ตอน ที่พักสำคัญไฉน!! เนื่องจากเราเป็นคนหนึ่งที่เวลาจะบุ๊คกิ้งที่พัก มักจะมองหาโรงแรมที่สวยและมีสไตล์เป็นของตัวเองในแต่ละที่ทุกครั้งที่ไปเที่ยว ครั้งนี้ได้ไปตะลุยญี่ปุ่น สัมผัสอากาศเย็น ลากกระเป๋าเที่ยวขึ้นรภไฟไปมาอยู่ 15 วัน เลยอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์การไปพักผ่อนครั้งนี้ให้ฟัง โดยจุดเด่นนั้นอยู่ที่พระเอกของเราอย่าง 9h nine hours Kyoto ที่เรารู้สึกถูกใจเป็นอย่างมาก เผื่อว่าใครสนใจ ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่า!!
ทำไมต้อง 'เกียวโต' เมืองแห่งการเสพย์ศิลป์และกลิ่นอายวัฒนธรรม
หลังจากวางแพลนว่าจะเดินทางไปตะลอนทัวร์ญี่ปุ่นอยู่ครึ่งเดือน เมืองเกียวโต (Kyoto) กรุงเก่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัยที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลกโดยนิตยสารทราเวล แอนด์ เลเชอร์ ประจำปี 2015 คือจุดหมายหลักที่เราจะลงหลักปักฐานเสพย์ศิลปะและซึมซับกลิ่นอายวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ โดยไม่พึ่งไกด์ทัวร์ มีเพียงเส้นทางรถไฟและอินเทอร์เน็ตที่เราใช้เป็นตัวช่วยในการไปยังจุดหมายที่วางไว้ เพราะในเรื่องความสะดวกสบายของเทคโนโลยีที่ทันสมัย อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นอย่างเกียวโตก็มีพร้อมไม่แพ้เมืองใหญ่ๆอย่างโตเกียว (Tokyo) หรือ โอซาก้า (OSAKA) เช่นกัน
และเนื่องจากช่วงที่เราจะเดินทางไปนั้นถือเป็นช่วงช่วงไฮซีซั่นของประเทศญี่ปุ่นที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนจากสีเขียวสดใสในฤดูร้อนมาเป็นสีเหลืองแดงของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้โรงแรมส่วนใหญ่ถูกจองเต็มเกือบทุกที่ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่เราจะเดินทางไปถึง จึงเป็นเรื่องยากในการจองที่พักที่รู้สึกถูกใจตามที่ได้เลือกดูไว้ก่อนหน้านี้ บวกกับ Budget ที่มีจำกัด เลยทำให้ตัวเลือกของแต่ละสถานที่ถูกตัดออกไปเรื่อยๆ หัวข้อหลักในการค้นหาที่พักของเราจึงหนีไม่พ้น ‘โรงแรมขนาดเล็กทั่วไปที่เหมาะสมกับเงินในกระเป๋า’ และ 9h nine hours kyoto capsule hotel โรงแรมแนวไซไฟใจกลางเกียวโตจึงเป็นโรงแรมที่เข้าตาเราอย่างมาก
อโกด้ากับราคาที่ต้องตัดสินใจ
จากการค้นหาในหลายเว็บไซต์ สุดท้ายแล้วเราก็ได้มาสะดุดตาเข้ากับโรงแรมขนาดเล็กอย่าง 9h nine hours kyoto capsule hotel ผ่านทางเว็บไซต์อโกด้า (Agoda.com) ด้วยภาพลักษณ์มูทแอนด์โทนที่ดูแปลกตา และการออกแบบสุดเท่ห์จนชนะได้รับรางวัลงานออกแบบยอดเยี่ยมมาครอง เลยทำให้เรารู้สึกสนใจกับที่นี่เป็นอย่างมาก แต่ด้วยราคาที่ตกคืนละประมาณ 2,300 บาท เรียกได้ว่าค่อนข้างสูงกว่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบจากเกสเฮ้าส์หรือ Capsule hotel ทั่วไป ก็ทำให้เกิดอาการสองจิตสองใจขึ้นมา เพราะการพักในแต่ละที่นั้น เราได้ใช้เวลาอยู่กับมันน้อยมาก บางวันอาจจะเที่ยวจนดึก ตื่นมาก็ต้องเชคเอาท์ออกไม่เกินสิบโมง จึงอาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไป แต่ด้วยความชื่นชอบงานดีไซน์และภาพรวมของที่นี่เป็นการส่วนตัว การได้นอนในแคปซูลที่จะทำให้ได้ความรู้สึกคล้ายกับหลุดไปอยู่ในหนังอวกาศอย่าง Startrek หรือ The Martian ที่เป็นภาพยนตร์แนวอนาคตและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของโลก 9h nine hours จึงเปรียบเสมือนอะไรที่แปลกใหม่ ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ยากกับการจองให้เป็นหนึ่งในที่พักสำหรับทริปเกียวโตในครั้งนี้
