ที่ Edit คือเพิ่มรูปบางส่วนนะคะ
นี่เป็นกระทู้แรกที่รีวิว (ปกติก็แค่โพสรูปลงเฟสบุ๊คอ่ะเนอะ) ละเอียดหน่อย เพราะตอนเราหาข้อมูลก็ได้จากรีวิวที่ละเอียดๆในพันทิปนี่แหละช่วยชีวิต ผิดพลาดประการใดขออภัยนะคะ (ออกตัวก่อนตามธรรมเนียม (เห็นทุกกระทู้ที่อ่านเป็น REF ขึ้นงี้หมดเลยเลยเอามั่ง))
ทริปนี้มันเกิดจากการที่ ญาติๆจะไปอินเดีย (ซึ่งเราอยากไปมาก TT^TT แต่แม่ไม่อยากไป) พร้อมกับที่เคยเปิดหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกที่ญี่ปุ่นให้แม่ดู (รีวิวหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซักกระทู้จากใน Pantip นี่แหละค่ะ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณนายก็เว้าวอนอยากไปญี่ปุ่นมาโดยตลอด ก็เลยจัดมันซักตั้ง ไปกับแม่สองสาว (พ่อเฝ้าบ้านกับน้องสาวฮัสกี้)
เกริ่นพอแล้วมั่ง ไปดูกันว่าเราพาแม่ไปไหนบ้าง
แรกๆจะเป็นเรื่องการเตรียมตัวนะ อยากเสพรูปก็เลื่อนลงไปดูล่างๆได้เลย 555
ตั๋วเครื่องบิน
ความผิดพลาดแรกของการเดินทางครั้งนี้คือการจองตั๋วเครื่องบินผิดวัน
เราบินกับ ANA เพราะแม่เราค่อนข้างอายุมากแล้ว จะสายการบิน Lowcost สีแดงไปญี่ปุ่น 6 ชั่วโมง เครื่องลงคงเดินไม่เป็นกันทีเดียว ความตั้งใจคือไปเที่ยว 10 วันเต็ม บินกลางคืนถึงเช้าเที่ยวเลย ขากลับบินกลางคืนถึงเช้าไปทำงาน แต่อนิจจา จองผิด! ดันไปจองบิน 23:00 วันที่ 1 ถึงเช้าวันที่ 2 แถมขากลับยังเป็นบิน คืนที่ 9 ถึงเช้าวันที่ 10 เลยจำใจเลื่อนไฟล์ทขาไปให้ตรงวัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเลื่อนโรงแรม แถมไม่เสียเวลาเที่ยว แต่เสียค่าเลื่อนอีก จากแพลนที่จะเที่ยว 10 วัน กลายเป็นเที่ยว 9 วัน กลับมานอนตายที่บ้านอีก 1 วันแทน แต่ไม่เป็นไร ยังโอเค เพราะยังไม่ได้วางแผนอะไรมาก มีแค่ปักหมุดที่หมายหลักๆ
เป้าหมาย
คุยกับแม่เสร็จสรรพ โจทย์คือ ที่ที่นางอยากไป จะไป และต้องไปให้ได้มีที่เดียวคือหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก ถามแย่บๆบ่อยๆก็บอกว่าอยากไปวัด โอเคงั้นที่ๆเราจะไปกันหลักๆ ที่คิดว่าแม่เดินไหว มี 3 ที่คือ
1. เมืองชิโรอิชิ ซาโอะ (Shiroishi,Zao,Miyagi) เป้าหมายหลักหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village) มีของแถมเป็นออนเซน (Onzen)
2. เซนได (Sendai) อันนี้พี่แนะนำก็เสิร์จๆดู กะเที่ยว Shuttle Bus รอบเมืองแล้วไปตามที่กินที่พี่ชาย Recommend
3. โตเกียว (Tokyo) ก็เที่ยวมันแถบๆโตเกียวนั่นแหละ กับเป้าหมายหลักอีกอย่างของทริปนี้คือ พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) เราคลั่งมากพูดเลย
ที่พัก
