เล่าความถึงเรื่องราวหลังคราวเมืองแตก
ย้อนความทรงจำกลับไปในสมัยที่ผมได้เหยียบแผ่นดินเขมรเป็นครั้งแรก คงราวๆช่วงปี พ.ศ.2539 เห็นจะได้ มันเป็นช่วงที่กัมพูชานั้นเริ่มฟื้นตัวจากภัยสงครามแล้ว ทุกอย่างที่นั้นเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง แต่มันก็ยังดูแปลกตายังไงพิกล คงด้วยความที่เราไม่เคยเจอชีวิตความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของคนที่นั้น พาลทำให้ทุกสิ่งอย่างที่ช่องผ่านแดนนั้นดูน่าสะอิดสะเอียนใจ ซึ่งนั้นก็เป็นไปตามความคิดในวัยเด็กซนอย่างผม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบทความนี้นะครับ เฮ้อ เห๋อ....
ช่องจอม คือ ด่านผ่านแดนไทย-กัมพูชา ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ อยู่ติดรอยต่อของ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ฝั่งตรงข้ามด้านกัมพูชานั้นเป็นชุมชนโอร์เสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัยหรือ อดา เมียนเจยในภาษาเขมร เนื่องจากเป็นช่องผ่านแดนที่ใหญ่มากอีกจุดหนึ่งของไทยและกัมพูชา จึงทำให้จุดผ่านแดนนี้มีการค้าขายติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว........
........การเดินทางไปเขมรในวันนั้น พวกเราโดยสารกันไปกับรถบรรทุก 6 ล้อคันสีฟ้าเก่าๆแบบตอนยาว กระบะหลังยังเต็มไปด้วยฝุ่นและสนิมกรังจับที่ขอบกระบะ เสียงเพลงกันตรึมของวงร็อคคงคยที่โชเฟอร์เปิดให้ฟัง ยังคงดังลั่นสนั่นทุ่งนาไปตลอดทาง เราใช้ระยะเวลาเดินทางออกจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ. สังขะ จนไปถึงที่ด่านช่องจอมก็ตอนประมาณเวลาสายๆแล้ว เมื่อรถของเราแล่นมาถึงที่ฝั่งตลาดไทย ทำให้ผมนึกแปลกใจกับคำพูดที่คนสุรินทร์เรามักชอบเรียกคนเขมรที่นั้นว่า "พวกเขมรต่ำ" แต่ดินแดนรอยต่อของฝั่งเขมรนั้น กลับสูงกว่าฝั่งไทยเราหลายเท่านัก........
........ก่อนถึงทางขึ้นแดนจะมีป้ายเขียนบอกไว้ให้เราระวังผีกองกอย ติดอยู่ที่หน้าป้อมและบังเกอร์ตรวจการณ์ของทหารพราน ที่ยืนทำหน้าตาขึงขังคอยจับตาดูนักท่องเที่ยวที่ลงมาจากฝั่งเขมร นัยว่าคอยสังเกตุพวกเขมรที่อาจลักลอบเดินปะปนลงมาด้วย ทางขึ้นแดนมีลักษณะเป็นดินแข็งปนทรายเล็กน้อย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นในป่าซึ่งรกชัฏ อีกทั้งยังขึงล้อมด้วยรั้วลวดหนามม้วนสูงข่ม ป้ายอักษรสีแดงรูประเบิดและกระโหลกไขว้ถูกติดไว้เรียงรายตลอดสองข้างทาง กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ตามไหล่ทาง ส่วนที่ตรงกลางนั้นเว้นไว้สำหรับทางให้รถเข็นขนส่งนักท่องเที่ยว เป็นบริการรถเข็นเสริมพิเศษของชาวกัมพูชา ซึ่งผมขอบอกว่ามันน่ากลัวมากไอ้ตอนเข็นขาลงจากเนินนี่แหละ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในสมัยนั้น รถเข็นที่ใช้สำหรับขนส่งนักท่องเที่ยว ขึ้นหรือลงจากจุดข้ามแดนจะมีลักษณะอย่างนี้ครับ ผมเคยเห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งครอบครัวหนึ่งใช้บริการรถเข็นตอนขาลง ฝรั่งตัวใหญ่ประมาณสี่คนเห็นจะได้ นั่งอัดอยู่ที่ด้านกระบะรถ ส่วนบริกรชาวกัมพูชานั้นร่างก็เล็กนิดเดียว พอขึ้นไปนั่งเท่านั้นแหละ ขาของคนเข็นแทบจะลอยขึ้นมาทันที
จงหาผลของสมการนี้
รถเข็น + เนินลาดเอียงสูง + ความเร็ว + ฝรั่งสี่คน + ชาวกัมพูชาอีกหนึ่งคน =.......
