เนื่องในโอกาสดูซับengไปหนึ่งรอบและซับไทยไปหนึ่งรอบ ขอรีวิวแบบตามใจและเอาตัวเองเป็นที่ตั้งค่ะ เน้นพิจารณาความเป็นมนุษย์และจิตวิทยา ข้อมูลศัพท์แสงอะไรเก๋ ๆ ไม่มี------อนึ่ง ผู้รีวิวอวยตัวละครมอริอาตี้มาก อาจมีการพูดถึงเขาอย่างเข้มข้นและจับจดแน่และสปอยล์ทุกองคุลีของเนื้อเรื่องนะคะ ใครยังไม่ได้ดูโปรดปิดกระทู้นี้ไปเพื่อรักษาอรรถรส
*** โปรดระวังสปอยล์ ***
.
.
.
.
.
.
.
.
อย่างที่หลายท่านคงทราบกัน ตอนพิเศษนี้Sherlock BBCใช้ฉากยุคที่ปรากฎในงานประพันธ์ของเซอร์โคแนนเป็นพื้นฐาน อาจจะเป็นการเคารพต่องานดั้งเดิมของท่านโคแนนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่คู่เขียนบทมาร์คและมอฟแฟตจะพากับจับมือเตลิดซุกซนไปมากกว่านี้
- จุดยืนของผู้หญิง
จุดยุกยิกแรกเมื่อตอนเริ่มเรื่องเลยคือการแซวจุดยืนหรือความมีอยู่ของตัวละครหญิงนาม"คุณนายฮัตสัน" ด้วยการนำเสนอเชิงวิจารณ์และประชดบทประพันธ์เดิมของเซอร์โคแนน ผ่านการบ่นของคุณนายฮัตสันเองว่าในนั้นเธอไม่มีบทพูดเลย เป็นแค่ตัวละครเสริมทำหน้าที่เจ้าของบ้าน เดินผ่านไปมาและเสิร์ฟชาให้ ในขณะที่บทยุคใหม่ใจดี(?)ให้โอกาสเธอมีสตอรี่ส่วนตัว พูดจาเจื้อยแจ้วและมีส่วนร่วมกับชีวิตตัวเอกอย่างเชอร์ล็อกและวัตสันแบบชัดเจนขนาดที่ผู้ชมรู้สึกว่ารู้จักตัวตนของเธอคนนี้ไปด้วยได้ ผู้รีวิวมีความเห็นส่วนตัวว่า เซอร์โคแนนแต่งนิยายนักสืบของแท้ค่ะ คือมีคดีและมีนักสืบเด่นเป็นตัวดำเนินเรื่อง ส่วนบทละครของBBCคือการเอาตัวละครชื่อเชอร์ล็อก โฮลมส์มาคลี่ขยายออกกว้างให้ลึกซึ้งและละเอียดขึ้นจากความที่ผู้เขียนบทลุ่มหลงในอุปนิสัยและเห็นความเป็นไปได้ในเอกลักษณ์ของเขา ซีรี่ย์BBCไม่ได้ขายคดี แต่ขายเรื่องราวและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคนแปลกประหลาดอย่างเชอร์ล็อก(ที่ยิ่งแต่งบทยิ่งเป็นเด็กขึ้นเรื่อย ๆ ) ก็เลยให้ความสำคัญกับมนุษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเชอร์ล็อกด้วยเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเขา (ซึ่งกลายว่าไปไกลถึงการวิจารณ์ว่าบทประพันธ์เดิมไม่แคร์ตัวตนของตัวละครหญิงไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ในเมื่อเซอร์โคแนนเขาแค่อยากเล่าเรื่องนักสืบไขคดี มีตัวละครเท่าที่ต้องใช้เพื่อแสดงผลของคดี ขนาดวัตสันยังทำหน้าที่เป็นแค่คนจดบันทึกมาเล่าให้คนอ่านฟัง คุณนายฮัตสันกับแมรี่นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง) กลับไปที่คุณนายฮัตสันของBBC เธอน่ารักและทำตัวเหนือบทด้วยการงอนบทบาทตัวเองกระปอดกระแปด ทำให้ผู้รีวิวคิดว่าคนเขียนบทนี่เข้าถึงและแคร์ความรู้สึกของคนรอบตัวได้ดีโดยเฉพาะบุคคลนอกสายตาหรือผู้หญิง และกล้าบ้า(...)ขนาดแต่งบทของแมรี่ได้อัศจรรย์พันลึกสุด ๆ (จากแม่บ้านธรรมดากลายเป็นสายลับสุดเก่งให้ไมครอฟท์)