จองที่พักเซนไดกับโตเกียวไม่เท่าไหร่ เพราะจองผ่าน Agoda หรือ booking.com ก็หาง่าย สบาย ชิลๆ แต่ ชิโรอิชินี่สิปัญหา ที่พักมีแต่แถบในตัวเมือง ซึ่งไม่มีออนเซน คือเมืองนี้เขาขึ้นชื่อเรื่องออนเซนพอดู แถมไปตอนกำลังหนาว ก็อยากแช่ออนเซนให้ฟินๆกันบ้าง จนสุดท้ายต้องพึ่งแฟนพี่ที่เรียนญี่ปุ่นฝากโทรจองเรียวกังให้ (Ryokan) ก็เป็นไปตามนี้
1-3 พัก Kimuraya Ryokan ประทับใจมากกกกก ฟินมากๆๆๆๆ เที่ยวญี่ปุ่นรอบเมื่อไหร่จะกลับไปอีก
3-5 พัก Misui Garden Hotel เป็นโรงแรมที่มีสาขาทั่วญี่ปุ่น
5-9 พัก Nishitetsu Shinjuku Inn เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่โอเคเลย สะอาด ใกล้ Tokyo Metro
พอจองเสร็จพึ่งมาสั่งเกตุว่าที่พักมันเล็กลงเรื่อยๆเนอะ จาก Ryokan เป็น Hotel เป็น Inn แต่โอเคอ่ะ เอาไว้นอน กับเก็บของเฉยๆ
ตั๋วได้แล้วที่พักได้แล้ว เป้าหมายหลักๆได้แล้วก็เป็นอันเสร็จ เราจองตั้งแต่กลางปี เดินทางปลายปี บอกเลยว่าพอใกล้ๆนี่ลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้วางแพลนซื้อตั๋วรถไฟ หรือPocket Wifi อะไรซักอย่าง พอเข้าเดือนพฤศจิกาเท่านั้นแหละ เรารีบหาข้อมูลหูตาแหก เดินทางที่นู่นยังไง จะเช่า Wifi ของอะไร โชคดีที่มากที่ช่วงนั้นพารากอนมีจัดงาน “เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง วินเทอร์ 2015” ก็ลุยเลยจ้าจะรออะไร แต่เราหาข้อมูลไปนิดนึงนะว่าเราจะซื้อตั๋วอะไร เพราะเราไม่ได้อยู่ในโตเกียวตลอด JR Pass คงฟุ่มเฟือยเกินไป เราเลยตั้งใจไปดูแค่ Pocket Wifi กับ JR East Pass แบบ 15 วันเปิดใช้ได้ 5 วันวันไหนก็ได้ แต่พอไปถึงพารากอนฮอล์ลคนเยอะมากจนแทบจะถอดใจ จนไปเจอบูธ APEX คนน้อยแถมมี JR East Pass พร้อมจอง Pocket Wifi ได้ด้วย จะรอช้าอยู่ใย ดิ่งเข้าไปเลย ก็เป็นอันเสร็จ ได้ถุงผ้าแถมมาใบกับ Notepad 2 ปึกไปใช้ที่ทำงาน เป็นอันจบเรื่อง ได้ทั้ง Pocket Wifi (Samurai Wifi) และ ตั๋ว JR East Pass เรียบร้อย
กลับมาบ้านก็มานั่งวางแพลน พอหลังจากจองได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดีก็มีเอกสารจาก Apex ส่งมาที่บ้าน ให้เอาเอกสารนี้ไปรับตั๋วที่ญี่ปุ่นได้เลยสิ่งที่ดีงามมากๆจากการจองตั๋วกับApex คือ เขาให้หนังสือ “เที่ยวญี่ปุ่นตะวันออกไปกับ JR East โตเกียว-คันโต-โทโฮกุ“ มาด้วย ซึ่งช่วยให้เราวางแพลนเที่ยวอย่างละเอียดได้อีกเยอะเลย สำหรับ Pocket Wifi บอกเลยว่าเจ้าหน้าที่ยึกยักมาก บอกจะส่งเมลมายืนยัน เราก็ยังไม่ได้เมล โทรสองสามรอบ ก็บอกจะส่งก็ไม่ส่งมา สัปดาห์ก่อนเดินทางของก็ยังไม่ถึง จนสุดท้ายตัดใจ ไปเอาที่สนามบินวันจะบินเลยแล้วกัน
