ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุย เมียนม่าร์ ตอนที่ 9 ย่างกุ้ง
ก็อย่างที่บอก คนเมียนม่าร์พูดคำไหนคำนั้น เขาพาเราไปส่งที่เกสต์เฮ้าส์ Okinawa ในย่านญี่ปุ่น ซึ่ง 2 แห่งเจ้าของเดีวกัน ห้องที่มีห้องน้ำในตัวเต็มหมดแล้ว ต้องใช้ห้องน้ำรวม วันต่อไปห้องที่มีห้องน้ำในตัวจะว่าง ห้องสะอาด มีแอร์และมีมุ้งกันยุงด้วย คืนแรกเราจ่าย 25 ดอลลาร์ อีก 3 คืนต่อมาคืนละ 30 ดอลลาร์
อาหารค่ำก่อนเข้านอน คืนวันเสาร์พอจะมีข้าวขาย แต่เป็นข้าวคลุกน้ำมัน กับเกลือและผงชูรส รสชาติเค็มและเลี่ยน กับข้าวก็เป็นประเภทเดียวกัน เหมือนกันทุกร้าน ร้านที่เราเลือกดูสะอาด และพอจะพูดกันรู้เรื่อง พอกินข้าวเสร็จต้องรีบหาน้ำอัดลมดื่มแก้เลี่ยน และดับกระหาย ของที่หาง่ายที่สุดคือหมากและบุหรี่ มีอยู่ทั้งหัวถนน กลางทาง และท้ายถนน
เราผ่านคืนนั้นไปด้วยดี ตอนเช้าทางเกสต์เฮ้าส์ มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่เรารีบไปสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้ง เป็นรถขบวน 6.00 น. ตอนที่ซื้อตั๋วเราถามพนักงานขายตั๋วว่า รถเข้ารางไหน ซึ่งเขาก็ชี้ให้เราดูว่าเราจะต้องรอตรงไหน เราได้เห็นน้ำใจของคนย่างกุ้ง ที่เขาก็จะไปขบวนเดียวกับเรา เขาชวนเราเดินข้ามรางไปอีกด้านหนึ่ง แต่เราเชื่อพนักงานขายตั๋วที่ชี้รางตรงหน้า พนักงานขายตั๋วมองอยู่ เพราะเราถามเขา เมื่อมีรถไฟเข้ามาว่าใช่มั้ย เขาจึงบอกว่า รถไฟรอบเมืองเข้ารางโน้ น เราจึงเดินตามเขาไปแล้วขอบคุณเขา เขายิ้มแล้ว ถามว่า ไท้แลน? เมื่อเราตอบรับเขาก็พูดภาษาพม่า แล้วต่างคนต่างก็ฟังกันไม้รู้เรื่องอีกต่อไป555555
รถไฟสายรอบเมืองคล้ายๆ กับรถ MRT หรือ BTS ในกรุงเทพฯ แต่บันไดขึ้น ลง กว้างขวาง แตกต่างจากรถไฟทั่วไปในเมียนม่าร์ ที่บันไดอาจมี 2 หรือ 3 ขั้นตรงกัน และหลุบอยู่แนวเดียวกับตัวรถ เวลาขึ้น ลงต้องโหน ใช้เวลานั่งรอบเมือง 3 ชม. ค่าโดยสารคนละ 200 จั๊ท ประมาณ 7 บาท รถวิ่งโคลงเคลง เพราะ สภาพราง แต่ไม่โดด เด้ง เพราะวิ่งไม่เร็ว
พนักงานรถไฟที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ เห็นเราเป็นโยเดีย ไปนั่งคุยกับเรา รู้บ้างไม่รู้บ้าง เขาใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่งลายสวมรองเท้าแตะคีบ ป้าเล็งสาวสวยที่ขึ้นมาใหม่ ท่าทางจะมีการศึกษา รอโอกาสเจรจาเมื่อสบโอกาส ที่ผู้โดยสารข้างเธอลงรถไป ป้าจึงเดินไปทำความคุ้นเคย และสอบถามข้อมูลที่ต้องการ โชคดีมากเธอเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง วิชาเอกภาษาอังกฤษ จึงได้ข้อมูลมากมาย ก่อนที่เธอจะลงรถจากไป ด้วยข้อมูลจากน้องมีโย ทำให้เราตกลงใจว่า เราจะไปตลาดเลดันนอกเมืองก่อน
บนรถไฟ เมียนมาร์ผู้ชายขายหมาก ผู้หญิงขายของหนัก แม่ค้าขายหมี่คลุกบนรถไฟ คลุกหมี่ส่งลูกค้าเสร็จแล้ว บ้วนน้ำหมากไปที่บันไดรถไฟ ลุงบอกให้ไปตรวจดูว่าเลอะมั้ย....ผ่านอะ! ฟิสิกส์เต็ม เพราะคำนวณวิถีโค้งได้สุดยอด555555 มีเรื่องฮาทุกที่เลยทีเดียว!