-เรื่องเล่าผ่านวิญญานเจ้าสาว
ที่แตะตาก็คือเรื่องบ้านของคุณนายที่เป็นเจ้าของคดีสำคัญกลางเนื้อเรื่อง บทละครทำให้เราเห็นว่าในบางบ้าน(?) ผู้ชายมักรักษาเปลือกของตัวเองว่าเป็นผู้นำที่ฉลาดและยิ่งใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าคุณนายของบ้านหรือภรรยาตัวเองนั่นแหล่ะคือคนที่ลึกซึ้งรอบคอบกว่า (เชอร์ล็อกกล่าวชมคุณนายของบ้านและเห็นความไม่เอาถ่านดีแต่เปลือกของฝ่ายคุณผู้ชายชัดเจนอยู่) ผู้หญิงที่ฉลาดหรือจำเป็นต้องวางตัวเป็นช้างเท้าหลัง เดินตาม ไร้ปากเสียง และทำตัวปวกเปียกเพื่อให้เกียรติหรือยกให้ผู้ชายเหนือกว่าตนเองเสมอ คนเขียนบทก็เลยจับตะกอนปัญหาครอบครัวลักษณะนี้ขยายมาถึงลัทธิเรียกร้องสิทธิสตรี
- เชอร์ล็อกและไมครอฟท์ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดอีกต่อไป
ตรงนี้ผู้เขียนรีวิวก็งงว่าทำไมผู้แต่งบทถึงดันให้แมรี่ ภรรยาของดร.วัตสันเก่งกาจในระดับเหนือความน่าทึ่ง (ถ้าเธอเก่งกว่าเชอร์ล็อกด้วยก็เรียกว่าเก่งกว่ามอริอาตี้เลยมั้ง ยอมรับเลยว่ารู้สึกพิลึก) หรือมีเพื่อทำให้ตัวละครไมครอฟท์ดูอ่อนโยนและลดความยะโสลง ? ตั้งแต่ดูSSแรก ผู้รีวิวเห็นว่าไมครอฟท์เก่งในหลายด้านเหนือกว่าหรือเสมอเทียบเท่าเชอร์ล็อก ในตอนพิเศษนี้mind palaceของเชอร์ล็อกยิ่งย้ำชัดว่าเขาเห็นพี่ชายตัวเองเป็นคนที่ชักเชิดใยเหนือตัวเขา เห็นว่าไมครอฟท์ฉลาดล้ำ รักความสบาย อุ้ยอ้าย และโยนงานที่ไม่อยากเหนื่อยออกแรงเองมาที่เขาเสมอ และเชอร์ล็อกก็...ติ๊งต๊อง(?)หัวอ่อนพอที่จะกระโดดงับงานเหลือ ๆ พวกนั้นมาเล่นอย่างสนุกสนาน (ทำนองว่าไมครอฟท์รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรในคดีแต่ต้องการหลักฐานที่จับต้องได้ ก็โยนกระดูกล่อใช้เชอร์ล็อกวิ่งไปคาบมา(---)) แต่ความจริงแล้ว เมื่อตัดมาที่ฉากในเครื่องบิน เราจะเห็นว่าไมครอฟท์ไม่ได้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจและสนุกกับเรื่องราวความตายขนาดนั้น ค่อนข้างเปราะบาง ไม่เก่งล้ำไปทุกอย่าง(แพ้แมรี่.....) แค่คนบ้าวางมาดที่ต้องการความช่วยเหลือและเป็นห่วงใยน้องชายจากความรู้สึกจริงลึก ๆ ------ ถ้าตอนพิเศษนี้มีไว้เพื่อให้เชอรล็อกรู้ว่าอิมเมจที่มีต่อพี่ชายเป็นแค่จินตนาการเกินจริงที่คิดไปเอง SSต่อไปเราคงได้เห็นเชอร์ล็อกโตขึ้นและเข้าใจสิ่งที่พี่ชายของเขาเป็นจริง ๆ มากขึ้น