15 นาที 300 บาท
โดยเมื่อลงจากสนามบิน เราเดินทางต่อด้วยรถไฟในทันที การเดินทางจากสถานีรถไฟหลักของเกียวโตในวันที่เดินทางมาถึง ค่อนข้างสะดวกมากๆ ที่พักอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น ในเรื่องความซับซ้อนของเส้นทางรถไฟต่างๆก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่ด้วยความที่เราเดินทางไปถึงค่อนข้างเย็น และแบกกระเป๋าใบโตกันมาหลายใบ พละกำลังที่เคยมีก็แพ้ให้กับความเหนื่อยล้าและความขี้เกียจ เลยตัดสินใจลองเสี่ยงเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังที่พัก เพราะคิดว่าจากที่ดูในกูเกิลแมพ ก็ดูไม่ไกล ค่ารถเลยไม่น่าจะแพง จากสถานีรถไฟเกียวโตถึงที่พักใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เสียเงินค่าเดินทางประมาณ 1,000 เยน หรือ 300 บาท รถก็มาจอดส่งถึงหน้าโรงแรม
อาคารสีเทาอ่อนประมาณเก้าชั้นแทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาคารสูงใจกลางเมืองเกียวโต ด้านในตัวอาคารป็นสีขาวปลอด บวกกับบรรยากาศตอนเย็นๆแบบนี้ทำให้แสงสีขาวดูโดดเด่นและสะอาดตาเป็นอย่างมาก มีพนักงานยืนที่เคาท์เตอร์คอยต้อนรับอยู่ไม่กี่คน
สองข้างทางด้านนอกมีทั้งร้านสะดวกซื้อ Family mart และ 7 eleven ให้เลือกซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเดินทะลุซอยออกไปใช้เวลาประมาณ 2 นาที ก็จะถึงถนนเส้นหลักที่มีของให้เลือกซื้ออย่างมากมาย สารภาพเลยว่าในตอนจองโรงแรมนั้นไม่ได้ห่วงเรื่องความสะดวกสบายรอบที่พักสักเท่าไหร่ แต่พอมาหันซ้ายก็เจอร้านขายอาหาร หันขวาก็ใกล้โซนช้อปปิ้งอย่างนี้แล้ว อดที่จะรู้สึกไม่ได้เลยว่า ‘เราเลือกไม่ผิดเลยจริงๆ’
ก่อนจากกัน เรายืนโบกมือลาลุงคนขับแท็กซี่ที่มารยาทดีที่ช่วยเราขนของเข้ามาในโรงแรมอยู่นานสองนาน กล่าวขอบคุณเป็นภาษาท้องถิ่น ‘อาริกาโตะโกไซมัส’ กันไปมาอยู่หลายรอบมาก ก่อนที่จะได้เวลาลากกระเป๋าขึ้นยาน 9h nine hours เพื่อเตรียมเข้าสู่โลกอนาคตใบใหม่ตามจินตนาการของเรา
Check in ที่แสนง่ายกับกระดาษ 1 ใบ
ก่อนเข้าไปด้านในเพื่อเช็คอิน พนักงานต้อนรับบอกให้เราถอดรองเท้าวางไว้ด้านนอก ก่อนจะตรวจดูรายชื่อของเราที่ได้บุ๊คเอาไว้ เพื่อยืนยันสิทธิ ทุกอย่างเป็นไปโดยเรียบร้อยและไม่ยุ่งยาก เมื่อเราโอนเงินค่าที่พักผ่านทางเว็บอโกด้า (Agoda.com) ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้น เพียงแค่ยื่นเอกสารแสดงหลักฐานที่เราโอนเงินก็เป็นอันเรียบร้อย ส่วนในเรื่องการสื่อสาร พนักงานที่นี่สามารถพูดภาษาอังกฤษสื่อสารได้เป็นอย่างดีทุกคน เรื่องการติดต่อพูดคุยจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา
9h nine hours โลกอนาคตที่เราสัมผัสได้
หลักจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะเริ่มจากการแจกแถบห้อยแขนที่ให้อารมณ์เหมือนหนังไซไฟสักเรื่องที่แต่ละคนจะมีรหัสเฉพาะติดอยู่ที่ข้อมือ
รหัสไวไฟสำหรับลูกค้าแต่ละท่านที่เข้าพัก กุญแจสำหรับตู้ล็อกเกอร์รองเท้าที่วางอยู่ชั้นล่าง ไว้สำหรับเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ใช้เฉพาะในพื้นที่ของโรงแรม และกุญแจสำหรับตู้ล็อกเกอร์เก็บของใช้ส่วนตัวด้านบน