ที่ต้องมานั่งวางแพลนเต็มว่าจะไปไหนบ้างแบบละเอียดๆ เพราะเราไม่มั่นใจWifi กับอีกอย่างคือเราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ พี่ชายเราเป็นห่วง ไปกับแม่แค่สองคน เลยให้แฟนมารับและไปกับเราด้วยสองวันแรกที่ไป ชิโรอิชิ เพราะมันเป็นเมืองเล็กๆ คิดว่าภาษาอังกฤษไม่น่ารอด (ซึ่งต้องบอกว่าพี่คิดถูก ถ้าแฟนพี่ไม่มาเรากับแม่จะถึงหมู่บ้านจิ้งจอกป่าวก็ไม่รู้ ฮาาา) ไปดูกันว่า 9 วันเต็มๆเป็นยังไง (ทั้งนี้ขอได้รับความขอบคุณจากแฟนคุณเพื่อนอีกคน ที่ไปเดทกันถึงญี่ปุ่นมาแล้ว ให้ยืมคู่มือท่องเที่ยวพร้อมแผนที่ โตเกียว IN1GUIDE ผู้รีวิวชาวพันทิปทุกท่าน Tripadvisor และ อากู๋มา ณ ที่นี้ด้วยค่า)
ทั้งนี้รูปในรีวิวนี้ถ่ายด้วยกล้อง Fuji xe-1 เลนส์ 50-230 แล้วก็ 35 16-1.4 และ Iphone6
ถ่าย Raw file แล้วแต่งภาพ PS ค่ะ LR ยังใช้ไม่เป็น (ฮาาา)
วันที่ 1 เดินทางและเมืองหินขาว
ไปถึงสุวรรณถูมิเราก็ไปรับ Pocket Wifi ของ Samurai Wifi ที่ทางเชื่อม Airport Rail Link เครื่องบินออกจาก สุวรรณภูมิ 22:45 ตามเวลาไทย ถึงญี่ปุ่น 06:00 นิดๆ (จริงๆต้องถึง 06:30 แต่นักบินคงรีบคิดถึงบ้าน) ถึงปั๊บก็เช็คWifi Call Line หาแฟนพี่ทันที เพราะเขามานอน Capsule รอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ระหว่างรอแฟนพี่เราก็เดินไปเคาท์เตอร์รับตั๋ว JR East Pass ในสนามบินฮาเนดะ แต่!!!! เรามาถึงเช้าไป มันยังไม่เปิด!!! เลยตัดใจ ไปเอาที่ Tokyo Station แล้วกัน พอแฟนพี่มาถึงก็จัดการซื้อตั๋วไป Tokyo Station จริงๆถ้ารับ JR East Pass ที่นี่เลยจะไม่ต้องเสียตังค์ซื้อตั๋วเพราะมันขึ้น Tokyo Monorail ได้เลย แต่ทำไงได้ ไม่อยากเสียเวลาเลยจำใจซื้อ
ที่รับตั๋ว JR East Pass ที่สนามบินฮาเนดะ (Tokyo Monorail 2F Ticket Gate / Arrival Lobby)
ถึง Tokyo Station ก็เดินไปรับตั๋ว JR East Pass แนะนำว่าถ้าไปเองให้หา Information หรือ Counter อะไรก็ได้ที่ถามทางได้ แล้วขอแผนที่สถานีจากเขา คือมันเป็นสถานีที่ใหญ่มากกกก และเพนกวิ้นเยอะมาก เดินกันให้ควัก (ไว้ถ้าหาแผนที่เจอจากกองใบปลิวเจอจะสแกนมาลงให้นะ)
พอไปถึง JR East Counter ก็ไม่ต้องทำอะไรมากเลย บอกเขาว่าจะไปไหน แล้วเขาจะเอาตารางรถไฟให้ดู พร้อมจองที่นั่งให้เสร็จสรรพ เราเดินทางไปกับ Tohoku Shinkanzen ลงที่สถานี Shiroishizao เลย ก่อนขึ้นรถไฟก็หาข้าวปั้นในสถานีไว้ไปกินบนรถ เดินทางชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางไม่มีอะไรก็ดูทางไปเรื่อยๆ จากเมื๊องเมือง ค่อยๆชานเมืองมาเรื่อยๆ ตึกเล็กลงๆ บ้านเล็กลงๆ จนเจอทุ่งขาว แล้วก็ภูเขาหิมะไกลๆ เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงแล้ว
ไปถึงคือสถานีร้างมากกกกก หมายถึงไม่มีคนนะ แต่สภาพคือดี ไม่ขนหัวลุกแน่นอน จะรอช้าอะไรก็เริ่มเที่ยวกันเลย วันนี้จะเที่ยวในตัวเมืองชิโรอิชิกันก่อน เพราะเป็นเมืองเล็กๆ คิดว่าเดินได้ชิลๆสบายมาก เก็บกระเป๋าฝากล็อคเกอร์สถานี หยิบแผ่นพับใบปลิวทุกแผ่นที่มีในสถานีเสร็จ ก็พร้อมลุย แต่พอย่างกรายออกจากสถานีเท่านั้นแหละ โมเม้นหน้าชาบังเกิด คือมันหนาวมาก มันเย็นมาก