่)สวย......ของฟ้าใส....(บทที่ 3)
http://ppantip.com/topic/34632784
=====================
รัก(ไม่)สวย......ของฟ้าใส
บทที่ 3
====================
: Psycho G.
ฟ้าจูงตัวเองเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นพี่ไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ความใหญ่โตโอ่อ่าของภัตตาคารเบื้องหน้ายืนทะมึนข่มจนแทบทำให้ฟ้าตัวเล็กลงและหายวับไปกับตา ณ ตรงนั้น ประตูทางเข้าของภัตตาคารดูราวเป็นปากยักษ์ร้ายหิวจัดอ้ากว้างดูดกลืนเงินของผู้คนกระเป๋าหนักออกไปอย่างตะกรุมตะกราม แล้วคายผู้คนออกมาในสภาพกระเป๋าเงินเบาหวิวหมดความสำคัญ กระจกกรองแสงบานประตูทางเข้าติดอักษรสีทองเป็นประกายแวววาวเชิญชวนกระชากลูกค้าให้เสียหลักถลาเข้าไปในร้านอย่างไม่คิดชีวิต สู่บรรยากาศเย็นฉ่ำสลัวรางวับแวมโรแมนติก อาหารบนจานขอบทองราคาแพงแสนวิเศษ พนักงานต้อนรับแต่งตัวสวยงามหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส โน้มน้าวจิตใจให้มาแล้วอยากมาอีก และอีก...และอีก
กลางโคมไฟสลัวและเปลวเทียนสั่นไหวเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ มือนิ่มถูกเกาะกุมจากอุ้งมือแข็งแรง เจ้าของใบหน้าคมเข้มหล่อแรเงาจากแสงฉายนุ่มนวล ก่อนถูกกระซิบแผ่วข้างหูด้วยประโยคสำคัญที่สุด
“ฟ้า....ผมรักน้องฟ้า”
แสนหวานปานน้ำผึ้งเดือนสิบสอง อย่างนี้มีหรือว่าหัวใจจะไม่เต้นเป็นส่ำ
แต่ฟ้าเป็นคนรักนวลสงวนมือ มาจับไม้จับมือรุ่มร่ามมันเกินไปแล้ว อย่างนี้จะกลับไปสู้หน้าแม่ที่บ้านได้อย่างไร เท่านั้นเองฟ้ากระชากมือออกจากการเกาะกุมหันไปคว้าแจกันรวยดอกกุหลาบเสียบแซม ฟาดเปรี้ยงเต็มหัวของนายซันจนหน้าคว่ำลงไปในชามน้ำซุปหน่อไม้
ฟ้าหูตาลายเสียแล้ว กับการถูกจับมืออันจะเป็นรอยราคีไปชั่วชีวิตล้างอย่างไรก็ไม่สะอาดออกจากใจ คนเราต้องแต่งงานกันก่อนมิใช่หรือถึงจะจับไม้จับมือกันได้
“กรี๊ด...อ๊าก!” เสียงเด็กสาวกรีดร้องสุดเสียงระบายความเจ็บปวดขมขื่นที่กำลังทะลักทลายเข้ามาในหัวใจราวคลื่นยักษ์พิโรธ
เสียงร้องของฟ้ากระชากตัวเองออกมาจากฝันร้ายสุดสยอง จากฝันหวานกลางวันที่รบเร้าคุกคาม ความรู้สึกอ่อนไหวใจร้าวรานกระเจิดกระเจิงกระจัดกระจาย
ซันหันมามองเจ้าของเสียงร้องระทึกอย่างแปลกใจ ที่เห็นจู่ๆ ฟ้าก็ร้องสุดเสียงทั้งที่กำลังนั่งซ้อนท้ายอยู่ริมถนนอย่างสุขสบาย
“เป็นอะไรไปครับ...”