ซึ่งการนอนโรงแรมแคปซูลเห็นจะเป็นครั้งแรกที่เราได้มาสัมผัส เพราะที่ผ่านมานั้น ก็เพียงแค่เคยเห็นผ่านรูปถ่ายและฟังคนบอกปากต่อปากมาก็เท่านั้น โอกาสที่จะได้มาสัมผัสจริงๆนั้นจึงไม่เกิดขึ้นสักที ด้วยความกังวลเรื่องขนาดของห้องนอนที่กลัวว่าจะแคบไป ทำให้อึดอัดและหายใจไม่สะดวก ความกังวลเกี่ยวกับการนอนโรงแรมแคปซูลจึงยังไม่หายไปจากหัวสมองเท่าไหร่นัก แต่ด้วยรางวัลการันตีด้านการออกแบบยอดเยี่ยม และถูกกระจายสาขาไปยังเมืองนาริตะ (Narita) และเซนได (Sendai) แล้วนั้น จึงทำให้เราเชื่อใจที่จะลองมาเปิดประสบการณ์ใหม่นอนในแคปซูลแบบนี้
ก่อนจะมาทำการอธิบายกฎข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติของการพัก โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่าง ห้ามสูบบุหรี่ ภายในบริเวณโรงแรม เและเสริมว่าลิฟท์จะมีสองตัว ตัวซ้ายจะเป็นโซนของผู้หญิง ส่วนด้านขวาเป็นโซนของผู้ชาย แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนด้วยสัญลักษณ์ด้านหน้า
ลิฟท์ฝั่งชายจะนำไปสู่ชั้นห้องพักและห้องน้ำของผู้ชายเท่านั้น เช่นเดียวกันกับลิฟท์ของฝั่งผู้หญิง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยไปให้กับลูกค้าที่มาพัก เมื่อเดินออกจากลิฟท์จะเป็นส่วนของห้องสุขาและโซนห้องนอน
หลังจากอธิบายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะก้าวข้ามสู่โลกอนาคตกันเสียที เจ้าหน้าที่เดินนำเราเข้าไปในบริเวณด้านใน ภาพพื้นห้องสีขาวระหว่างทางเดินเข้าสู่ลิฟท์ที่เห็นในรูปจากเว็บไซต์ โดยส่วนตัวที่รู้สึกได้คือเริ่มจะไม่ขาวสักเท่าไหร่แล้ว อาจเพราะสีขาวป็นสีที่ดูแลค่อนข้างยาก และภาพที่ทำการถ่ายโปรโมตไว้น่าจะเป็นช่วงที่โรงแรมสร้างเสร็จใหม่ๆ โดยภาพที่เห็นผ่านทางเว็บไซต์นั้น รอบข้างจะว่างเปล่าไม่มีคนพักอาศัย ไม่มีสิ่งของหรือกระเป๋าเดินทางมาวางให้ดูเกะกะสายตา เพราะในความเป็นจริง ภาพที่เห็นระหว่างเดินไปลิฟท์นั้น จะเต็มไปด้วยกระเป๋ามากมายหลายสีบนพื้นทางเดินสีขาว อาจจะดูรกสายตาไปบ้างเพราะที่เก็บเป็นแบบเปิด เราจึงเห็นกระเป๋าถูกวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด หากว่าพื้นด้านล่างเต็ม กระเป๋าเดินทางเหล่านั้นก็จะถูกยกขึ้นไปเก็บไว้ที่เคาท์เตอร์ชั้นบน
เพราะลูกค้าทุกคนที่เข้าพัก ไม่ว่ากระเป๋านั้นจะใบเล็กใบใหญ่ จะต้องวางไว้บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมกันทุกคน ที่สามารถติดตัวไปไว้ในล็อคเกอร์ชั้นบนได้ก็อาจจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือกระเป๋าถือไปย่อมเท่านั้นที่สามารถใส่ได้พอดี แต่ที่แปลกใจก็คงเห็นจะเป็นแสงไฟสีขาวที่ถือเป็นภาพลักษณ์ของที่นี่ อาจเพราะปกติแล้วแสงไฟนีออนสีขาวจะทำให้คนเรารู้สึกเครียดได้ง่าย ด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีคนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แต่ความขาวสว่างของไฟที่ 9h nine hours ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่ขนาดนั้น ด้วยเพราะการเล่นไฟสีขาวให้มีหลายระดับ จึงไม่ทำให้สถานที่ดูสว่างขาวโพลนไปเสียทั้งหมด
บวกกับพื้นที่ใช้งานด้านล่างที่เราเดินผ่านต่อจากนั้นนั้นจะเป็นทั้งที่นั่งไว้สำหรับจัดของหรือนั่งพัก และมีเคาท์เตอร์สำหรับให้นั่งใช้ทำงาน เล่นคอมพิวเตอร์ และชาร์ตแบตเตอรี่ได้