เรานั่งรถไฟครบรอบ แล้วนั่งย้อนกลับอีกครึ่งรอบ ลงใกล้ตลาดเลดัน แล้วเดินไปต่อที่ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง จากนั้นก็จ้างแท็กซี่ไปส่งบ้านออง ซาน ซูจี แวะถ่ายภาพหน้าประตู แต่ยามไม่ให้เข้าไปข้างใน
กลับมาหน้ามหาวิทยาลัยย่างกุ้งเห็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่ง คีบแตะ และกางร่ม เคี้ยวหมาก เดินเลี้ยวมุมรั้วตรงป้ายมหาวิทยาลัย เราเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงขอให้เขาช่วยถ่ายภาพหน้ามหาวิทยาลัยให้ ปรากฏว่าเขาเป็นอาจารย์จริงๆ เขาสอนฟิสิกส์ เหมือนลุงเลย! ชื่ออาจารย์เมียว ออง
เรากินมื้อกลางวันในมหาวิทยาลัย แล้วถือโอกาสหย่อนระเบิดระบายท้องที่นั่นด้วย คุ้มมาก! แต่กว่าจะถึงกิจกรรมเหล่านั้น เราก็นั่งรถไฟเกินรอบต้องลงซื้อตั๋วกลางทาง โดยความช่วยเหลือของสาวมี่มีการศึกษาอีกคน โดยที่พนักงานรถไฟคนนั้นไม่สามารถแนะนำอะไรเราได้เลย เพราะเขาฟังรู้เรื่องแต่พูดไม่ได้เรื่อง เธอพาเราลงรถที่สถานีแห่งหนึ่ง และเจรจาซื้อตั๋วให้เรา แล้วให้เราข้ามรางรถไฟไปรออีกด้านหนึ่งโดยบอกเวลารถเข้าให้เรา ก่อนที่จะจากไป ในขณะที่รอป้าปวดฉี่จึงเดินไปหาห้องน้ำ แต่ไม่มีบ้านหรือร้านค้าไหนให้ใช้บริการ ส่วนลุงไปแอบปลดทุกข์ข้างหลังต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ป้าต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปจนถึงเวลาขึ้นรถไฟ จนไปตลาดเลดัน จึงมีที่ปลดทุกข์ที่ตลาด
เราเดินจากมหาวิทยาลัย มาต่อรถเมล์ที่ตลาดเลดันเข้าเมือง แล้วต่อรถไป ที่เจดีย์ปาโทตวง จากนั้นไปที่ท่าน้ำ เพื่อจะข้ามฝั่งไปชมวิถีชีวิตเมียนมาร์อีกฝั่งหนึ่ง จะไปกับเรือโดยสารของชาวบ้าน แต่เจ้าของเรือท่องเที่ยวมาขวางไว้ จะให้เหมาเรือ เราจึงไม่ไป เปลี่ยนเป็นนั่งรถเมล์ไปเจดีย์ชะเวดากอง
ค่ารถเมล์ ถ้าที่นั่งเป็นไม้ 100 จั๊ด(3.25 บาท) ที่นั่งเป็นเบาะ 200 จั๊ด(7 บาท) กระเป๋ารถเมล์
รองเท้ายอดฮิต คือรองเท้าแตะแบบคีบ คัตชูขายยากมาก เพราะแม้แต่จนท.ของรัฐ ก็ใส่แตะคีบเหมือนกัน
โยเดียงง! ตอนขึ้นชะเวดากอง ลุงปวดฉี่ เดินหาห้องน้ำ เห็นป้าย Male & Female และเห็นคนเดินตามกันเข้าไป ก็ขอเงินจั๊ทเล็กๆจากป้า เป็นค่าใช้ห้องน้ำ เดินตามเขาไปที่ช่องขายตั๋ว ปรากฏว่า เขาไม่ได้เข้าห้องน้ำกัน แต่เขาจะขึ้นไปดูทิวทัศน์ที่บนหอคอย มิน่าล่ะ....มีเครื่องสแกนราวกับจะขึ้นเครื่องทีเดียว
ก่อนเข้าถึงบริเวณเจดีย์มีการสแกนเช่นเดียวกัน ลุงหันมามองหน้า ลองดูซิว่ามีดปอกผลไม้ของเราจะแผลงฤทธิ์มั้ย....อ้าว! ไม่ร้อง....โยเดียงง....ตกลงสแกนหาอะไร?
