สวัสดีครับ
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1229 - 1230 ประจำวันที่ 18 และ 25 ธันวาคม 2558
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ในสัปดาห์นี้ ได้จะพาท่านไปรู้จักกับนางเอกของละครที่กลายหนัง “มัดหมี่” พิมดาว พานิชสมัย” จากหนังไทย ที่เคยเกือบจะเป็นละคร เรื่อง “พันท้ายนรสิงห์” ผลงานของผู้กำกับระดับตำนานของเมืองไทย “ท่านมุ้ย” หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” สังกัด “พร้อมมิตรโปรดักชั่น” ค่าย “สหมงคลฟิล์ม”
Mr. Coffee : อยากให้เล่าที่มาของการได้เข้ามาเป็นนักแสดงนำ
มัดหมี่ : เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตเลยค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเคยเล่นละครเวทีมาเรื่องหนึ่งคือ “สี่แผ่นดิน” ค่ะ หม่อมบี๋ กมลา ยุคล ณ อยุธยา เห็นรูปมัดหมี่ในนิตยสาร “ดิฉัน” แล้วท่านก็ให้เลขาติดต่อคุณแม่ของมัดหมี่ คุณแม่ก็บอกว่า “ลูก เขาอยากให้ลูกไปแคส บทนวล พันท้ายนรสิงห์ ของท่านมุ้ย” มัดหมี่ก็ตกใจว่าของท่านมุ้ยเลยหรอ เพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านมุ้ยทำ “สุริโยทัย” ทำ “นเศวร” มัดหมี่ได้ดูมาตลอด เป็นแฟนหนังของท่านเหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่าน่าลอง เกิดมาไม่เคย Acting ไม่เคยแสดงที่ไหนเลย ก็เลยไปลองดู ตอนนั้นเขาก็ให้บทมา ให้ถ่ายรูป ตามขั้นตอนเลยค่ะ วันนั้นจริงๆ ไม่ได้มีแค่มัดหมี่นะคะ มีอีกหลายคนที่ไปแคส เราก็ไม่ได้หวังอะไร ท่านมุ้ยบอกว่าชอบเพราะว่าใหม่ สดใหม่ ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน แล้วก็หน้าไทย ไม่ต้องศัลยกรรม อันนี้หม่อมบอก แล้วท่านมุ้ยก็บอกว่าอยากปั้นมัดหมี่ และถามว่าเราทำอะไรได้บ้าง เราก็บอกว่าเราเรียนจบร้องเพลงมา ท่านก็บอกว่าน่าสนใจ จริงๆ ก่อนหน้านั้นมัดหมี่เคยสังกัด RS มาก่อน แล้วปัจจุบันเป็น Grammy ชีวิตหนึ่งมันก็ต้องลองผิดลองถูกค่ะ ความฝันของเราคือนักร้องอยู่แล้ว ศิลปิน ชอบแต่งเพลง ร้องเพลง ตรงนี้เหมือนเป็นใบเบิกทางด้านการแสดงครั้งแรกของมัดหมี่ ไม่เคยมีใครมาติดต่อ ก็เลยมาลองแคสดู พอได้ปุ๊บก็ดีใจมาก เพราะเราไม่มีพื้นฐานด้านการแสดงนะตอนนั้น จำได้ว่าเค้าติดต่อมาก่อนละครเวทีอีกค่ะ มาอีกทีก็เริ่มถ่ายทำเลย ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 11 เดือนค่ะ นับช่วงที่หยุดไปด้วย การทำงานก็สุดยอดมาก กลายเป็นว่าทั้งเต้ยและมัดหมี่ได้ทำงานเป็นเรื่องแรกร่วมกับท่านมุ้ยทั้งคู่ ใช่ค่ะ ท่านมุ้ยบอกว่ามัดหมี่ทำให้ท่านมุ้ยนึกถึงนันทนา เงากระจ่าง นางเอก “แผลเก่า”
Mr. Coffee : เคยรู้จักเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ มาก่อนหน้านี้มากน้อยแค่ไหน
มัดหมี่ : รู้จักแต่ไม่ลึกค่ะ อาจจะเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่รู้ว่าพันท้ายนรสิงห์ ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องตามประเพณี คือให้ประหารชีวิต เพราะคัดท้ายเรือไปชนจนหัวเรือหัก ก็รู้แค่นั้นค่ะ
Mr. Coffee : เล่าถึงบทบาทของ “นวล” ที่มัดหมี่ได้รับ