“เปล่าค่ะ แกล้งร้องซ้อมคอเฉยๆค่ะ” ฟ้ารีบอธิบาย ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายเขินเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าฝันกลางวันอย่างเป็นจริงเป็นจัง หนุ่มซันมองด้วยความรักและความไม่แน่ใจ จะหาผู้หญิงแบบนี้ได้ที่ไหน อยู่ดีๆ ก็ร้องกรี๊ด...อ๊าก! ขึ้นมาเฉย ๆ แต่นั่นล่ะ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของเด็กสาวที่สะท้อนความงามออกมาจากความจริงใจ
กระดิ่งจักรยานสีด่างขับขานเสียงกังวานใสกรุ๋งกริ๋งราวระฆังสั่นไหวบนชายคาสวรรค์ ฟ้าเกือบเผลอตัวอิงแอบแนบแผ่นหลังแคบ แต่ไม่มีทางเสียล่ะจะทำแบบนั้น...ไม่มีทางว่าคนอย่างฟ้าจะไปอิงแอบแนบชิดเพียงเพราะความหล่อดลบันดาล แสงแดดยามใกล้เที่ยงเริ่มใจร้ายมากขึ้นอย่างไม่มีมารยาท ฟ้าจึงกางร่มที่ถือมาด้วยเพื่อปกป้องตัวเองจากการลวนลามของแสงแดด กางกั้นด้วยร่มสีสันสดใส หัวใจของฟ้าเต้นเป็นจังหวะดัง แมนสัน…แมนซัน.....แมนสัน....แมนซัน...สลับไปมาจนใจสับสนระส่ำระสาย บางครั้งรุนแรงบ้าคลั่งบางครั้งอ่อนล้าโรยแรงแผ่วโหย
ลมกระโชกรุนแรง ร่มในมือกางต้านลมดึงรั้งของฟ้ารั้งไปด้านข้าง
“ว้าย!”
ฟ้าอุทานเสียงหลง ร่างเอียงวูบวาบเอียงซ้ายเอียงขวาจากแรงกระชากร่มของลมแรง มือหนึ่งกำด้ามร่มแน่นมือหนึ่งเกาะเบาะจักรยานไม่คิดชีวิต เริ่มจำได้แล้วว่าแม่เคยบอก “อยู่บนรถอย่ากางร่ม”
รถจักรยานเป๋ไปมาเหมือนเมาเหล้า เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อน่องและแขนปูดโปนเส้นเอ็นราวมือกะลาสีควบคุมพังงาผู้มีความพยายามประคับประคองนาวาชีวิตให้พ้นคลื่นลมบ้าคลั่งโหมกระหน่ำผ่านพ้นไปให้ถึงฝั่ง หยาดเหงื่อหยดไหลเข้าตาพร่าพรายเปลวแดดข้างหน้าระยับยิบ
“นั่งนิ่งๆ สิครับฟ้า...อย่าเฉไปมา”
เขาร้องบอกเสียงแหบแห้งเพราะกำลังอาบเหงื่อต่างน้ำ
“ลมมันแรงค่ะ จะเอาไม่อยู่แล้ว”
ฟ้าร้องบอกเสียงหวาน มือหนึ่งเกาะเบาะจักรยาน(จะกอดเอวเด็กหนุ่มก็ยังเขินมากอยู่) มือหนึ่งดึงรั้งร่มสุดกำลัง
ถนนวัยรุ่นยาวไกลสายนั้นดีว่าไม่มีรถวิ่งผ่านมาเยอะ ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดในถนนตามเมืองใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งป่านนี้สองหนุ่มสาวคงเปลี่ยนมิติไปปั่นจักรยานสีด่างในอีกหนึ่งภพเป็นแน่แท้
คนน่าสงสารมากที่สุดคงเป็นซันเพราะไหนจะแบกน้ำหนักของฟ้า ไหนจะเอาชนะแรงลมต้านร่มสวย ช่างเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงศักดิ์ศรีเกียรติยศลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
ในที่สุดโซ่จักรยานขาดผึงปล่อยวางจากการยึดติด เพราะรับแรงต้านทานไม่ไหว