...............................................................................................................................................................
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้นในค่ายผู้อพยพ บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ภาพจากBlogเสธ.แดง
.....พอเราเดินมาถึงชุมชนซึ่งอยู่ในบริเวณเขตแบ่งแดน สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือ กลิ่นสาบ มันเป็นกลิ่นสาบสงครามเสียมากว่าที่จะเป็นกลิ่นสาบเด็กเขมร ที่กำลังเดินห้อมล้อมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งอยู่ เด็กพวกนี้มอมแมม เสื้อผ้าขาด เกรอะกรังไปด้วยฝุ่นดิน สีผมน้ำตาลแดงดูกระเซอะกระเซิง สายตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความหิวโหยและความรันทดที่นี่ รวมถึงตามโคนต้นไม้ใหญ่ จะมีชายหน้าตาน่ากลัวสวมเสื้อผ้าสีเขียวที่ขาดวิ่น ตามเนื้อตัว ใบหน้า มีรอยแผลเป็นฉกรรจ์คอยนั่งโบกหมวกแก็ปสีเขียวเก่าๆขึ้นลงไปมา ซึ่งชายเหล่านี้ก็ล้วนแต่พิการขาขาดแขนด้วนกันทั้งนั้นเลย นาทีแรกที่ผมเห็น คิดว่าเขาอาจเป็นชาวเขมรที่บาดเจ็บจากสงคราม เลยหลบมานั่งขอทานตามต้นไม้ แต่พอดูจากการแต่งกายแล้วคนพวกนี้ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ เพราะในอดีต พื้นที่ในจังหวัดอดาเมียนเจยเคยเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังเขมรแดงมาก่อน ราวๆปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2518 โดยกองกำลังเขมรแดงยังเคยขึ้นไปสร้างฐานที่มั่นอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ทั้งยังวางกับระเบิดไว้ทั่วแนวเพื่อป้องกันฐานกำลังหลักที่ตั้งอยู่ในอำเภออัลลองเวง ภายหลังจึงถูกกองทัพเวียดนามและเฮง สัมรินตียึดเนินต่างๆบนเทือกเขาพนมดงรักไปในที่สุด ดังนั้น บริเวณป่าโดยรอบจุดผ่านแดนช่องจอม จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุ่นระเบิดสังหารกว่าล้านลูกเลยทีเดียว.......