เจดีย์ชเวดากองและองค์ประกอบของเจดีย์ ใหญ่โตมากกว่าที่คิดไว้ กว่าจะเดินขึ้นบันไดไปถึงฐานเจดีย์ เล่นเอาหอบซี่โครงบาน ได้เดินชมโดยรอบอย่างคุ้มค่า
ตอนลงจากเจดีย์ ขณะที่ป้ากำลังสวมถุงเท้า มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องเอะอะได้ยินคล้ายๆว่า "มาทำไม ๆๆ" แล้วชี้ที่ผ้าถุงในมือ ป้าคิดว่า เธอเอ็ดที่เห็นว่าพอออกจากเขตหวงห้ามก็แกะขอที่เอวแล้วถอดผ้าซิ่นออกพับหนีบไว้ที่จั๊กแร้ คงไม่สุภาพมั้ง! เธอยังไม่หยุดส่งเสียงและชี้ ลุงก็พลอยงงไปด้วย...ป้าแก้ไขสถานการณ์โดยตัดสินใจพูดว่า From Thailand อ้าว! ทำหน้างงอีก...เอาไงดีเรา....We're โยเดีย. จบไปได้ เธอยิ้มแสดงความเข้าใจ
อ๋อๆๆ โยเดีย ที่แท้เธอถามว่า ไปซื้อโสร่งสวยๆ นี่มาจากไหน? ลุงระเบิดเสียงหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่จนน้ำหูน้ำตาไหล....มาทำไม?5555555
เป็นอีก 1 เรื่อง คือ เมื่อไรก็ตามที่เขาไม่รู้จักคำว่า ไทยแลนด์ ให้พูดว่า โยเดีย คนเมียนม่าร์ที่ไม่รู้หนังสือส่วนใหญ่รู้จักแต่โยเดีย ไม่รู้จักประเทศไทย อีกเรื่องคือ กดชัตเตอร์ ถ่ายภาพรอบเจดีย์ชะเวดากอง ลุงกับป้าผลัดกันถ่าย แหม่มสาวชาวเยอรมันใจดีอาสากดให้เราถ่ายภาพคู่ พอเธอถ่ายให้เราเสร็จจึงอาสาถ่ายให้พวกเธอบ้าง หาจุดที่จะได้ยอดเจดีย์ทั้งนั่งทั้งนอนพอได้ที่ก็นับ 1-2-3 ชีส แต่ชัตเตอร์ก็กดไม่ลง นับใหม่อีกแหม่มก็โพสต์ท่าสุดฤทธิ์ยังกดไม่ลงอีกแหม่มจึงเดินมาชี้ปุ่มชัตเตอร์ใหม่...อ้าว....แฮ่ๆ...โยเดียกดผิดที่นี่เอง!