ซันเองก็แปลกใจที่จู่ๆการปั่นจักรยานเคยฝืดอืดอาดกลับเปลี่ยนมาเป็นลื่นไหลราวไร้แรงเสียดทาน ด้วยความพยายามเอาใจสาว จึงไม่ทันคิดหาเหตุผลรีบตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานอย่างรวดเร็วสุดชีวิตเร็วจี๋ราวจักรผัน ถ้าใครมองดูท่าทางของเขาตอนนี้จะพบว่าเหมือนกับนักปั่นจักรยานทีมชาติผู้กำลังปั่นสุดฝีเท้าเข้าโค้งมุ่งหน้าสู่หลักชัย แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วจะเห็นว่ารถวิ่งช้าลงทุกที
ฟ้าเองก็ไม่ทันสังเกตถึงโซ่จักรยานที่ยอมแพ้หลุดร่วงลงกองยาวเหยียดบนพื้นถนน นับวันแต่จะไกลห่างออกไปทุกที ทิ้งให้โซ่ชะตาขาดอ้างว้างเดียวดายกลางเปลวแดดแผดเผา
เด็กสาวมองแผ่นหลังชุ่มเหงื่ออย่างชื่นชม สายลมหวีดหวิวผ่านข้างหูราวกับว่าจักรยานกำลังโจนทะยานไปตามถนนวัยรุ่นราวลมเพชรหึง จนฟ้าเกรงว่าจะเกิดการเฉี่ยวชน
ฟ้าน้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ
“ช้าๆ ก็ได้ค่ะไม่ต้องขับเร็วถึงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ “
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ซันกระหืดกระหอบบอก สายตาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าพร่าไหว “เพื่อฟ้าผมยอมตายกลายเป็นผีสิงสู่จักรยานให้เป็นตำนานรักอนุสาวรีย์จักรยานสีด่าง ให้คนรุ่นต่อไปบอกกล่าวเล่าขานร่ำลือถึงตำนานรักอมตะของหนุ่มคนหนึ่งผู้อุทิศตนปั่นจักรยานเพื่อคนรักจนตายคาอานจักรยาน ประกาศให้โลกรับรู้ถึงอภิมหาความรัก....และ...”
“พอแล้วค่ะ รำคาญ”
“เย้”
ซันร้อง้วยความเคยตัวอันติดนิสัยมาจากตอนที่แล้ว
“เอ๊ะ.พี่ซันคะ...นั่น...”
พลันฟ้าก็ร้องเสียงดังชี้มือให้ซันดูสิ่งประหลาด
บนทางเท้า เด็กชายอายุประมาณ 4 ขวบคนหนึ่งกำลังปั่นสามล้อเด็กเล่นคันเล็กๆ วิ่งแซงรถจักรยานของสองหนุ่มสาวไปอย่างเหลือเชื่อ พลางหันมามองฟ้าและซันเหมือนจะถามว่าพี่สองคนทำเป็นบ้าอะไรกันอยู่ ซันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าเด็กเล็กตัวแค่นี้ปั่นสามล้อของเล่นแซงรถตนไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ปั่นเต็มที่สุดกำลังประมาณว่าความเร็วตอนนี้ไม่น่าต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเด็ดขาด
เหตุการณ์ยังไม่พอแค่นั้น เมื่อทั้งสองเห็นชายชราขาหักคนหนึ่งกำลังเขยกไม้เท้าแซงผ่านหน้าไปอีกอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนจะแปลกใจจนตายทั้งเป็น ฟ้าเป็นคนมองดูพื้นแล้วร้องสุดเสียง
“รถจะล้มแล้ว....ระวัง”
ทำไมจะไม่ล้มล่ะ ในเมื่อรถจักรยานมันวิ่งมาตามแรงเฉื่อยช้าลงเป็นลำดับจนแทบจะหยุดนิ่ง คนข้างทางหลายคนเดินผ่านไปมามองทั้งคู่อย่างงงงันเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาปั่นจักรยานไร้โซ่เร็วจี๋สุดชีวิต เด็กสาวอีกคนนั่งทำหน้าซึ้งแสนหวานอยู่ด้านหลังบนรถที่เกือบจะไม่มีความเร็วอยู่แล้ว
ภาพแบบนี้มีให้ดูง่ายที่ไหนกัน
ในที่สุดรถก็ล้มลงจนได้
โครม...!
“ว้าย......”