- คนโอหังที่กล้ายอมรับความผิดพลาด
เป็นความแมนในบทละครที่ผู้รีวิวชอบมากแต่ละครนำเสนอแบบผ่าน ๆ ด้วยประโยคเดียวจากปากไมครอฟท์ที่คุยกับวัตสัน ว่าเราต้องสยบให้กับพวกลัทธิ ไม่ใช่เพราะลัทธิน่าหวาดกลัว แต่เพราะพวกเขาถูกต้อง แต่เราผิด ทำนองว่าพวกเรานั่นแหล่ะที่กดขี่ละเลยพวกเขาจนสร้างพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมา
- การจิกกัดขนบให้ขบขัน
เห็นชัดก็คือสถานที่ ๆ ไมครอฟท์อยู่ ผู้เขียนรีวิวไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์แม่นเป้ะแต่ได้ยินว่ามีที่แบบนั้นอยู่จริงคือคลับสำหรับคนชั้นสูงหรือผู้มีตำแหน่งใหญ่โตของอังกฤษ ให้ไปนั่งใช้เวลาส่วนตัวกันเงียบ ๆ ......(ทำไมไม่ไปนั่งพักที่บ้าน) ซีรี่ย์นี้ก็เอามาเล่นให้ขำกันชัดเจนขึ้น ว่าเป็นธรรมเนียมแปร่งตาและดูลักลั่น บางอย่างที่ดูหรูหราสูงส่งในสมัยหนึ่ง เมื่อผ่านมาแล้วก็ขำกับมันและปล่อย ๆ ให้มันหายไปเถอะ(?) คิดแบบฟุ้ง ๆ คนเขียนบทอาจอยากบอกว่าความเคร่งครัดพิลึกพิลั่นบางอย่างของคนอังกฤษให้ลด ๆ มันลงไปซะบ้างก็ได้
- จุดน่าสงสารของเชอร์ล็อก
บางคนดูแล้วอาจจะขำเฉย ๆ นะ คือ เชอร์ล็อกที่พยายามอ่านหนังสือดาราศาสตร์สุดฮิต(?)ของสมัยนั้น เพียงเพื่อ-----ไม่ให้ถูกใครดูถูกว่าตัวเองไม่ฉลาด(...) ในบทประพันธ์ดั้งเดิมเขียนให้วัตสันล้อเรื่องความไม่รู้เรื่องระบบสุริยะของโฮลมส์ ในBBCจอห์นและคนรอบตัวก็จี้ใจดำเรื่องนี้ใส่เชอร์ล็อกเหมือนกัน เพียงเพื่ออยากขำขัน(?)หรือเป็นกันเองกับเชอร์ล็อก ข้อดีที่คนอ่านหลายคนชอบคือรู้สึกว่าโฮลมส์เป็นมนุษย์มากขึ้น มีแต่ตัวเชอร์ล็อกเองที่ไม่ได้คิดแบบนั้น ----- ในตอนพิเศษนี้เชอร์ล็อกจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านเพื่อไม่ให้เกิดคำพูดเสียดแทงใจพวกนั้น เป็นการปกป้องตัวเองจากเรื่องเล็ก ๆ บางสิ่งที่เป็นเสี้ยนทิ่มตำและบาดเป็นแผลในใจเขาอยู่ (ที่สรุปว่าสุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจดาราศาสตร์อยู่ดี) ------ ซึ่งถ้าเชอร์ล็อกเปลี่ยนแปลงตัวเองและปากคนรอบตัวไม่ได้ เขาก็ควรโตขึ้นและรู้ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟคและการคิดมากกับคำแซวพวกนี้มันเป็นเรื่องติ๊งต๊อง(....)