เรากลับมาซูเลย์ใกล้ที่พัก ถามตำรวจว่า ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ รถสายไหน คำตอบคือ 51 ให้เราเดินทะลุไปอีกด้านของซอย เจอรถเมล์ ถามกระเป๋า บอกให้ไปที่ถนนซูเล่ แต่เราไม่เชื่อ มองหาคนที่ท่าทางสื่อสารได้ เขาบอกว่าเข้าป้ายนี้แหละ เราจึงขอให้เขาเขียนเลข 51 พม่าให้ดู รถมาพอดี เราขอบคุณแล้ววิ่งตามรถเรา ต้องกระโดดขึ้นจึงสำเร็จ ตอนจะจ่ายเงิน ให้กระเป๋าดูแผนที่ กระเป๋าใบ้กิน พอดีคนนั่งเบาะถัดไปบอกว่า โอพิวโร้ด! มิวเซียม....พอถึงป้ายเขาตะโกนบอก เรารีบลุก พุ่งไปที่ทางออก เพราะกระเป๋าฯในกรุงย่างกุ้งจะต้อนคนขึ้นไล่คนลง คนขับก็กระชากออก และเบรคจอดแบบหัวทิ่มทุกป้าย....อย่างไรก็ตาม เขายังตามดูและชี้ทางที่จะไปให้เราอยู่ดี
พอไปถึงเจอป้ายบอกว่า หยุดทุกวันจันทร์ แหม่มฟินแลนด์ที่ตามเรามา 2 คนกำลังจะเลี้ยวเข้าประตู เราจึงร้องบอกว่าวันนี้ปิด พอเราชี้ให้ดูป้ายก็ออกอาการผิดหวัง เราจึงขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แล้วหาที่นั่งบันทึก ยังไม่ทันนั่ง ครอบครัวพ่อแม่ลูกจากเยอรมันนี 5 คน ก็เดินไปถึง เราจึงบอกว่าป้ายบอกว่าปิดวันจันทร์ เขาถามเราว่าเชื่อได้จริงเหรอ เราจะลองเข้าไปใช่ไหมเราบอกว่าไม่ เขาว่าเขาจะลอง เราเลยบอกว่า งั้นพวกคุณนำร่องละกัน ถ้าพวกคุณหายไปพวกเราจะตามไป พวกเขากลับมาภายในเวลาครึ่งนาที ส่ายหน้าแล้วทำท่าผิดหวัง พบชาวต่างชาติ เดินกางแผนที่ออกมาอีกคน
การที่เราไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ใช่จะไม่ดีไปเสียหมด เพราะสิ่งที่เราได้ทดแทนคือ การได้พบคุณมินต์นักท่องเที่ยวชาวไทยจากคลองตัน ที่มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศส แนะนำการการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปเป้าหมายแบ็คแพ็คกิ้งต่อจากเอเชีย ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเรา
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุย เมียนม่าร์ ตอนที่ 9 ย่างกุ้ง
ก็อย่างที่บอก คนเมียนม่าร์พูดคำไหนคำนั้น เขาพาเราไปส่งที่เกสต์เฮ้าส์ Okinawa ในย่านญี่ปุ่น ซึ่ง 2 แห่งเจ้าของเดีวกัน ห้องที่มีห้องน้ำในตัวเต็มหมดแล้ว ต้องใช้ห้องน้ำรวม วันต่อไปห้องที่มีห้องน้ำในตัวจะว่าง ห้องสะอาด มีแอร์และมีมุ้งกันยุงด้วย คืนแรกเราจ่าย 25 ดอลลาร์ อีก 3 คืนต่อมาคืนละ 30 ดอลลาร์
อาหารค่ำก่อนเข้านอน คืนวันเสาร์พอจะมีข้าวขาย แต่เป็นข้าวคลุกน้ำมัน กับเกลือและผงชูรส รสชาติเค็มและเลี่ยน กับข้าวก็เป็นประเภทเดียวกัน เหมือนกันทุกร้าน ร้านที่เราเลือกดูสะอาด และพอจะพูดกันรู้เรื่อง พอกินข้าวเสร็จต้องรีบหาน้ำอัดลมดื่มแก้เลี่ยน และดับกระหาย ของที่หาง่ายที่สุดคือหมากและบุหรี่ มีอยู่ทั้งหัวถนน กลางทาง และท้ายถนน