ลมแรงมาก ปะทะหน้าทีนี่แทบจะกลับเข้าสถานีกันไม่ทัน เราใส่ไปแค่ฮีทเทคชั้นเดียว ทั้งบนล่าง เชิ้ตตัวยาว กางเกงขาสั้น รองเท้าบู้ท กับผ้าพันคอ ส่วนแม่ดีหน่อย ใส่ฮีทเทค เสื้อกันหนาวอย่างหนา เสื้อแขนยาว กางเกงยีน ถุงมือผ้าพันคอ นางครบนางไหว แต่เราอ่ะไม่ไหว! เลยเปิดล็อคเกอร์เอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่ แล้วใส่ฮีทเทคที่เป็นเลกกิ้งทับอีกชั้น ดูอุณหภูมิแม่เจ้า 9 องศา แถมลมแบบนี้ วันนี้ฉันจะรอดไหม
เสียค่าล็อคเกอร์อีกรอบเลย เตรียมตัวเสร็จออกไปใหม่ค่อยดีโอเคขึ้นหน่อย ที่ๆเราจะไปมี 4 ที่ด้วยกันตามนี้
เดินค่ะวันนี้เดิน
แดดกำลังโอเค แต่ลมนี่ไม่ไหว แอบแวะเซเว่น ซื้อถุงร้อนมาใส่กระเป๋าไว้เลย
ตามทางพวกฝาท่อจะเป็นลายดอกไม้หมดเลยค่ะ คาดว่าถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ผลิน่าจะสวยมากๆเลย แถมตลอดทางยังมีร้านดอกไม้เล็กๆ เยอะแยะไปหมดเลยด้วย
ชิโรอิชิ (Shiroishi) เป็นเมืองเล็กๆอยู่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ชิโระ แปลว่าสีขาว อิชิ แปลว่าหิน น่าจะมาจากที่เมืองนี้มีภูเขาหิมะเย็น และเป็นเมืองออนเซน คนนิยมมาเล่นสกี เลยได้ชื่อนี้ (เดาเอา ฮาาา) ในแผนที่บอกว่ามีปลาคาร์ปในคลองหน้าบ้าน เราก็มองหาตลอดแต่ก็ไม่เจอซักที
มาถึงจุดหมายแรก วัดก่อนทางเข้าปราสาทชิโรอิชิ แฟนพี่ก็สอนวิธีไหว้พระของที่นี่ เริ่มแรกเจอบ่อน้ำ ให้ตักน้ำมาล้างมือ บ้วนปาก แล้วปล่อยน้ำที่เหลือไหลลงล้างด้ามจับ พูดเลยว่าสั่นระริก คืออาหาศก็หนาวแล้วไง คิดว่าเจอน้ำแบบนี้เข้าไปเป็นไงคะ ชาค่ะชา!
มาวัดญี่ปุ่นทั้งทีไม่พ้นเรื่องทำนายดวงแน่ๆ ถ้าได้โชคร้าย เขาจะผูกไว้กันราวใต้ต้นไม้ในวัด เหมือนที่พี่ไทยเราจะไม่เอาใบคำทำนายที่ไม่ดีกลับไปนั่นแหละค่ะ โดยสมัยนี้เขาก็มีทั้งเสี่ยงทายทั้งแบบ หยิบเอง แบบตู้กดเลย
ปราสาทชิโรอิชิ เป็นปราสาทซามูไรค่ะ สามารถขึ้นไปชมได้ เสียค่าเข้าประมาณ 300 เยน ถ้าจำไม่ผิดนะ
วิวเมืองจากชั้นบนสุดของปราสาท
อีกฝั่งเป็นภูเขา
ต่อไปเป็นบ้านซามูไรค่ะ คนละ 300 เยนเหมือนกัน เป็นที่ฝึกของซามูไรสมัยก่อน ด้านหน้ามีบอนไซมากมาย คุณลุงประจำป้อมใจดีมาก ถ่ายรูปให้ด้วย แถมมีป้ายภาษาไทยแปะไว้ด้วยนะคะ
เดินไปเรื่อยๆจะเจอต้นลูกพลับเป็นระยะๆค่ะ แต่เขายังโตไม่เต็มที่ ที่โตเต็มที่ก็คงถูกเก็บไปหมดแล้ว
และในที่สุดเราก็เจอปลาคาร์ป หรือภาษาญี่ปุ่น Koi ค่ะ!!!! คือน้ำใสมากจริงๆ
พอไปถึง Doll Warehouse โกดังแรกไม่เท่าไหร่นะค่ะ ก็จะมีพวกของเล่นสมัยก่อนให้รำลึกถึงอดีตกันเบาๆ แต่โกดังที่สองชั้นสองเป็นที่เก็บตุ๊กตาแบบที่ทำเหมือนคนจริงๆ ตาโตๆอ่ะ เรามิไหว เรามิกล้า หลอน
เลยไม่ได้ขึ้นไปดู พอออกมาเดินไปเรื่อยสุดท้ายท้าลมหนาวไม่ไหวบวกกับมันเริ่มมืด หิวแล้วด้วยเลยไม่ได้ไป sumaru house แต่เบนเข็มไปหาของกินแทน