- ถามด้านมืดในใจตัวเองดู
มาถึงบทของมอริอาตี้ เรียกว่าเป็นเหตุผลหลักอันดับต้น ๆ ในการเกิดตอนพิเศษนี้ขึนมาก็ว่าได้ ประกายแรกเริ่มที่เชอร์ล็อกสงสัยในการตายของมอริอาตี้ เขาตายจริงรึเปล่า ? ในความเป็นไปได้ทั้งหมดมีสิทธิที่มอริอาตี้จะใช้ทริกรอดชีวิตไปได้มั้ย ? มอริอาตี้คือเงามืดส่วนไหนที่ฝังรากอยู่ในจิตใจของเขา ? และมอริอาตี้คือเงามืดส่วนไหนในซอกเงาของสังคม ? ถ้าเราดึงมอริอาตี้ออกมาเป็นนามธรรม ว่าเขาคือความคับแค้น เกลียดชัง เจ็บปวด ขับข้องใจ ที่เก็บฝังลึก ๆ ไว้จนวันหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความรุนแรง ก็เท่ากับมนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมมีความเป็นมอริอาตี้ในตัวทุกคน โดยเฉพาะผู้ก่ออาชญากรรมและบุคคลนอกกระแส คนที่ถูกหมางเมิน คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติ ตะกรันความเจ็บปวดของมนุษย์รวมเข้ากับไอเดียอันเล็กน้อย เมื่อรวมตัวกันเป็นหมู่คณะก็เกิดสังคมเฉพาะขึ้นมาเรียกว่าลัทธิ คนในโลกที่สุขสบายและอยู่ในแสงสว่างอาจจะรังเกียจเงามืดพวกนี้ที่ก่อความวุ่นวายก็ได้ แต่ในจุดนึงควรที่จะไตร่ตรองด้วยว่าเคยไปทำร้ายอะไรหรือหมางเมินอะไรใคร ตอนพิเศษนี้ก็นำเสนอเรื่องนี้เล่าผ่านประเด็นสิทธิสตรี
- แตะต้องส่วนที่เปราะบางในจิตใจ
ฉากที่เห็นชัดคือจอห์นไล่ต้อนเชอร์ล็อกเรื่องส่วนตัวสองครั้งใหญ่ ๆ บนรถม้าครั้งนึง ตอนซุ่มรอคนร้ายครั้งนึง จี้ถามว่าทำไมเชอร์ล็อกถึงไม่เปิดใจตัวเอง ไม่มีคนรัก ไม่ยอมรับว่าถูกรัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่า.....เชอร์ล็อกกลัวคนที่เก่งเท่าหรือเหนือกว่าตัวเอง ไมครอฟท์และไอรีนเป็นของที่เชอร์ล็อกกันออกให้ห่างจากตัวเองเสมอ เพราะเขากลัวที่จะเจ็บปวดจากการถูกปรามาส จากสิ่งที่ตัวเองรับมือหรือควบคุมไม่ได้ เชอร์ล็อกคือคนที่พยายามทำตัวเองให้ฉลาด ความฉลาดทำให้ตัวเขาปลอดภัยและสบายใจ และจอห์นคือคนใส ๆ ที่แน่ใจว่าฉลาดน้อยกว่าเขา(....) ----- เหตุผลลึก ๆ เดาว่ามาจากไมครอฟท์ที่ชอบพูดจากดดันดูถูกเขามาตั้งแต่เด็กมั้ง SS3ฉากเชอร์ล็อกใกล้ตายเราก็เห็นภาพไมครอฟท์ในMind palaceที่คอยข่มเหงความรู้สึกเขาในนั้น ถ้ามองในแง่ดี ไมครอฟท์อาจแค่อยากวางมาดและทำตัวเป็นพี่ใหญ่ให้เชอร์ล็อกชอบเขาและวิ่งมาพึ่งพาเขาได้ แต่ผลกลับร้ายไปในอีกอย่าง ------ เท่ากับเชอร์ล็อกก็คือมนุษย์ที่มีความเสียใจ เปราะบาง และเจ็บปวดในจิตใจ อีโมถึงขั้นเห็นความตายไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจหรือเจ็บปวด จึงเกิดอิมเมจของมอริอาตี้ขึ้นในจิตใจของเชอร์ล็อก
.
.
.
.
.
.
-สรุป
1. ตอนพิเศษมีเพื่อให้เชอร์ล็อกจัดระเบียบความรู้สึกตัวเอง ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นการลอกคราบเพื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น
2. ความสงสัยของเชอร์ล็อกต่อการตายของมอริอาตี้ อาจเพราะเขาคิดว่ามอริอาตี้เก่งกาจและมีความบ้าคลั่งแรงเกินกว่าที่จะตายไปทั้งอย่างนั้น ถ้ามองแง่ว่าเชอร์ล็อกกับมอริอาตี้เก่งเท่าเทียมกัน เชอร์ล็อกยังวางแผนโดดตึกตบตาสำเร็จ
3. ในที่สุด ก้นบึ้งของmind palaceจากเดิมที่มีเชอร์ล็อกกับมอริอาตี้กันสองคน ตอนนี้มีจอห์นลงมาอยู่ด้วยในระดับนั้นแล้ว ดีใจด้วยนะเชอร์ล็อก
ผู้รีวิวดูหนังโดยมุ่งสนใจที่ความเป็นมนุษย์เป็นหลัก ส่วนไหนฟังแล้วฟุ้งซ่านไป ทำให้ไม่สบายใจ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
[รีวิว] SHERLOCK ตอนพิเศษ The Abominable Bride
*** โปรดระวังสปอยล์ ***
.
