พลิกปูม ‘สัมพันธ์ร้าว’ ซาอุดี-อิหร่าน

ที่มา:  http://news.voicetv.co.th/world/307203.html






พลิกปูม ‘สัมพันธ์ร้าว’ ซาอุดี-อิหร่าน

ซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันอาทิตย์  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เบิ้มต่างนิกายในตะวันออกกลางผิดใจกัน สองประเทศผู้นำซุนนีกับชีอะห์เคยบาดหมางกันหลายครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา



เมื่อวันอาทิตย์ ซาอุดีอาระเบียประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงบุกสถานทูตซาอุดีในกรุงเตหะราน เพราะไม่พอใจกรณีรัฐบาลริยาดประหารชีวิตนักเทศน์ฝีปากกล้านิกายชีอะห์ ชีค นิมัร อัลนิมัร ผู้วิจารณ์ราชวงศ์ซาอุดีอย่างร้อนแรง



การประหารเรียกเสียงประท้วงจากมุสลิมชีอะห์ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอิหร่านซึ่งเป็นศูนย์กลางนิกายชีอะห์ ผู้นำสูงสุดของเตหะราน อะลี คาเมเนอี ลั่นวาจาว่า สวรรค์จะลงโทษต่อการประหารนิมัร



นิมัร วัย 56 เป็นแกนนำการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในพื้นที่ทางตะวันออกซึ่งอุดมด้วยน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2554 แถวนั้นเป็นถิ่นอาศัยของชาวชีอะห์ซึ่งรู้สึกว่าพวกตนถูกรัฐบาลทอดทิ้ง



ซาอุดีอาระเบียประหารนิมัร พร้อมกับคนอื่นๆอีก 46 คน บางส่วนเป็นนักเคลื่อนไหวชาวชีอะห์ บ้างเป็นนักรบซุนนี ซึ่งทางการกล่าวหาว่าพัวพันเหตุโจมตีของกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายเมื่อปี 2546 และปี 2547  วิธีประหารชีวิตนั้นมีทั้งตัดคอและยิงเป้า



สะบั้นไมตรีครั้งแรก ปี 2514



ความสัมพันธ์ ซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ร้าวฉานอย่างหนัก หลังเกิดเหตุปะทะในนครมักกะฮ์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2530 ส่งผลให้มีผู้แสวงบุญเสียชีวิต 402 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวอิหร่าน 275 คน



เหตุเสียชีวิตดังกล่าวทำให้ชาวอิหร่านออกมาประท้วงบนท้องถนนในกรุงเตหะราน นักการทูตชาวซาอุดีคนหนึ่งพลัดตกหน้าต่างของสถานทูตและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นทั้งสองฝ่ายระหองระแหงกันไม่เลิกรา จนกระทั่งกษัตริย์ฟาฮัดของซาอุดีอาระเบียตัดสัมพันธ์การทูตในเดือนเมษายน 2531




บรรยากาศดีขึ้นในปี 2542


หลังจากนักการศาสนา มุฮัมมัด คาตามี ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่านอย่างถล่มทลายเมื่อปี 2540 เขาดำเนินนโยบายคืนดีกับซาอุดีอาระเบีย ยุติความตึงเครียดกับรัฐบาลริยาด ในปี 2542 คาตามีเป็นประธานาธิบดีอิหร่านคนแรกที่ไปเยือนซาอุดีอาระเบียนับแต่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเมื่อปี 2522



ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงด้านความมมั่นคงร่วมกันในเดือนเมษายน 2544  ตอนที่คาตามีชนะเลือกตั้งอีกสมัยในปีเดียวกันนั้น กษัตริย์ฟาฮัดทรงแสดงความยินดีกับเขา




ชิงความเป็นใหญ่ในปี 2546



กรณีสหรัฐฯรุกรานอิรัก และงัดข้อกับอิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ซาอุดีอาระเบีย-อิหร่าน



หลังจากซัดดัม ฮุสเซนถูกโค่น อิรักซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวชีอะห์ปรับนโยบายเข้าใกล้ชิดกับอิหร่านมากขึ้น ขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียหวาดระแวงว่า อิหร่านภายใต้ประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มาดีเนจัด ทำโครงการนิวเคลียร์เพื่อครองความเป็นใหญ่ในย่านอ่าวเปอร์เซีย



อาหรับสปริง ปี 2554



กระแสลุกฮือต่อต้านรัฐบาลอำนาจนิยมในแถบตะวันออกกลาง เกิดอาการ ‘โรคแทรก’ นั่นคือ ประเทศพี่เบิ้มต่างถือหางสนับสนุนฝ่ายต่อต้านในประเทศข้างเคียงเพื่อผลประโยชน์ของตน



ซาอุดีอาระเบียส่งกองทหารเข้าไปในบาห์เรน ช่วบปราบปรามขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะเกรงว่าฝ่ายต่อต้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมชีอะห์จะหันไปซบอิหร่าน ซาอุดีอาระเบียกับบาห์เรนกล่าวหาอิหร่านว่า หนุนหลังผู้ประท้วงให้ใช้ความรุนแรงต่อตำรวจบาห์เรน



โทรเลขทางการทูตซึ่งหลุดทางวิกิลีกส์ ยังเผยให้เห็นว่า กษัตริย์อับดุลเลาะห์ของซาอุดีอาระเบียผลักดันสหรัฐฯให้ใช้ไม้แข็ง รวมถึงกำลังทหาร ต่ออิหร่าน ในเรื่องโครงการนิวเคลียร์



รัฐบาลวอชิงตันบอกว่า ค้นพบแผนการของอิหร่านที่จะลอบสังหารเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐฯของซาอุดีอาระเบีย



สงครามตัวแทน ปี 2555



ซาอุดีอาระเบียเป็นหัวเรือใหญ่ในการสนับสนุนพวกกบฏที่สู้รบกับประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัลอัสซาด ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน รัฐบาลริยาดกล่าวโจมตีอัสซาดว่า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และเรียกอิหร่านว่า ผู้ยึดครองซีเรีย ขณะที่เตหะรานกล่าวหาริยาดว่า สนับสนุน “การก่อกการร้าย”



ในเดือนมีนาคม 2558 ซาอุดีอาระเบียเริ่มปฏิบัติการทางทหารในเยเมน เพื่อสกัดกั้นกบฏฮูธี ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน ไม่ให้สามารถยึดอำนาจได้ และกล่าวหาอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังพวกนักรบกลุ่มนี้ ขณะที่เตหะรานบอกว่า การโจมตีทางอากาศของริยาดนั้นมุ่งเป้าสังหารพลเรือน.





Source: Reuters
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่