ME,MOM AND JAPAN เมื่อลูกสาวพาแม่ลุยญี่ปุ่น
นี่เป็นกระทู้แรกที่รีวิว (ปกติก็แค่โพสรูปลงเฟสบุ๊คอ่ะเนอะ) ละเอียดหน่อย เพราะตอนเราหาข้อมูลก็ได้จากรีวิวที่ละเอียดๆในพันทิปนี่แหละช่วยชีวิต ผิดพลาดประการใดขออภัยนะคะ (ออกตัวก่อนตามธรรมเนียม (เห็นทุกกระทู้ที่อ่านเป็น REF ขึ้นงี้หมดเลยเลยเอามั่ง))
ทริปนี้มันเกิดจากการที่ ญาติๆจะไปอินเดีย (ซึ่งเราอยากไปมาก TT^TT แต่แม่ไม่อยากไป) พร้อมกับที่เคยเปิดหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกที่ญี่ปุ่นให้แม่ดู (รีวิวหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซักกระทู้จากใน Pantip นี่แหละค่ะ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณนายก็เว้าวอนอยากไปญี่ปุ่นมาโดยตลอด ก็เลยจัดมันซักตั้ง ไปกับแม่สองสาว (พ่อเฝ้าบ้านกับน้องสาวฮัสกี้)
เกริ่นพอแล้วมั่ง ไปดูกันว่าเราพาแม่ไปไหนบ้าง
แรกๆจะเป็นเรื่องการเตรียมตัวนะ อยากเสพรูปก็เลื่อนลงไปดูล่างๆได้เลย 555
ตั๋วเครื่องบิน
ความผิดพลาดแรกของการเดินทางครั้งนี้คือการจองตั๋วเครื่องบินผิดวัน เราบินกับ ANA เพราะแม่เราค่อนข้างอายุมากแล้ว จะสายการบิน Lowcost สีแดงไปญี่ปุ่น 6 ชั่วโมง เครื่องลงคงเดินไม่เป็นกันทีเดียว ความตั้งใจคือไปเที่ยว 10 วันเต็ม บินกลางคืนถึงเช้าเที่ยวเลย ขากลับบินกลางคืนถึงเช้าไปทำงาน แต่อนิจจา จองผิด! ดันไปจองบิน 23:00 วันที่ 1 ถึงเช้าวันที่ 2 แถมขากลับยังเป็นบิน คืนที่ 9 ถึงเช้าวันที่ 10 เลยจำใจเลื่อนไฟล์ทขาไปให้ตรงวัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเลื่อนโรงแรม แถมไม่เสียเวลาเที่ยว แต่เสียค่าเลื่อนอีก จากแพลนที่จะเที่ยว 10 วัน กลายเป็นเที่ยว 9 วัน กลับมานอนตายที่บ้านอีก 1 วันแทน แต่ไม่เป็นไร ยังโอเค เพราะยังไม่ได้วางแผนอะไรมาก มีแค่ปักหมุดที่หมายหลักๆ
เป้าหมาย
คุยกับแม่เสร็จสรรพ โจทย์คือ ที่ที่นางอยากไป จะไป และต้องไปให้ได้มีที่เดียวคือหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก ถามแย่บๆบ่อยๆก็บอกว่าอยากไปวัด โอเคงั้นที่ๆเราจะไปกันหลักๆ ที่คิดว่าแม่เดินไหว มี 3 ที่คือ
1. เมืองชิโรอิชิ ซาโอะ (Shiroishi,Zao,Miyagi) เป้าหมายหลักหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village) มีของแถมเป็นออนเซน (Onzen)
2. เซนได (Sendai) อันนี้พี่แนะนำก็เสิร์จๆดู กะเที่ยว Shuttle Bus รอบเมืองแล้วไปตามที่กินที่พี่ชาย Recommend
3. โตเกียว (Tokyo) ก็เที่ยวมันแถบๆโตเกียวนั่นแหละ กับเป้าหมายหลักอีกอย่างของทริปนี้คือ พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) เราคลั่งมากพูดเลย
ที่พัก