มัดหมี่ : ตอนเห็นบทครั้งแรกก็รู้สึกว่า “นวล” เก่งเนอะ ทำได้ทุกอย่างจริงๆ และรู้สึกว่าเราต้องเรียนเพิ่มเติมเยอะมาก ต้องเรียนทำอาหารด้วย เพราะมัดหมี่ทำไม่เป็น และเคยได้ยินมาว่าแม่นวลกับพ่อสิงห์รักกันมาก เป็นความรักที่บริสุทธิ์ พออ่านแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือมัดหมี่ว่าคนสมัยก่อนไม่ซับซ้อนเท่าคนสมัยนี้ ความรักคือ Pure Love คือรักบริสุทธิ์จริงๆ สมัยนี้ยังมีไม่กล้าพูด สมัยนั้นอยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้หมดเลย และก็มีความกตัญญู
Mr. Coffee : แล้วบทของนวลกับตัวจริงของมัดหมี่ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไงบ้าง
มัดหมี่ : แตกต่างหันมากพอสมควรเลยค่ะ เวลาตั้ง 300 กว่าปี มัดหมี่ก็คนสมัยปัจจุบัน แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันเลยคือความรักชาติกับความรักในพระมหากษัตริย์ อีกอย่างก็รักเพื่อนฝูง รักเดียวใจเดียว อันนี้เป็น (หัวเราะ) แต่ที่รู้สึกว่าไกลตัวมากคือสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมด เช่น ขี่ควาย พายเรือ ฝัดข้าว ทำกับข้าว ขี่ม้า ร้องเพลงฉ่อย อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ คือ เป็นผู้หญิงที่แกร่ง กะโปโลด้วยนะคะ อาจจะใกล้เคียงนิดนึงเรื่องกะโปโล แต่พอมาเป็นบทที่เข้าพระเข้านาง ความรักจริงๆ ก็ยากเหมือนกัน เพราะว่าใหม่ทั้งคู่ ก็กล้าๆ กลัวๆ ท่านมุ้ยก็เลยบอกว่าให้ทำความสนิทสนมกับเต้ยไว้ มีอะไรก็ให้คุยกัน นั่งทานข้าวก็ทานด้วยกัน เวลาเล่นจะได้ไม่เขิน ไม่อาย ต้องให้ตัวเองเชื่อ ถ้าตัวเองยังไม่เชื่อ ตายเลย คนดูไม่มีทางเชื่อแน่
Mr. Coffee : อยากให้เล่าถึงบรรยากาศในกองเมื่อต้องเข้าฉากกับนักแสดงอาวุโส
มัดหมี่ : มีเกร็งนิดนึงเหมือนกันค่ะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะผ่านละครเวทีมา เพราะการเล่นก็ไม่เหมือนกัน เพราะละครเวทีเราเล่นใหญ่ แบบบัตร 500 บาทต้องสุดๆ แต่หนังนี่คือธรรมชาติล้วนๆ ช่วงแรกหม่อมบอกว่า ดุไปนะ ท่าตกใจก็ตกใจปกติสิ ไม่ต้องตกใจแบบ Overaction ก็ต้องปรับตัว แต่โชคดีที่อาเอก สรพงศ์ ผู้พันเบิร์ด อาหนิง นิรุต อาจิ๊ก เนาวรัตน์ และอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ คือเขาเป็น Professional สุดยอดอยู่แล้ว ตอนแรกๆ ที่เล่นกับเขา มัดหมี่อาจจะเกร็ง แต่ต่อมามัดหมี่บอกกับตัวเองว่าถ้ายิ่งเกร็งจะยิ่งแย่ ตัวละครจะไม่เกิด มัดหมี่เลยตัดไปเลยว่า ใครจะเป็นอะไรไม่สนแล้ว มัดหมี่เล่นเป็นนวล เล่นกับใคร คนนั้นเป็นอะไร Relative กับเราเป็นยังไง และจำได้เลยว่า อาหนิงกับอาเอก เขาจะส่งให้เราเยอะมากจนเราแทบไม่ต้องเล่น รับพลังมาเลย มีฉากหนึ่งที่พระยาราชสงครามที่อาหนิงเล่นจะมาข่มขืนเรา แล้วเราต้องถีบหน้า ตอนแรกหนูไม่กล้า อาหนิงบอกเลยว่าเล่นให้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ หนูได้วิชาจากเรื่องนี้มาเต็มๆ เลยค่ะ ฉากร้องไห้ไม่ต้องเค้นเพราะมันจริงมาก ท่านมุ้ยกับหม่อมก็ไม่ให้เค้น ให้รู้สึกจริงๆ แค่ไหนแค่นั้น น้ำตาไม่ออกก็คือไม่ออก เอาตามความรู้สึก ไม่มีน้ำตาเทียม อันนี้ทำให้มัดหมี่รู้สึกถึงศักยภาพของการแสดงจริงๆ และมัดหมี่รู้สึกว่ามัดหมี่ได้วิชาเยอะมากจากการแสดงเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างมัน Real จริงๆ อันนี้คือวิชาที่ล้ำค่ามาก เหมือนได้เข้าไปเรียน ดีใจมากที่การเดินทางของอาชีพของมัดหมี่เริ่มได้เริ่มจากตรงนี้ มัดหมี่โชคดีมาก