เราผ่านคืนนั้นไปด้วยดี ตอนเช้าทางเกสต์เฮ้าส์ มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่เรารีบไปสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้ง เป็นรถขบวน 6.00 น. ตอนที่ซื้อตั๋วเราถามพนักงานขายตั๋วว่า รถเข้ารางไหน ซึ่งเขาก็ชี้ให้เราดูว่าเราจะต้องรอตรงไหน เราได้เห็นน้ำใจของคนย่างกุ้ง ที่เขาก็จะไปขบวนเดียวกับเรา เขาชวนเราเดินข้ามรางไปอีกด้านหนึ่ง แต่เราเชื่อพนักงานขายตั๋วที่ชี้รางตรงหน้า พนักงานขายตั๋วมองอยู่ เพราะเราถามเขา เมื่อมีรถไฟเข้ามาว่าใช่มั้ย เขาจึงบอกว่า รถไฟรอบเมืองเข้ารางโน้ น เราจึงเดินตามเขาไปแล้วขอบคุณเขา เขายิ้มแล้ว ถามว่า ไท้แลน? เมื่อเราตอบรับเขาก็พูดภาษาพม่า แล้วต่างคนต่างก็ฟังกันไม้รู้เรื่องอีกต่อไป555555
รถไฟสายรอบเมืองคล้ายๆ กับรถ MRT หรือ BTS ในกรุงเทพฯ แต่บันไดขึ้น ลง กว้างขวาง แตกต่างจากรถไฟทั่วไปในเมียนม่าร์ ที่บันไดอาจมี 2 หรือ 3 ขั้นตรงกัน และหลุบอยู่แนวเดียวกับตัวรถ เวลาขึ้น ลงต้องโหน ใช้เวลานั่งรอบเมือง 3 ชม. ค่าโดยสารคนละ 200 จั๊ท ประมาณ 7 บาท รถวิ่งโคลงเคลง เพราะ สภาพราง แต่ไม่โดด เด้ง เพราะวิ่งไม่เร็ว
พนักงานรถไฟที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ เห็นเราเป็นโยเดีย ไปนั่งคุยกับเรา รู้บ้างไม่รู้บ้าง เขาใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่งลายสวมรองเท้าแตะคีบ ป้าเล็งสาวสวยที่ขึ้นมาใหม่ ท่าทางจะมีการศึกษา รอโอกาสเจรจาเมื่อสบโอกาส ที่ผู้โดยสารข้างเธอลงรถไป ป้าจึงเดินไปทำความคุ้นเคย และสอบถามข้อมูลที่ต้องการ โชคดีมากเธอเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง วิชาเอกภาษาอังกฤษ จึงได้ข้อมูลมากมาย ก่อนที่เธอจะลงรถจากไป ด้วยข้อมูลจากน้องมีโย ทำให้เราตกลงใจว่า เราจะไปตลาดเลดันนอกเมืองก่อน
บนรถไฟ เมียนมาร์ผู้ชายขายหมาก ผู้หญิงขายของหนัก แม่ค้าขายหมี่คลุกบนรถไฟ คลุกหมี่ส่งลูกค้าเสร็จแล้ว บ้วนน้ำหมากไปที่บันไดรถไฟ ลุงบอกให้ไปตรวจดูว่าเลอะมั้ย....ผ่านอะ! ฟิสิกส์เต็ม เพราะคำนวณวิถีโค้งได้สุดยอด555555 มีเรื่องฮาทุกที่เลยทีเดียว!
เรานั่งรถไฟครบรอบ แล้วนั่งย้อนกลับอีกครึ่งรอบ ลงใกล้ตลาดเลดัน แล้วเดินไปต่อที่ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง จากนั้นก็จ้างแท็กซี่ไปส่งบ้านออง ซาน ซูจี แวะถ่ายภาพหน้าประตู แต่ยามไม่ให้เข้าไปข้างใน
กลับมาหน้ามหาวิทยาลัยย่างกุ้งเห็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ต นุ่งโสร่ง คีบแตะ และกางร่ม เคี้ยวหมาก เดินเลี้ยวมุมรั้วตรงป้ายมหาวิทยาลัย เราเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงขอให้เขาช่วยถ่ายภาพหน้ามหาวิทยาลัยให้ ปรากฏว่าเขาเป็นอาจารย์จริงๆ เขาสอนฟิสิกส์ เหมือนลุงเลย! ชื่ออาจารย์เมียว ออง