.
.
.
.
.
.
.
อย่างที่หลายท่านคงทราบกัน ตอนพิเศษนี้Sherlock BBCใช้ฉากยุคที่ปรากฎในงานประพันธ์ของเซอร์โคแนนเป็นพื้นฐาน อาจจะเป็นการเคารพต่องานดั้งเดิมของท่านโคแนนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่คู่เขียนบทมาร์คและมอฟแฟตจะพากับจับมือเตลิดซุกซนไปมากกว่านี้
- จุดยืนของผู้หญิง
จุดยุกยิกแรกเมื่อตอนเริ่มเรื่องเลยคือการแซวจุดยืนหรือความมีอยู่ของตัวละครหญิงนาม"คุณนายฮัตสัน" ด้วยการนำเสนอเชิงวิจารณ์และประชดบทประพันธ์เดิมของเซอร์โคแนน ผ่านการบ่นของคุณนายฮัตสันเองว่าในนั้นเธอไม่มีบทพูดเลย เป็นแค่ตัวละครเสริมทำหน้าที่เจ้าของบ้าน เดินผ่านไปมาและเสิร์ฟชาให้ ในขณะที่บทยุคใหม่ใจดี(?)ให้โอกาสเธอมีสตอรี่ส่วนตัว พูดจาเจื้อยแจ้วและมีส่วนร่วมกับชีวิตตัวเอกอย่างเชอร์ล็อกและวัตสันแบบชัดเจนขนาดที่ผู้ชมรู้สึกว่ารู้จักตัวตนของเธอคนนี้ไปด้วยได้ ผู้รีวิวมีความเห็นส่วนตัวว่า เซอร์โคแนนแต่งนิยายนักสืบของแท้ค่ะ คือมีคดีและมีนักสืบเด่นเป็นตัวดำเนินเรื่อง ส่วนบทละครของBBCคือการเอาตัวละครชื่อเชอร์ล็อก โฮลมส์มาคลี่ขยายออกกว้างให้ลึกซึ้งและละเอียดขึ้นจากความที่ผู้เขียนบทลุ่มหลงในอุปนิสัยและเห็นความเป็นไปได้ในเอกลักษณ์ของเขา ซีรี่ย์BBCไม่ได้ขายคดี แต่ขายเรื่องราวและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคนแปลกประหลาดอย่างเชอร์ล็อก(ที่ยิ่งแต่งบทยิ่งเป็นเด็กขึ้นเรื่อย ๆ ) ก็เลยให้ความสำคัญกับมนุษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเชอร์ล็อกด้วยเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเขา (ซึ่งกลายว่าไปไกลถึงการวิจารณ์ว่าบทประพันธ์เดิมไม่แคร์ตัวตนของตัวละครหญิงไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ในเมื่อเซอร์โคแนนเขาแค่อยากเล่าเรื่องนักสืบไขคดี มีตัวละครเท่าที่ต้องใช้เพื่อแสดงผลของคดี ขนาดวัตสันยังทำหน้าที่เป็นแค่คนจดบันทึกมาเล่าให้คนอ่านฟัง คุณนายฮัตสันกับแมรี่นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง) กลับไปที่คุณนายฮัตสันของBBC เธอน่ารักและทำตัวเหนือบทด้วยการงอนบทบาทตัวเองกระปอดกระแปด ทำให้ผู้รีวิวคิดว่าคนเขียนบทนี่เข้าถึงและแคร์ความรู้สึกของคนรอบตัวได้ดีโดยเฉพาะบุคคลนอกสายตาหรือผู้หญิง และกล้าบ้า(...)ขนาดแต่งบทของแมรี่ได้อัศจรรย์พันลึกสุด ๆ (จากแม่บ้านธรรมดากลายเป็นสายลับสุดเก่งให้ไมครอฟท์)