จองที่พักเซนไดกับโตเกียวไม่เท่าไหร่ เพราะจองผ่าน Agoda หรือ booking.com ก็หาง่าย สบาย ชิลๆ แต่ ชิโรอิชินี่สิปัญหา ที่พักมีแต่แถบในตัวเมือง ซึ่งไม่มีออนเซน คือเมืองนี้เขาขึ้นชื่อเรื่องออนเซนพอดู แถมไปตอนกำลังหนาว ก็อยากแช่ออนเซนให้ฟินๆกันบ้าง จนสุดท้ายต้องพึ่งแฟนพี่ที่เรียนญี่ปุ่นฝากโทรจองเรียวกังให้ (Ryokan) ก็เป็นไปตามนี้
1-3 พัก Kimuraya Ryokan ประทับใจมากกกกก ฟินมากๆๆๆๆ เที่ยวญี่ปุ่นรอบเมื่อไหร่จะกลับไปอีก
3-5 พัก Misui Garden Hotel เป็นโรงแรมที่มีสาขาทั่วญี่ปุ่น
5-9 พัก Nishitetsu Shinjuku Inn เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่โอเคเลย สะอาด ใกล้ Tokyo Metro
พอจองเสร็จพึ่งมาสั่งเกตุว่าที่พักมันเล็กลงเรื่อยๆเนอะ จาก Ryokan เป็น Hotel เป็น Inn แต่โอเคอ่ะ เอาไว้นอน กับเก็บของเฉยๆ
ตั๋วได้แล้วที่พักได้แล้ว เป้าหมายหลักๆได้แล้วก็เป็นอันเสร็จ เราจองตั้งแต่กลางปี เดินทางปลายปี บอกเลยว่าพอใกล้ๆนี่ลืมไปแล้วว่ายังไม่ได้วางแพลนซื้อตั๋วรถไฟ หรือPocket Wifi อะไรซักอย่าง พอเข้าเดือนพฤศจิกาเท่านั้นแหละ เรารีบหาข้อมูลหูตาแหก เดินทางที่นู่นยังไง จะเช่า Wifi ของอะไร โชคดีที่มากที่ช่วงนั้นพารากอนมีจัดงาน “เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง วินเทอร์ 2015” ก็ลุยเลยจ้าจะรออะไร แต่เราหาข้อมูลไปนิดนึงนะว่าเราจะซื้อตั๋วอะไร เพราะเราไม่ได้อยู่ในโตเกียวตลอด JR Pass คงฟุ่มเฟือยเกินไป เราเลยตั้งใจไปดูแค่ Pocket Wifi กับ JR East Pass แบบ 15 วันเปิดใช้ได้ 5 วันวันไหนก็ได้ แต่พอไปถึงพารากอนฮอล์ลคนเยอะมากจนแทบจะถอดใจ จนไปเจอบูธ APEX คนน้อยแถมมี JR East Pass พร้อมจอง Pocket Wifi ได้ด้วย จะรอช้าอยู่ใย ดิ่งเข้าไปเลย ก็เป็นอันเสร็จ ได้ถุงผ้าแถมมาใบกับ Notepad 2 ปึกไปใช้ที่ทำงาน เป็นอันจบเรื่อง ได้ทั้ง Pocket Wifi (Samurai Wifi) และ ตั๋ว JR East Pass เรียบร้อย
กลับมาบ้านก็มานั่งวางแพลน พอหลังจากจองได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดีก็มีเอกสารจาก Apex ส่งมาที่บ้าน ให้เอาเอกสารนี้ไปรับตั๋วที่ญี่ปุ่นได้เลยสิ่งที่ดีงามมากๆจากการจองตั๋วกับApex คือ เขาให้หนังสือ “เที่ยวญี่ปุ่นตะวันออกไปกับ JR East โตเกียว-คันโต-โทโฮกุ“ มาด้วย ซึ่งช่วยให้เราวางแพลนเที่ยวอย่างละเอียดได้อีกเยอะเลย สำหรับ Pocket Wifi บอกเลยว่าเจ้าหน้าที่ยึกยักมาก บอกจะส่งเมลมายืนยัน เราก็ยังไม่ได้เมล โทรสองสามรอบ ก็บอกจะส่งก็ไม่ส่งมา สัปดาห์ก่อนเดินทางของก็ยังไม่ถึง จนสุดท้ายตัดใจ ไปเอาที่สนามบินวันจะบินเลยแล้วกัน