Mr. Coffee : เมื่อละครกลายเป็นหนัง รู้สึกอย่างไรบ้าง
มัดหมี่ : ไม่ว่าจะเป็นละครหรือหนัง พอมัดหมี่ได้มีโอกาสทำงานกับท่านมุ้ยแล้ว ทุกอย่างถ่ายแบบ HD คือเราได้ไปดูผลงานค่ะ คือหลังจากที่ท่านมุ้ยท่านถ่ายทำเสร็จแล้ว ท่านก็จะมานั่งตัดในรถของกองถ่าย มัดหมี่กับเต้ยกับทุกคนก็ขึ้นไปดูบ่อยมาก แล้วก็จะพูดกันประจำเลยค่ะว่า “เรื่องนี้มันต้องเป็นหนัง” คือขอเถอะให้เป็นหนัง เพราะว่าภาพ สี Production ทุกอย่างมันเป็นหนังอยู่แล้ว และไม่ว่าจะเป็นละครหรือหนัง ในมุมมองของมัดหมี่ มัดหมี่ไม่ตกใจเลยนะคะ คือมัดหมี่ขอแค่ให้ได้ออก ลุ้นจริงๆ และมัดหมี่เชื่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ มีหลายเหตุการณ์ในกองถ่ายที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มัดหมี่เชื่อว่ามันจะได้ออกก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะได้ออก ดีใจมากที่ตอนนี้ได้ออกเป็นหนังปลายปีนี้ด้วย ปีนี้เป็นปีที่ดีมากของมัดหมี่ค่ะ มีงานละครซีรีส์เลือดมังกรตอนหงส์ ซึ่งออกอากาศไปแล้ว มี Club Friday The Series ตอนความรักไม่ผิด ผิดที่...รักเกินไป แล้วก็มีซิงเกิลเพลงมัดใจ ที่มัดหมี่ทำร่วมกับแฟนกำลังจะออนและหนัง “พันท้ายนรสิงห์”
Mr. Coffee : พันท้ายนรสิงห์ มีส่วนช่วยให้มัดหมี่ทำงานต่อมาได้อย่างไรบ้าง และเราสามารถดึงสิ่งที่เราได้ไปใช้ได้มากแค่ไหน
มัดหมี่ : ได้หมดเลยค่ะ อันดับแรกต้องบอกว่า “พันท้ายนรสิงห์” ไปถ่ายที่กาญจนบุรี ที่อากาศ 40 กว่าองศาซึ่งร้อนมาก มัดหมี่จะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณสัปดาห์ละสามถึงสี่วัน ทำให้ได้เรื่องความอดทน ความตั้งใจในการทำงาน คือสมาธิในการทำงานซึ่งสำคัญมาก เพราะบางทีเราหลุดแล้วหลุดเลย ท่านจะสอนมัดหมี่มากๆ แต่ไม่ใช่แค่ตรงนี้ ทุกตอนเที่ยงท่านจะให้นักแสดงมาทานข้าวกับท่าน และแลกเปลี่ยนความคิดกัน คุยกันว่ามันควรจะเป็นอย่างนี้หรือไม่ บางทีก็เล่าถึงประสบการณ์ของท่านที่เคยถ่ายหนังมาก่อน ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนเราหมดเลย แม้กระทั่งตอนที่เราถ่ายหนังอยู่ก็ตาม อันนั้นก็เป็นการเรียนรู้เหมือนกัน อยู่กับท่านก็เป็นการเรียนรู้หมดเลย และสิ่งที่เรานำไปใช้ได้อีกอย่างคือ ทำให้เรากล้าขึ้น กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นจากที่เราจะกั๊ก เราไม่กล้าเล่น ทำให้เรามีสมาธิและเป็นตัวละคร อยู่กับปัจจุบันแล้วก็เล่นออกมาได้ เป็นโรงเรียน เป็นทุกอย่างเลยค่ะ
Mr. Coffee : เรื่องราวของ “พันท้ายนรสิงห์” ให้แง่คิดและคติสอนใจอย่างไรบ้าง ทั้งต่อตัวนักแสดงเอง และคนดู