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพ ช่องจอมใน พ.ศ.๒๕๐๐ ข้าราชการอำเภอปราสาท จ.สุรินทร์ไปตรวจราชการ ก่อนนั้นยังเป็น อ.ปราสาท ยังไม่ได้แยกเป็น อ.กาบเชิง
อ้างอิงจากhttp://www.oknation.net/blog/nn1234/2011/05/09/entry-1
.....เมื่อเราเดินมาถึงเส้นแบ่งแดนที่มีสีแดงทายาว แบ่งระหว่างไทยและกัมพูชา เพียงแต่ก้าวขาข้ามเส้นนั้นไป นั่นหมายถึงว่า เราเหยียบแผ่นดินเขมรแล้ว ตามสองข้างทางแออัดไปด้วยร้านค้าที่เป็นเพิงไม้มุงสังกะสีเก่าๆ มันสะท้อนเปลวแดดร้อนๆ มองเห็นคล้ายเป็นไอจากแอ่งน้ำอยู่ไกลๆโน้น ณ จุดนี้คือศูนย์รวมของป่าหายากมารวมกันอยู่ที่นี่เลยครับ ตลอดเวลาที่เราเดินผ่านร้านรวงต่างๆ จะได้กลิ่นเน่าสาบกระดูกสัตว์โชยกลิ่นบางๆมาเป็นระยะๆ ซึ่งผมก็พยายามมองหาที่มาของกลิ่นเน่าทุกครั้งที่เดินผ่านร้านต่างๆ ระหว่างนั้นเองกลับมีสิ่งหนึ่งสะดุดตาผม นั้นคือหญิงสาวนี่แหละครับ เขามาจากไหน? ทำไมผิวพรรณของหญิงเหล่านี้กลับดูผิดแผกไปจากสาวเขมรบ้านๆธรรมดา ท่าทางเธอดูเรียบร้อยและดูจะสนใจนักท่องเที่ยวหนุ่มๆที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของพวกเธอ เห็นเขาว่าหญิงเหล่านี้คือพวกสาวแกว หรือเขมรที่มีเลือดญวนเวียดนามผสมอยู่ หน้าตาออกไปทางจีน หมวยๆ ผิวพรรณดีกันทุกคนเลย แต่พวกเธอเหล่านั้นกลับเป็นโสเภณีครับ !
........ผู้หญิงโสเภณีที่น่าสงสารเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวอายุคงไม่เกิน 20 ปี มีทั้งที่เป็นคนเขมรแท้ที่ผิวดำ และเลือดผสมเวียดนามที่ขาวออกไปทางจีน เวียดนาม ส่วนพวกสาวเขมรแท้ที่หน้าตาผิวพรรณดีจะมีเชื้อแขกจามปนอยู่ด้วย ในส่วนเรื่องค่าตัวของพวกเธอในสมัยนั้นเท่าที่ผมพอทราบมา คือ ครั้งละ 1,000 เรียล หรือเท่ากับ 10 บาทไทยเท่านั้น และถ้าเด็กหญิงคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ด้วยแล้ว ราคาก็จะสูงขึ้นมาหน่อยครับ อยู่ที่ 100 บาทไทย เศษเงินเหล่านี้เมื่อหักออกจากค่าแม่เล้าแมงดาแล้ว เธอก็จะเหลือเงินแค่ไม่กี่บาทเพื่อนำไปจุนเจือครอบครัว และเลี้ยงชีพตนเองให้พอมีลมหายใจดำรงอยู่ต่อในสลัมเน่าๆของโอร์เสม็ด มีเรื่องฮาๆอยู่ช่วงหนึ่งครับ คนไทยจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งไปขอลดราคาค่าตัวสาวพวกนี้ จาก 10 บาทให้เหลือ 5 บาท สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยฟกช้ำบริเวณแผ่นหลัง เพราะโดนพานท้ายปืนตีเข้าเต็มๆ........
พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆจนลึกเข้าไปในสลัม และเจอเข้ากับคนบางจำพวกที่ถือว่าเป็นมาเฟียในตลาดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมีบางคนในนั้นสะพายปืนอาก้ารวมอยู่ด้วย เมื่อเรารู้ว่ามาในที่ๆไม่ควรจะเข้ามา จึงรีบหันหลังพากันเดินกลับออกไป ซึ่งในระหว่างทางที่เดินออกมานั้นเอง ผมเผลอไปสบตากับสาวแกวคนหนึ่ง ผมบอกตรงๆว่าผมรู้สึกอาลัย พอเดินออกมาจากสลัมนั้นผมยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปดูเธอคนนั้นอีก แต่เธอไม่อยู่ตรงจุดนั้นแล้ว...