ดีว่ามันเป็นการล้มธรรมดา ไม่ใช่ล้มตอนมีความเร็วสูงจึงไม่เป็นอันตรายมากนัก
ฟ้านั่งกางร่ม มองดูซันผู้กำลังยักแย่ยักยันประคองรถขึ้นมาอย่างซังกะตายปลงในชีวิต
“อ้าว....ฟ้า ไม่เป็นไรมากเหรอครับ”
เด็กหนุ่มถาม ยังงงไม่หาย สงสัยว่าทำไมตัวเองปั่นจักรยานมาด้วยความเร็วสูง ไม่ได้ชนไม่ได้เฉี่ยวแล้วล้มได้อย่างไร แถมยังไม่บาดเจ็บเท่าที่ควรอีก ไม่เข้าใจเลย
“แล้วอยากให้ฟ้าคอหักตายเลยหรือคะ” ฟ้าร้องไห้ น้ำตาฟ้า ฟ้าบนลมร้อน ฟ้าล่างหลั่งน้ำตา โลกนี้มีหลายด้านหลายมุม
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมถามด้วยความเป็นห่วงใจจริงนะครับ”
ซันร้องอย่างประหลาดใจปนตกใจเมื่อเห็นท่าทางรันทดหดหู่และหยาดน้ำตาฟ้า ใจหนึ่งอยากไปปลอบขวัญแต่ใจหนึ่งยังห่วงจักรยานมากกว่าเพราะคนล้มลุกเองได้ แต่จักรยานล้มลุกเองไม่ได้ ดังนั้นรถต้องมาก่อนคนเสมอ
ในที่สุดหลังจากพยายามปัดขาตั้งจักรยานให้ตั้งลำได้อีกครั้ง ซันเพิ่งพบว่ารถของเขาสิ้นเยื่อขาดใยไร้โซ่เสียแล้ว
เขาเข้าใจแจ่มแจ้งหมดสิ้นทุกประการ
แทบไม่มีใครบรรยายความรู้สึกของเขาได้ วงหน้าคมเข้มขาวซีด ริมฝีปากบางเม้มแน่นสะกดกลั้นความเขินอุทธัจปะทุประดังปานลาวาระเบิด(ขนาดเขินยังหล่อเพื่อรักษามาตรฐานของพระเอก) ไม่เจ็บ แต่เขินอายจนไม่อยากสบตาพลโลก
ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการทำเอ๋อเปิ่นเฉิ่มต่อหน้านางอันเป็นที่รัก มันยิ่งกว่าแมวถูกตัดหนวดร้อยเท่า
“น้องฟ้า”
ในที่สุดเขาหันไปทางเด็กสาวผู้นั่งกางร่มจ้องมองมาด้วยสายตาแป๋วแจ๋ว สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ฟ้ากระเถิบถอยกรูดมองอย่างหวาดๆ
“ถึงจักรยานของผมจะไร้โซ่ แต่ผมก็จะพาน้องฟ้าไปให้ถึงร้านอาหารให้ได้”
เขายืดอกสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ ก้าวตรงไปยังจักรยาน สองมือจับแฮนด์จักรยานคู่ชีพแนบแน่นหันมาบอกด้วยเสียงหนักแน่นสายตามุ่งมั่น
“ขอเชิญน้องฟ้านั่งรถ ฟ้านั่งผมจะเป็นคนจูงไปให้ถึงร้านอาหาร”
นายคนนี้จะเอาไงกันแน่ เมื่อครู่ก็ทำเปิ่นเอ๋อมาทีแล้ว คราวนี้จะให้นั่งซ้อนท้ายแล้วตัวเองเป็นคนจูง มันจะหวานมากเกินกว่าเหตุจนน่าสงสัย
จะเป็นได้ไหมว่านายซันจะทุจริตต่อคุณความดี ขณะกำลังตั้งหน้าใช้สองมือจูงจักรยาน เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะแอบหยิบขวดยากล่อมประสาทออกมาจากกระเป๋าหลัง แอบยื่นส่งมานรกมาให้แบบเธอไม่รู้ตัวจนเผลอหยิบกินเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ และที่น่ากลัวจนไม่อยากคิดคือ ถ้าเขาจูงจักรยานที่มีเธอนั่งเบาะหลังไปเลี้ยวเข้าโรงแรม เธอจะทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นออกมาได้ในสถานการณ์คับขัน
ส่วนสายตาของซันมุ่งมั่นจริงจังเหลือเกิน เป็นนัยน์ตาของนักรบห้าวหาญฮึกเหิม ผู้กำลังกระโจนลงในสมรภูมิเลือดปกป้องมาตุภูมิและนางในดวงใจให้พ้นจากภัยพิบัติ
“เห็นแก่ผมสักครั้งเถิดนะครับ ให้ผมได้แสดงถึงความจริงใจจริงจังมุ่งมั่นของผมเพื่อเป็นการพิสูจน์ถึง.....”
ฟ้ารู้แกวว่ามีหวังร่ายยาวแน่ รีบตัดบททันที
“พอแล้วค่ะ นั่งก็ได้ รำคาญ”
“เย้...”
.........