เรากินมื้อกลางวันในมหาวิทยาลัย แล้วถือโอกาสหย่อนระเบิดระบายท้องที่นั่นด้วย คุ้มมาก! แต่กว่าจะถึงกิจกรรมเหล่านั้น เราก็นั่งรถไฟเกินรอบต้องลงซื้อตั๋วกลางทาง โดยความช่วยเหลือของสาวมี่มีการศึกษาอีกคน โดยที่พนักงานรถไฟคนนั้นไม่สามารถแนะนำอะไรเราได้เลย เพราะเขาฟังรู้เรื่องแต่พูดไม่ได้เรื่อง เธอพาเราลงรถที่สถานีแห่งหนึ่ง และเจรจาซื้อตั๋วให้เรา แล้วให้เราข้ามรางรถไฟไปรออีกด้านหนึ่งโดยบอกเวลารถเข้าให้เรา ก่อนที่จะจากไป ในขณะที่รอป้าปวดฉี่จึงเดินไปหาห้องน้ำ แต่ไม่มีบ้านหรือร้านค้าไหนให้ใช้บริการ ส่วนลุงไปแอบปลดทุกข์ข้างหลังต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ป้าต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปจนถึงเวลาขึ้นรถไฟ จนไปตลาดเลดัน จึงมีที่ปลดทุกข์ที่ตลาด
เราเดินจากมหาวิทยาลัย มาต่อรถเมล์ที่ตลาดเลดันเข้าเมือง แล้วต่อรถไป ที่เจดีย์ปาโทตวง จากนั้นไปที่ท่าน้ำ เพื่อจะข้ามฝั่งไปชมวิถีชีวิตเมียนมาร์อีกฝั่งหนึ่ง จะไปกับเรือโดยสารของชาวบ้าน แต่เจ้าของเรือท่องเที่ยวมาขวางไว้ จะให้เหมาเรือ เราจึงไม่ไป เปลี่ยนเป็นนั่งรถเมล์ไปเจดีย์ชะเวดากอง
ค่ารถเมล์ ถ้าที่นั่งเป็นไม้ 100 จั๊ด(3.25 บาท) ที่นั่งเป็นเบาะ 200 จั๊ด(7 บาท) กระเป๋ารถเมล์
รองเท้ายอดฮิต คือรองเท้าแตะแบบคีบ คัตชูขายยากมาก เพราะแม้แต่จนท.ของรัฐ ก็ใส่แตะคีบเหมือนกัน
โยเดียงง! ตอนขึ้นชะเวดากอง ลุงปวดฉี่ เดินหาห้องน้ำ เห็นป้าย Male & Female และเห็นคนเดินตามกันเข้าไป ก็ขอเงินจั๊ทเล็กๆจากป้า เป็นค่าใช้ห้องน้ำ เดินตามเขาไปที่ช่องขายตั๋ว ปรากฏว่า เขาไม่ได้เข้าห้องน้ำกัน แต่เขาจะขึ้นไปดูทิวทัศน์ที่บนหอคอย มิน่าล่ะ....มีเครื่องสแกนราวกับจะขึ้นเครื่องทีเดียว
ก่อนเข้าถึงบริเวณเจดีย์มีการสแกนเช่นเดียวกัน ลุงหันมามองหน้า ลองดูซิว่ามีดปอกผลไม้ของเราจะแผลงฤทธิ์มั้ย....อ้าว! ไม่ร้อง....โยเดียงง....ตกลงสแกนหาอะไร?
เจดีย์ชเวดากองและองค์ประกอบของเจดีย์ ใหญ่โตมากกว่าที่คิดไว้ กว่าจะเดินขึ้นบันไดไปถึงฐานเจดีย์ เล่นเอาหอบซี่โครงบาน ได้เดินชมโดยรอบอย่างคุ้มค่า
ตอนลงจากเจดีย์ ขณะที่ป้ากำลังสวมถุงเท้า มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องเอะอะได้ยินคล้ายๆว่า "มาทำไม ๆๆ" แล้วชี้ที่ผ้าถุงในมือ ป้าคิดว่า เธอเอ็ดที่เห็นว่าพอออกจากเขตหวงห้ามก็แกะขอที่เอวแล้วถอดผ้าซิ่นออกพับหนีบไว้ที่จั๊กแร้ คงไม่สุภาพมั้ง! เธอยังไม่หยุดส่งเสียงและชี้ ลุงก็พลอยงงไปด้วย...ป้าแก้ไขสถานการณ์โดยตัดสินใจพูดว่า From Thailand อ้าว! ทำหน้างงอีก...เอาไงดีเรา....We're โยเดีย. จบไปได้ เธอยิ้มแสดงความเข้าใจ