ที่ต้องมานั่งวางแพลนเต็มว่าจะไปไหนบ้างแบบละเอียดๆ เพราะเราไม่มั่นใจWifi กับอีกอย่างคือเราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ พี่ชายเราเป็นห่วง ไปกับแม่แค่สองคน เลยให้แฟนมารับและไปกับเราด้วยสองวันแรกที่ไป ชิโรอิชิ เพราะมันเป็นเมืองเล็กๆ คิดว่าภาษาอังกฤษไม่น่ารอด (ซึ่งต้องบอกว่าพี่คิดถูก ถ้าแฟนพี่ไม่มาเรากับแม่จะถึงหมู่บ้านจิ้งจอกป่าวก็ไม่รู้ ฮาาา) ไปดูกันว่า 9 วันเต็มๆเป็นยังไง (ทั้งนี้ขอได้รับความขอบคุณจากแฟนคุณเพื่อนอีกคน ที่ไปเดทกันถึงญี่ปุ่นมาแล้ว ให้ยืมคู่มือท่องเที่ยวพร้อมแผนที่ โตเกียว IN1GUIDE ผู้รีวิวชาวพันทิปทุกท่าน Tripadvisor และ อากู๋มา ณ ที่นี้ด้วยค่า)
ทั้งนี้รูปในรีวิวนี้ถ่ายด้วยกล้อง Fuji xe-1 เลนส์ 50-230 แล้วก็ 35 16-1.4 และ Iphone6
ถ่าย Raw file แล้วแต่งภาพ PS ค่ะ LR ยังใช้ไม่เป็น (ฮาาา)
วันที่ 1 เดินทางและเมืองหินขาว
ไปถึงสุวรรณถูมิเราก็ไปรับ Pocket Wifi ของ Samurai Wifi ที่ทางเชื่อม Airport Rail Link เครื่องบินออกจาก สุวรรณภูมิ 22:45 ตามเวลาไทย ถึงญี่ปุ่น 06:00 นิดๆ (จริงๆต้องถึง 06:30 แต่นักบินคงรีบคิดถึงบ้าน) ถึงปั๊บก็เช็คWifi Call Line หาแฟนพี่ทันที เพราะเขามานอน Capsule รอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ระหว่างรอแฟนพี่เราก็เดินไปเคาท์เตอร์รับตั๋ว JR East Pass ในสนามบินฮาเนดะ แต่!!!! เรามาถึงเช้าไป มันยังไม่เปิด!!! เลยตัดใจ ไปเอาที่ Tokyo Station แล้วกัน พอแฟนพี่มาถึงก็จัดการซื้อตั๋วไป Tokyo Station จริงๆถ้ารับ JR East Pass ที่นี่เลยจะไม่ต้องเสียตังค์ซื้อตั๋วเพราะมันขึ้น Tokyo Monorail ได้เลย แต่ทำไงได้ ไม่อยากเสียเวลาเลยจำใจซื้อ
ที่รับตั๋ว JR East Pass ที่สนามบินฮาเนดะ (Tokyo Monorail 2F Ticket Gate / Arrival Lobby)
ถึง Tokyo Station ก็เดินไปรับตั๋ว JR East Pass แนะนำว่าถ้าไปเองให้หา Information หรือ Counter อะไรก็ได้ที่ถามทางได้ แล้วขอแผนที่สถานีจากเขา คือมันเป็นสถานีที่ใหญ่มากกกก และเพนกวิ้นเยอะมาก เดินกันให้ควัก (ไว้ถ้าหาแผนที่เจอจากกองใบปลิวเจอจะสแกนมาลงให้นะ)
พอไปถึง JR East Counter ก็ไม่ต้องทำอะไรมากเลย บอกเขาว่าจะไปไหน แล้วเขาจะเอาตารางรถไฟให้ดู พร้อมจองที่นั่งให้เสร็จสรรพ เราเดินทางไปกับ Tohoku Shinkanzen ลงที่สถานี Shiroishizao เลย ก่อนขึ้นรถไฟก็หาข้าวปั้นในสถานีไว้ไปกินบนรถ เดินทางชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางไม่มีอะไรก็ดูทางไปเรื่อยๆ จากเมื๊องเมือง ค่อยๆชานเมืองมาเรื่อยๆ ตึกเล็กลงๆ บ้านเล็กลงๆ จนเจอทุ่งขาว แล้วก็ภูเขาหิมะไกลๆ เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงแล้ว
ไปถึงคือสถานีร้างมากกกกก หมายถึงไม่มีคนนะ แต่สภาพคือดี ไม่ขนหัวลุกแน่นอน จะรอช้าอะไรก็เริ่มเที่ยวกันเลย วันนี้จะเที่ยวในตัวเมืองชิโรอิชิกันก่อน เพราะเป็นเมืองเล็กๆ คิดว่าเดินได้ชิลๆสบายมาก เก็บกระเป๋าฝากล็อคเกอร์สถานี หยิบแผ่นพับใบปลิวทุกแผ่นที่มีในสถานีเสร็จ ก็พร้อมลุย แต่พอย่างกรายออกจากสถานีเท่านั้นแหละ โมเม้นหน้าชาบังเกิด คือมันหนาวมาก มันเย็นมาก ลมแรงมาก