-เรื่องเล่าผ่านวิญญานเจ้าสาว
ที่แตะตาก็คือเรื่องบ้านของคุณนายที่เป็นเจ้าของคดีสำคัญกลางเนื้อเรื่อง บทละครทำให้เราเห็นว่าในบางบ้าน(?) ผู้ชายมักรักษาเปลือกของตัวเองว่าเป็นผู้นำที่ฉลาดและยิ่งใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าคุณนายของบ้านหรือภรรยาตัวเองนั่นแหล่ะคือคนที่ลึกซึ้งรอบคอบกว่า (เชอร์ล็อกกล่าวชมคุณนายของบ้านและเห็นความไม่เอาถ่านดีแต่เปลือกของฝ่ายคุณผู้ชายชัดเจนอยู่) ผู้หญิงที่ฉลาดหรือจำเป็นต้องวางตัวเป็นช้างเท้าหลัง เดินตาม ไร้ปากเสียง และทำตัวปวกเปียกเพื่อให้เกียรติหรือยกให้ผู้ชายเหนือกว่าตนเองเสมอ คนเขียนบทก็เลยจับตะกอนปัญหาครอบครัวลักษณะนี้ขยายมาถึงลัทธิเรียกร้องสิทธิสตรี
- เชอร์ล็อกและไมครอฟท์ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดอีกต่อไป
ตรงนี้ผู้เขียนรีวิวก็งงว่าทำไมผู้แต่งบทถึงดันให้แมรี่ ภรรยาของดร.วัตสันเก่งกาจในระดับเหนือความน่าทึ่ง (ถ้าเธอเก่งกว่าเชอร์ล็อกด้วยก็เรียกว่าเก่งกว่ามอริอาตี้เลยมั้ง ยอมรับเลยว่ารู้สึกพิลึก) หรือมีเพื่อทำให้ตัวละครไมครอฟท์ดูอ่อนโยนและลดความยะโสลง ? ตั้งแต่ดูSSแรก ผู้รีวิวเห็นว่าไมครอฟท์เก่งในหลายด้านเหนือกว่าหรือเสมอเทียบเท่าเชอร์ล็อก ในตอนพิเศษนี้mind palaceของเชอร์ล็อกยิ่งย้ำชัดว่าเขาเห็นพี่ชายตัวเองเป็นคนที่ชักเชิดใยเหนือตัวเขา เห็นว่าไมครอฟท์ฉลาดล้ำ รักความสบาย อุ้ยอ้าย และโยนงานที่ไม่อยากเหนื่อยออกแรงเองมาที่เขาเสมอ และเชอร์ล็อกก็...ติ๊งต๊อง(?)หัวอ่อนพอที่จะกระโดดงับงานเหลือ ๆ พวกนั้นมาเล่นอย่างสนุกสนาน (ทำนองว่าไมครอฟท์รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรในคดีแต่ต้องการหลักฐานที่จับต้องได้ ก็โยนกระดูกล่อใช้เชอร์ล็อกวิ่งไปคาบมา(---)) แต่ความจริงแล้ว เมื่อตัดมาที่ฉากในเครื่องบิน เราจะเห็นว่าไมครอฟท์ไม่ได้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจและสนุกกับเรื่องราวความตายขนาดนั้น ค่อนข้างเปราะบาง ไม่เก่งล้ำไปทุกอย่าง(แพ้แมรี่.....) แค่คนบ้าวางมาดที่ต้องการความช่วยเหลือและเป็นห่วงใยน้องชายจากความรู้สึกจริงลึก ๆ ------ ถ้าตอนพิเศษนี้มีไว้เพื่อให้เชอรล็อกรู้ว่าอิมเมจที่มีต่อพี่ชายเป็นแค่จินตนาการเกินจริงที่คิดไปเอง SSต่อไปเราคงได้เห็นเชอร์ล็อกโตขึ้นและเข้าใจสิ่งที่พี่ชายของเขาเป็นจริง ๆ มากขึ้น