อ๋อๆๆ โยเดีย ที่แท้เธอถามว่า ไปซื้อโสร่งสวยๆ นี่มาจากไหน? ลุงระเบิดเสียงหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่จนน้ำหูน้ำตาไหล....มาทำไม?5555555
เป็นอีก 1 เรื่อง คือ เมื่อไรก็ตามที่เขาไม่รู้จักคำว่า ไทยแลนด์ ให้พูดว่า โยเดีย คนเมียนม่าร์ที่ไม่รู้หนังสือส่วนใหญ่รู้จักแต่โยเดีย ไม่รู้จักประเทศไทย อีกเรื่องคือ กดชัตเตอร์ ถ่ายภาพรอบเจดีย์ชะเวดากอง ลุงกับป้าผลัดกันถ่าย แหม่มสาวชาวเยอรมันใจดีอาสากดให้เราถ่ายภาพคู่ พอเธอถ่ายให้เราเสร็จจึงอาสาถ่ายให้พวกเธอบ้าง หาจุดที่จะได้ยอดเจดีย์ทั้งนั่งทั้งนอนพอได้ที่ก็นับ 1-2-3 ชีส แต่ชัตเตอร์ก็กดไม่ลง นับใหม่อีกแหม่มก็โพสต์ท่าสุดฤทธิ์ยังกดไม่ลงอีกแหม่มจึงเดินมาชี้ปุ่มชัตเตอร์ใหม่...อ้าว....แฮ่ๆ...โยเดียกดผิดที่นี่เอง!
เรากลับมาซูเลย์ใกล้ที่พัก ถามตำรวจว่า ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ รถสายไหน คำตอบคือ 51 ให้เราเดินทะลุไปอีกด้านของซอย เจอรถเมล์ ถามกระเป๋า บอกให้ไปที่ถนนซูเล่ แต่เราไม่เชื่อ มองหาคนที่ท่าทางสื่อสารได้ เขาบอกว่าเข้าป้ายนี้แหละ เราจึงขอให้เขาเขียนเลข 51 พม่าให้ดู รถมาพอดี เราขอบคุณแล้ววิ่งตามรถเรา ต้องกระโดดขึ้นจึงสำเร็จ ตอนจะจ่ายเงิน ให้กระเป๋าดูแผนที่ กระเป๋าใบ้กิน พอดีคนนั่งเบาะถัดไปบอกว่า โอพิวโร้ด! มิวเซียม....พอถึงป้ายเขาตะโกนบอก เรารีบลุก พุ่งไปที่ทางออก เพราะกระเป๋าฯในกรุงย่างกุ้งจะต้อนคนขึ้นไล่คนลง คนขับก็กระชากออก และเบรคจอดแบบหัวทิ่มทุกป้าย....อย่างไรก็ตาม เขายังตามดูและชี้ทางที่จะไปให้เราอยู่ดี
พอไปถึงเจอป้ายบอกว่า หยุดทุกวันจันทร์ แหม่มฟินแลนด์ที่ตามเรามา 2 คนกำลังจะเลี้ยวเข้าประตู เราจึงร้องบอกว่าวันนี้ปิด พอเราชี้ให้ดูป้ายก็ออกอาการผิดหวัง เราจึงขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แล้วหาที่นั่งบันทึก ยังไม่ทันนั่ง ครอบครัวพ่อแม่ลูกจากเยอรมันนี 5 คน ก็เดินไปถึง เราจึงบอกว่าป้ายบอกว่าปิดวันจันทร์ เขาถามเราว่าเชื่อได้จริงเหรอ เราจะลองเข้าไปใช่ไหมเราบอกว่าไม่ เขาว่าเขาจะลอง เราเลยบอกว่า งั้นพวกคุณนำร่องละกัน ถ้าพวกคุณหายไปพวกเราจะตามไป พวกเขากลับมาภายในเวลาครึ่งนาที ส่ายหน้าแล้วทำท่าผิดหวัง พบชาวต่างชาติ เดินกางแผนที่ออกมาอีกคน
การที่เราไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ใช่จะไม่ดีไปเสียหมด เพราะสิ่งที่เราได้ทดแทนคือ การได้พบคุณมินต์นักท่องเที่ยวชาวไทยจากคลองตัน ที่มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศส แนะนำการการเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปเป้าหมายแบ็คแพ็คกิ้งต่อจากเอเชีย ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเรา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น