ปะทะหน้าทีนี่แทบจะกลับเข้าสถานีกันไม่ทัน เราใส่ไปแค่ฮีทเทคชั้นเดียว ทั้งบนล่าง เชิ้ตตัวยาว กางเกงขาสั้น รองเท้าบู้ท กับผ้าพันคอ ส่วนแม่ดีหน่อย ใส่ฮีทเทค เสื้อกันหนาวอย่างหนา เสื้อแขนยาว กางเกงยีน ถุงมือผ้าพันคอ นางครบนางไหว แต่เราอ่ะไม่ไหว! เลยเปิดล็อคเกอร์เอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่ แล้วใส่ฮีทเทคที่เป็นเลกกิ้งทับอีกชั้น ดูอุณหภูมิแม่เจ้า 9 องศา แถมลมแบบนี้ วันนี้ฉันจะรอดไหม เสียค่าล็อคเกอร์อีกรอบเลย เตรียมตัวเสร็จออกไปใหม่ค่อยดีโอเคขึ้นหน่อย ที่ๆเราจะไปมี 4 ที่ด้วยกันตามนี้
เดินค่ะวันนี้เดิน
แดดกำลังโอเค แต่ลมนี่ไม่ไหว แอบแวะเซเว่น ซื้อถุงร้อนมาใส่กระเป๋าไว้เลย
ตามทางพวกฝาท่อจะเป็นลายดอกไม้หมดเลยค่ะ คาดว่าถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ผลิน่าจะสวยมากๆเลย แถมตลอดทางยังมีร้านดอกไม้เล็กๆ เยอะแยะไปหมดเลยด้วย
ชิโรอิชิ (Shiroishi) เป็นเมืองเล็กๆอยู่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ชิโระ แปลว่าสีขาว อิชิ แปลว่าหิน น่าจะมาจากที่เมืองนี้มีภูเขาหิมะเย็น และเป็นเมืองออนเซน คนนิยมมาเล่นสกี เลยได้ชื่อนี้ (เดาเอา ฮาาา) ในแผนที่บอกว่ามีปลาคาร์ปในคลองหน้าบ้าน เราก็มองหาตลอดแต่ก็ไม่เจอซักที
มาถึงจุดหมายแรก วัดก่อนทางเข้าปราสาทชิโรอิชิ แฟนพี่ก็สอนวิธีไหว้พระของที่นี่ เริ่มแรกเจอบ่อน้ำ ให้ตักน้ำมาล้างมือ บ้วนปาก แล้วปล่อยน้ำที่เหลือไหลลงล้างด้ามจับ พูดเลยว่าสั่นระริก คืออาหาศก็หนาวแล้วไง คิดว่าเจอน้ำแบบนี้เข้าไปเป็นไงคะ ชาค่ะชา!
มาวัดญี่ปุ่นทั้งทีไม่พ้นเรื่องทำนายดวงแน่ๆ ถ้าได้โชคร้าย เขาจะผูกไว้กันราวใต้ต้นไม้ในวัด เหมือนที่พี่ไทยเราจะไม่เอาใบคำทำนายที่ไม่ดีกลับไปนั่นแหละค่ะ โดยสมัยนี้เขาก็มีทั้งเสี่ยงทายทั้งแบบ หยิบเอง แบบตู้กดเลย
ปราสาทชิโรอิชิ เป็นปราสาทซามูไรค่ะ สามารถขึ้นไปชมได้ เสียค่าเข้าประมาณ 300 เยน ถ้าจำไม่ผิดนะ
วิวเมืองจากชั้นบนสุดของปราสาท
อีกฝั่งเป็นภูเขา
ต่อไปเป็นบ้านซามูไรค่ะ คนละ 300 เยนเหมือนกัน เป็นที่ฝึกของซามูไรสมัยก่อน ด้านหน้ามีบอนไซมากมาย คุณลุงประจำป้อมใจดีมาก ถ่ายรูปให้ด้วย แถมมีป้ายภาษาไทยแปะไว้ด้วยนะคะ
เดินไปเรื่อยๆจะเจอต้นลูกพลับเป็นระยะๆค่ะ แต่เขายังโตไม่เต็มที่ ที่โตเต็มที่ก็คงถูกเก็บไปหมดแล้ว
และในที่สุดเราก็เจอปลาคาร์ป หรือภาษาญี่ปุ่น Koi ค่ะ!!!! คือน้ำใสมากจริงๆ
พอไปถึง Doll Warehouse โกดังแรกไม่เท่าไหร่นะค่ะ ก็จะมีพวกของเล่นสมัยก่อนให้รำลึกถึงอดีตกันเบาๆ แต่โกดังที่สองชั้นสองเป็นที่เก็บตุ๊กตาแบบที่ทำเหมือนคนจริงๆ ตาโตๆอ่ะ เรามิไหว เรามิกล้า หลอน เลยไม่ได้ขึ้นไปดู พอออกมาเดินไปเรื่อยสุดท้ายท้าลมหนาวไม่ไหวบวกกับมันเริ่มมืด หิวแล้วด้วยเลยไม่ได้ไป sumaru house แต่เบนเข็มไปหาของกินแทน