- คนโอหังที่กล้ายอมรับความผิดพลาด
เป็นความแมนในบทละครที่ผู้รีวิวชอบมากแต่ละครนำเสนอแบบผ่าน ๆ ด้วยประโยคเดียวจากปากไมครอฟท์ที่คุยกับวัตสัน ว่าเราต้องสยบให้กับพวกลัทธิ ไม่ใช่เพราะลัทธิน่าหวาดกลัว แต่เพราะพวกเขาถูกต้อง แต่เราผิด ทำนองว่าพวกเรานั่นแหล่ะที่กดขี่ละเลยพวกเขาจนสร้างพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมา
- การจิกกัดขนบให้ขบขัน
เห็นชัดก็คือสถานที่ ๆ ไมครอฟท์อยู่ ผู้เขียนรีวิวไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์แม่นเป้ะแต่ได้ยินว่ามีที่แบบนั้นอยู่จริงคือคลับสำหรับคนชั้นสูงหรือผู้มีตำแหน่งใหญ่โตของอังกฤษ ให้ไปนั่งใช้เวลาส่วนตัวกันเงียบ ๆ ......(ทำไมไม่ไปนั่งพักที่บ้าน) ซีรี่ย์นี้ก็เอามาเล่นให้ขำกันชัดเจนขึ้น ว่าเป็นธรรมเนียมแปร่งตาและดูลักลั่น บางอย่างที่ดูหรูหราสูงส่งในสมัยหนึ่ง เมื่อผ่านมาแล้วก็ขำกับมันและปล่อย ๆ ให้มันหายไปเถอะ(?) คิดแบบฟุ้ง ๆ คนเขียนบทอาจอยากบอกว่าความเคร่งครัดพิลึกพิลั่นบางอย่างของคนอังกฤษให้ลด ๆ มันลงไปซะบ้างก็ได้
- จุดน่าสงสารของเชอร์ล็อก
บางคนดูแล้วอาจจะขำเฉย ๆ นะ คือ เชอร์ล็อกที่พยายามอ่านหนังสือดาราศาสตร์สุดฮิต(?)ของสมัยนั้น เพียงเพื่อ-----ไม่ให้ถูกใครดูถูกว่าตัวเองไม่ฉลาด(...) ในบทประพันธ์ดั้งเดิมเขียนให้วัตสันล้อเรื่องความไม่รู้เรื่องระบบสุริยะของโฮลมส์ ในBBCจอห์นและคนรอบตัวก็จี้ใจดำเรื่องนี้ใส่เชอร์ล็อกเหมือนกัน เพียงเพื่ออยากขำขัน(?)หรือเป็นกันเองกับเชอร์ล็อก ข้อดีที่คนอ่านหลายคนชอบคือรู้สึกว่าโฮลมส์เป็นมนุษย์มากขึ้น มีแต่ตัวเชอร์ล็อกเองที่ไม่ได้คิดแบบนั้น ----- ในตอนพิเศษนี้เชอร์ล็อกจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านเพื่อไม่ให้เกิดคำพูดเสียดแทงใจพวกนั้น เป็นการปกป้องตัวเองจากเรื่องเล็ก ๆ บางสิ่งที่เป็นเสี้ยนทิ่มตำและบาดเป็นแผลในใจเขาอยู่ (ที่สรุปว่าสุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจดาราศาสตร์อยู่ดี) ------ ซึ่งถ้าเชอร์ล็อกเปลี่ยนแปลงตัวเองและปากคนรอบตัวไม่ได้ เขาก็ควรโตขึ้นและรู้ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟคและการคิดมากกับคำแซวพวกนี้มันเป็นเรื่องติ๊งต๊อง(....)