เพียงแค่ครู่เดียวที่ได้เห็นแววตาของหญิงสาวคนนั้นก็เกิดคำถามในใจขึ้น เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าในชีวิตของเธอคนนั้น จะต้องไปพบเจอกับเรื่องร้ายๆอะไรบ้าง เรื่องร้ายๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแต่เฉพาะเธอคนนั้น แต่มันหมายรวมถึงชาวกัมพูชาทั้งหมดที่ต้องฝ่าวิบากกรรม เรื่องทั้งหมดมันคงไม่จบแบบนี้ ถ้าหากที่นี่ไม่มีสงคราม.....
กาลครั้งหนึ่ง...ที่กัมพูชา
เล่าความถึงเรื่องราวหลังคราวเมืองแตก
ย้อนความทรงจำกลับไปในสมัยที่ผมได้เหยียบแผ่นดินเขมรเป็นครั้งแรก คงราวๆช่วงปี พ.ศ.2539 เห็นจะได้ มันเป็นช่วงที่กัมพูชานั้นเริ่มฟื้นตัวจากภัยสงครามแล้ว ทุกอย่างที่นั้นเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง แต่มันก็ยังดูแปลกตายังไงพิกล คงด้วยความที่เราไม่เคยเจอชีวิตความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของคนที่นั้น พาลทำให้ทุกสิ่งอย่างที่ช่องผ่านแดนนั้นดูน่าสะอิดสะเอียนใจ ซึ่งนั้นก็เป็นไปตามความคิดในวัยเด็กซนอย่างผม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ช่องจอม คือ ด่านผ่านแดนไทย-กัมพูชา ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ อยู่ติดรอยต่อของ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ฝั่งตรงข้ามด้านกัมพูชานั้นเป็นชุมชนโอร์เสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัยหรือ อดา เมียนเจยในภาษาเขมร เนื่องจากเป็นช่องผ่านแดนที่ใหญ่มากอีกจุดหนึ่งของไทยและกัมพูชา จึงทำให้จุดผ่านแดนนี้มีการค้าขายติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว........
........การเดินทางไปเขมรในวันนั้น พวกเราโดยสารกันไปกับรถบรรทุก 6 ล้อคันสีฟ้าเก่าๆแบบตอนยาว กระบะหลังยังเต็มไปด้วยฝุ่นและสนิมกรังจับที่ขอบกระบะ เสียงเพลงกันตรึมของวงร็อคคงคยที่โชเฟอร์เปิดให้ฟัง ยังคงดังลั่นสนั่นทุ่งนาไปตลอดทาง เราใช้ระยะเวลาเดินทางออกจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ. สังขะ จนไปถึงที่ด่านช่องจอมก็ตอนประมาณเวลาสายๆแล้ว เมื่อรถของเราแล่นมาถึงที่ฝั่งตลาดไทย ทำให้ผมนึกแปลกใจกับคำพูดที่คนสุรินทร์เรามักชอบเรียกคนเขมรที่นั้นว่า "พวกเขมรต่ำ" แต่ดินแดนรอยต่อของฝั่งเขมรนั้น กลับสูงกว่าฝั่งไทยเราหลายเท่านัก........
........ก่อนถึงทางขึ้นแดนจะมีป้ายเขียนบอกไว้ให้เราระวังผีกองกอย ติดอยู่ที่หน้าป้อมและบังเกอร์ตรวจการณ์ของทหารพราน ที่ยืนทำหน้าตาขึงขังคอยจับตาดูนักท่องเที่ยวที่ลงมาจากฝั่งเขมร นัยว่าคอยสังเกตุพวกเขมรที่อาจลักลอบเดินปะปนลงมาด้วย ทางขึ้นแดนมีลักษณะเป็นดินแข็งปนทรายเล็กน้อย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นในป่าซึ่งรกชัฏ อีกทั้งยังขึงล้อมด้วยรั้วลวดหนามม้วนสูงข่ม ป้ายอักษรสีแดงรูประเบิดและกระโหลกไขว้ถูกติดไว้เรียงรายตลอดสองข้างทาง กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ตามไหล่ทาง ส่วนที่ตรงกลางนั้นเว้นไว้สำหรับทางให้รถเข็นขนส่งนักท่องเที่ยว เป็นบริการรถเข็นเสริมพิเศษของชาวกัมพูชา ซึ่งผมขอบอกว่ามันน่ากลัวมากไอ้ตอนเข็นขาลงจากเนินนี่แหละ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
...............................................................................................................................................................