นั่นจึงทำให้ความรู้สึกประทับใจของเรายังคงมีอยู่ไม่ปลี่ยนแปลง ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวก็เห็นจะเป็น พื้นที่วางกระเป๋าบริเวณล็อบบี้
ระหว่างนั้น ลิฟท์ประจำยาน 9h nine hours พาเราทะยานขึ้นมาสู่ชั้น 7 อย่างรวดเร็ว โดยระหว่างทางเดินออกจากลิฟท์ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของที่นี่ถูกอธิบายด้วยภาพสัญลักษณ์ตามทางเดินไว้อย่างเรียบง่าย
จนเมื่อเดินมาถึงโซนที่เป็นห้องพัก ภาพที่ได้เห็นครั้งแรกเหมือนจำลองออกมาจากรูปภาพในเว็บไซต์ยังไงอย่างนั้น ทำเอาความรู้สึกที่ได้มาเห็นสถานที่จริงยิ่งเหมือนว่าเราถูกดึงเข้าสู่อีกโลกหนึ่งในอนาคต
[CR] [รีวิวที่พัก] กับรหัสลับ 1 + 7 + 1 = 9h หลับใหลในอวกาศ
ทำไมต้อง 'เกียวโต' เมืองแห่งการเสพย์ศิลป์และกลิ่นอายวัฒนธรรม
อโกด้ากับราคาที่ต้องตัดสินใจ
15 นาที 300 บาท
Check in ที่แสนง่ายกับกระดาษ 1 ใบ
9h nine hours โลกอนาคตที่เราสัมผัสได้
รหัสไวไฟสำหรับลูกค้าแต่ละท่านที่เข้าพัก กุญแจสำหรับตู้ล็อกเกอร์รองเท้าที่วางอยู่ชั้นล่าง ไว้สำหรับเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ใช้เฉพาะในพื้นที่ของโรงแรม และกุญแจสำหรับตู้ล็อกเกอร์เก็บของใช้ส่วนตัวด้านบน
ก่อนจะมาทำการอธิบายกฎข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติของการพัก โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่าง ห้ามสูบบุหรี่ ภายในบริเวณโรงแรม เและเสริมว่าลิฟท์จะมีสองตัว ตัวซ้ายจะเป็นโซนของผู้หญิง ส่วนด้านขวาเป็นโซนของผู้ชาย แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนด้วยสัญลักษณ์ด้านหน้า
ลิฟท์ฝั่งชายจะนำไปสู่ชั้นห้องพักและห้องน้ำของผู้ชายเท่านั้น เช่นเดียวกันกับลิฟท์ของฝั่งผู้หญิง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยไปให้กับลูกค้าที่มาพัก เมื่อเดินออกจากลิฟท์จะเป็นส่วนของห้องสุขาและโซนห้องนอน
เพราะลูกค้าทุกคนที่เข้าพัก ไม่ว่ากระเป๋านั้นจะใบเล็กใบใหญ่ จะต้องวางไว้บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมกันทุกคน ที่สามารถติดตัวไปไว้ในล็อคเกอร์ชั้นบนได้ก็อาจจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือกระเป๋าถือไปย่อมเท่านั้นที่สามารถใส่ได้พอดี แต่ที่แปลกใจก็คงเห็นจะเป็นแสงไฟสีขาวที่ถือเป็นภาพลักษณ์ของที่นี่ อาจเพราะปกติแล้วแสงไฟนีออนสีขาวจะทำให้คนเรารู้สึกเครียดได้ง่าย ด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีคนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แต่ความขาวสว่างของไฟที่ 9h nine hours ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่ขนาดนั้น ด้วยเพราะการเล่นไฟสีขาวให้มีหลายระดับ จึงไม่ทำให้สถานที่ดูสว่างขาวโพลนไปเสียทั้งหมด
บวกกับพื้นที่ใช้งานด้านล่างที่เราเดินผ่านต่อจากนั้นนั้นจะเป็นทั้งที่นั่งไว้สำหรับจัดของหรือนั่งพัก และมีเคาท์เตอร์สำหรับให้นั่งใช้ทำงาน เล่นคอมพิวเตอร์ และชาร์ตแบตเตอรี่ได้
นั่นจึงทำให้ความรู้สึกประทับใจของเรายังคงมีอยู่ไม่ปลี่ยนแปลง ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวก็เห็นจะเป็น พื้นที่วางกระเป๋าบริเวณล็อบบี้
จนเมื่อเดินมาถึงโซนที่เป็นห้องพัก ภาพที่ได้เห็นครั้งแรกเหมือนจำลองออกมาจากรูปภาพในเว็บไซต์ยังไงอย่างนั้น ทำเอาความรู้สึกที่ได้มาเห็นสถานที่จริงยิ่งเหมือนว่าเราถูกดึงเข้าสู่อีกโลกหนึ่งในอนาคต