- ถามด้านมืดในใจตัวเองดู
มาถึงบทของมอริอาตี้ เรียกว่าเป็นเหตุผลหลักอันดับต้น ๆ ในการเกิดตอนพิเศษนี้ขึนมาก็ว่าได้ ประกายแรกเริ่มที่เชอร์ล็อกสงสัยในการตายของมอริอาตี้ เขาตายจริงรึเปล่า ? ในความเป็นไปได้ทั้งหมดมีสิทธิที่มอริอาตี้จะใช้ทริกรอดชีวิตไปได้มั้ย ? มอริอาตี้คือเงามืดส่วนไหนที่ฝังรากอยู่ในจิตใจของเขา ? และมอริอาตี้คือเงามืดส่วนไหนในซอกเงาของสังคม ? ถ้าเราดึงมอริอาตี้ออกมาเป็นนามธรรม ว่าเขาคือความคับแค้น เกลียดชัง เจ็บปวด ขับข้องใจ ที่เก็บฝังลึก ๆ ไว้จนวันหนึ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความรุนแรง ก็เท่ากับมนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมมีความเป็นมอริอาตี้ในตัวทุกคน โดยเฉพาะผู้ก่ออาชญากรรมและบุคคลนอกกระแส คนที่ถูกหมางเมิน คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติ ตะกรันความเจ็บปวดของมนุษย์รวมเข้ากับไอเดียอันเล็กน้อย เมื่อรวมตัวกันเป็นหมู่คณะก็เกิดสังคมเฉพาะขึ้นมาเรียกว่าลัทธิ คนในโลกที่สุขสบายและอยู่ในแสงสว่างอาจจะรังเกียจเงามืดพวกนี้ที่ก่อความวุ่นวายก็ได้ แต่ในจุดนึงควรที่จะไตร่ตรองด้วยว่าเคยไปทำร้ายอะไรหรือหมางเมินอะไรใคร ตอนพิเศษนี้ก็นำเสนอเรื่องนี้เล่าผ่านประเด็นสิทธิสตรี
- แตะต้องส่วนที่เปราะบางในจิตใจ
ฉากที่เห็นชัดคือจอห์นไล่ต้อนเชอร์ล็อกเรื่องส่วนตัวสองครั้งใหญ่ ๆ บนรถม้าครั้งนึง ตอนซุ่มรอคนร้ายครั้งนึง จี้ถามว่าทำไมเชอร์ล็อกถึงไม่เปิดใจตัวเอง ไม่มีคนรัก ไม่ยอมรับว่าถูกรัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่า.....เชอร์ล็อกกลัวคนที่เก่งเท่าหรือเหนือกว่าตัวเอง ไมครอฟท์และไอรีนเป็นของที่เชอร์ล็อกกันออกให้ห่างจากตัวเองเสมอ เพราะเขากลัวที่จะเจ็บปวดจากการถูกปรามาส จากสิ่งที่ตัวเองรับมือหรือควบคุมไม่ได้ เชอร์ล็อกคือคนที่พยายามทำตัวเองให้ฉลาด ความฉลาดทำให้ตัวเขาปลอดภัยและสบายใจ และจอห์นคือคนใส ๆ ที่แน่ใจว่าฉลาดน้อยกว่าเขา(....) ----- เหตุผลลึก ๆ เดาว่ามาจากไมครอฟท์ที่ชอบพูดจากดดันดูถูกเขามาตั้งแต่เด็กมั้ง SS3ฉากเชอร์ล็อกใกล้ตายเราก็เห็นภาพไมครอฟท์ในMind palaceที่คอยข่มเหงความรู้สึกเขาในนั้น ถ้ามองในแง่ดี ไมครอฟท์อาจแค่อยากวางมาดและทำตัวเป็นพี่ใหญ่ให้เชอร์ล็อกชอบเขาและวิ่งมาพึ่งพาเขาได้ แต่ผลกลับร้ายไปในอีกอย่าง ------ เท่ากับเชอร์ล็อกก็คือมนุษย์ที่มีความเสียใจ เปราะบาง และเจ็บปวดในจิตใจ อีโมถึงขั้นเห็นความตายไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจหรือเจ็บปวด จึงเกิดอิมเมจของมอริอาตี้ขึ้นในจิตใจของเชอร์ล็อก
.
.
.
.
.
.
-สรุป
1. ตอนพิเศษมีเพื่อให้เชอร์ล็อกจัดระเบียบความรู้สึกตัวเอง ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นการลอกคราบเพื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น
2. ความสงสัยของเชอร์ล็อกต่อการตายของมอริอาตี้ อาจเพราะเขาคิดว่ามอริอาตี้เก่งกาจและมีความบ้าคลั่งแรงเกินกว่าที่จะตายไปทั้งอย่างนั้น ถ้ามองแง่ว่าเชอร์ล็อกกับมอริอาตี้เก่งเท่าเทียมกัน เชอร์ล็อกยังวางแผนโดดตึกตบตาสำเร็จ
3. ในที่สุด ก้นบึ้งของmind palaceจากเดิมที่มีเชอร์ล็อกกับมอริอาตี้กันสองคน ตอนนี้มีจอห์นลงมาอยู่ด้วยในระดับนั้นแล้ว ดีใจด้วยนะเชอร์ล็อก
ผู้รีวิวดูหนังโดยมุ่งสนใจที่ความเป็นมนุษย์เป็นหลัก ส่วนไหนฟังแล้วฟุ้งซ่านไป ทำให้ไม่สบายใจ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้