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.....พอเราเดินมาถึงชุมชนซึ่งอยู่ในบริเวณเขตแบ่งแดน สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือ กลิ่นสาบ มันเป็นกลิ่นสาบสงครามเสียมากว่าที่จะเป็นกลิ่นสาบเด็กเขมร ที่กำลังเดินห้อมล้อมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งอยู่ เด็กพวกนี้มอมแมม เสื้อผ้าขาด เกรอะกรังไปด้วยฝุ่นดิน สีผมน้ำตาลแดงดูกระเซอะกระเซิง สายตาของพวกเขาบ่งบอกถึงความหิวโหยและความรันทดที่นี่ รวมถึงตามโคนต้นไม้ใหญ่ จะมีชายหน้าตาน่ากลัวสวมเสื้อผ้าสีเขียวที่ขาดวิ่น ตามเนื้อตัว ใบหน้า มีรอยแผลเป็นฉกรรจ์คอยนั่งโบกหมวกแก็ปสีเขียวเก่าๆขึ้นลงไปมา ซึ่งชายเหล่านี้ก็ล้วนแต่พิการขาขาดแขนด้วนกันทั้งนั้นเลย นาทีแรกที่ผมเห็น คิดว่าเขาอาจเป็นชาวเขมรที่บาดเจ็บจากสงคราม เลยหลบมานั่งขอทานตามต้นไม้ แต่พอดูจากการแต่งกายแล้วคนพวกนี้ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ เพราะในอดีต พื้นที่ในจังหวัดอดาเมียนเจยเคยเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังเขมรแดงมาก่อน ราวๆปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2518 โดยกองกำลังเขมรแดงยังเคยขึ้นไปสร้างฐานที่มั่นอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ทั้งยังวางกับระเบิดไว้ทั่วแนวเพื่อป้องกันฐานกำลังหลักที่ตั้งอยู่ในอำเภออัลลองเวง ภายหลังจึงถูกกองทัพเวียดนามและเฮง สัมรินตียึดเนินต่างๆบนเทือกเขาพนมดงรักไปในที่สุด ดังนั้น บริเวณป่าโดยรอบจุดผ่านแดนช่องจอม จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุ่นระเบิดสังหารกว่าล้านลูกเลยทีเดียว.......
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.....เมื่อเราเดินมาถึงเส้นแบ่งแดนที่มีสีแดงทายาว แบ่งระหว่างไทยและกัมพูชา เพียงแต่ก้าวขาข้ามเส้นนั้นไป นั่นหมายถึงว่า เราเหยียบแผ่นดินเขมรแล้ว ตามสองข้างทางแออัดไปด้วยร้านค้าที่เป็นเพิงไม้มุงสังกะสีเก่าๆ มันสะท้อนเปลวแดดร้อนๆ มองเห็นคล้ายเป็นไอจากแอ่งน้ำอยู่ไกลๆโน้น ณ จุดนี้คือศูนย์รวมของป่าหายากมารวมกันอยู่ที่นี่เลยครับ ตลอดเวลาที่เราเดินผ่านร้านรวงต่างๆ จะได้กลิ่นเน่าสาบกระดูกสัตว์โชยกลิ่นบางๆมาเป็นระยะๆ ซึ่งผมก็พยายามมองหาที่มาของกลิ่นเน่าทุกครั้งที่เดินผ่านร้านต่างๆ ระหว่างนั้นเองกลับมีสิ่งหนึ่งสะดุดตาผม นั้นคือหญิงสาวนี่แหละครับ เขามาจากไหน? ทำไมผิวพรรณของหญิงเหล่านี้กลับดูผิดแผกไปจากสาวเขมรบ้านๆธรรมดา ท่าทางเธอดูเรียบร้อยและดูจะสนใจนักท่องเที่ยวหนุ่มๆที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของพวกเธอ เห็นเขาว่าหญิงเหล่านี้คือพวกสาวแกว หรือเขมรที่มีเลือดญวนเวียดนามผสมอยู่ หน้าตาออกไปทางจีน หมวยๆ ผิวพรรณดีกันทุกคนเลย แต่พวกเธอเหล่านั้นกลับเป็นโสเภณีครับ !
........ผู้หญิงโสเภณีที่น่าสงสารเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวอายุคงไม่เกิน 20 ปี มีทั้งที่เป็นคนเขมรแท้ที่ผิวดำ และเลือดผสมเวียดนามที่ขาวออกไปทางจีน เวียดนาม ส่วนพวกสาวเขมรแท้ที่หน้าตาผิวพรรณดีจะมีเชื้อแขกจามปนอยู่ด้วย ในส่วนเรื่องค่าตัวของพวกเธอในสมัยนั้นเท่าที่ผมพอทราบมา คือ ครั้งละ 1,000 เรียล หรือเท่ากับ 10 บาทไทยเท่านั้น และถ้าเด็กหญิงคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ด้วยแล้ว ราคาก็จะสูงขึ้นมาหน่อยครับ อยู่ที่ 100 บาทไทย เศษเงินเหล่านี้เมื่อหักออกจากค่าแม่เล้าแมงดาแล้ว เธอก็จะเหลือเงินแค่ไม่กี่บาทเพื่อนำไปจุนเจือครอบครัว และเลี้ยงชีพตนเองให้พอมีลมหายใจดำรงอยู่ต่อในสลัมเน่าๆของโอร์เสม็ด มีเรื่องฮาๆอยู่ช่วงหนึ่งครับ คนไทยจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งไปขอลดราคาค่าตัวสาวพวกนี้ จาก 10 บาทให้เหลือ 5 บาท สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยฟกช้ำบริเวณแผ่นหลัง เพราะโดนพานท้ายปืนตีเข้าเต็มๆ........
พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆจนลึกเข้าไปในสลัม และเจอเข้ากับคนบางจำพวกที่ถือว่าเป็นมาเฟียในตลาดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมีบางคนในนั้นสะพายปืนอาก้ารวมอยู่ด้วย เมื่อเรารู้ว่ามาในที่ๆไม่ควรจะเข้ามา จึงรีบหันหลังพากันเดินกลับออกไป ซึ่งในระหว่างทางที่เดินออกมานั้นเอง ผมเผลอไปสบตากับสาวแกวคนหนึ่ง ผมบอกตรงๆว่าผมรู้สึกอาลัย พอเดินออกมาจากสลัมนั้นผมยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปดูเธอคนนั้นอีก แต่เธอไม่อยู่ตรงจุดนั้นแล้ว...
เพียงแค่ครู่เดียวที่ได้เห็นแววตาของหญิงสาวคนนั้นก็เกิดคำถามในใจขึ้น เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าในชีวิตของเธอคนนั้น จะต้องไปพบเจอกับเรื่องร้ายๆอะไรบ้าง เรื่องร้ายๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแต่เฉพาะเธอคนนั้น แต่มันหมายรวมถึงชาวกัมพูชาทั้งหมดที่ต้องฝ่าวิบากกรรม เรื่องทั้งหมดมันคงไม่จบแบบนี้ ถ้าหากที่นี่ไม่มีสงคราม.....