มัดหมี่ : เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงความรัก ความรักที่มีหลายรูปแบบ ความรักระหว่างคู่รัก ความรักระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ ความรักต่อแผ่นดินและชาติ ความรักของบุพการี ได้เห็นครบหมดเลย จากเส้นเรื่องที่มีสามตัวหลัก คือพระเจ้าเสือ สิงห์ นวล แต่สามตัวหลักนี้ทำให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความจงรักภักดี ความกตัญญู ในสามคนนี้จะเป็นตัวเชื่อมไปกับทุกๆ อย่าง ไม่ควรพลาดแน่ๆ และท่านมุ้ยก็เป็นผู้กำกับระดับมือทองของประเทศไทย ท่านถ่ายทำทุกอย่างละเอียดหมด เป็นงานละเอียดมาก ใบไม้โผล่มานิดนึงก็เอาใหม่ มัดหมี่จะถ่ายฉากขี่ควาย รอแสงจนแสงหมด ก็ย้ายไปถ่ายพรุ่งนี้ได้ ไม่เป็นไร เราอาจจะพูดไม่ได้ว่ามัน Perfect เพราะมัดหมี่เชื่อว่า อะไรที่มัน Perfect มันจะไม่มีเสน่ห์ แต่เรื่องนี้มีเสน่ห์ มัดหมี่เต็มที่กับเรื่องนี้มากค่ะ ตกควาย ตกม้า ก็ตกมาหมดแล้ว บาดเจ็บทุกอย่าง มีบางคนถามว่ามัดหมี่ไม่รู้สึกท้อบ้างหรือ มัดหมี่บอกเลยว่ามีบ้างเล็กๆ แต่สุดท้ายรู้สึกว่ามันเดินมาครึ่งทางแล้ว อยากไปต่อให้จบ เป็นผลงานที่ภูมิใจค่ะ ผลงานประวัติศาสตร์ด้วย ได้ทำงานกับท่านมุ้ยด้วย
Mr. Coffee : หากมีโอกาสได้เล่นหนังอีก อยากเล่นหนังแนวไหน
มัดหมี่ : มัดหมี่อยากเล่นหนังหรืออะไรที่ท้าทายเรา มัดหมี่คิดว่าตัวเองสามารถเล่นได้หลายบทบาทมาก อย่างเรื่อง “หงส์” ที่มัดหมี่เล่นก็เปลี่ยนลุคเป็นนางเอกงิ้ว มัดแกละ กะโปโล นี่คือการเป็นนักแสดง นักแสดงต้องทำได้ทุกบทบาท ไม่ต้องมากั๊กว่าทำไม่บทนี้ไม่เล่น มัดหมี่อยากได้ลองบทบาทใหม่ๆ ได้รู้จักตัวละครใหม่ๆ คือไม่สามารถระบุได้ว่ามัดหมี่อยากเล่นอะไร แต่บอกได้ว่าอยากเล่นทุกบทที่เขาเชื่อในตัวเรา ตราบใดที่ผู้กำกับเชื่อว่าเราจะทำตรงนี้ได้ มันก็ดี แต่คนอาจจะติดภาพมัดหมี่ว่าเป็นไทยโบราณ มัดหมี่ไม่อยากให้คนติดภาพตรงนี้ อย่างใน Club Friday อันนั้นเปลี่ยนเลย เป็นผู้หญิงน่าสงสาร
ม็อกค่าปาท่องโก๋ : {สัมภาษณ์ มัดหมี่-พิมดาว พานิชสมัย นางเอก “พันท้ายนรสิงห์”}
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1229 - 1230 ประจำวันที่ 18 และ 25 ธันวาคม 2558
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ในสัปดาห์นี้ ได้จะพาท่านไปรู้จักกับนางเอกของละครที่กลายหนัง “มัดหมี่” พิมดาว พานิชสมัย” จากหนังไทย ที่เคยเกือบจะเป็นละคร เรื่อง “พันท้ายนรสิงห์” ผลงานของผู้กำกับระดับตำนานของเมืองไทย “ท่านมุ้ย” หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” สังกัด “พร้อมมิตรโปรดักชั่น” ค่าย “สหมงคลฟิล์ม”
Mr. Coffee : อยากให้เล่าที่มาของการได้เข้ามาเป็นนักแสดงนำ
มัดหมี่ : เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตเลยค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเคยเล่นละครเวทีมาเรื่องหนึ่งคือ “สี่แผ่นดิน” ค่ะ หม่อมบี๋ กมลา ยุคล ณ อยุธยา เห็นรูปมัดหมี่ในนิตยสาร “ดิฉัน” แล้วท่านก็ให้เลขาติดต่อคุณแม่ของมัดหมี่ คุณแม่ก็บอกว่า “ลูก เขาอยากให้ลูกไปแคส บทนวล พันท้ายนรสิงห์ ของท่านมุ้ย” มัดหมี่ก็ตกใจว่าของท่านมุ้ยเลยหรอ เพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านมุ้ยทำ “สุริโยทัย” ทำ “นเศวร” มัดหมี่ได้ดูมาตลอด เป็นแฟนหนังของท่านเหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่าน่าลอง เกิดมาไม่เคย Acting ไม่เคยแสดงที่ไหนเลย ก็เลยไปลองดู ตอนนั้นเขาก็ให้บทมา ให้ถ่ายรูป ตามขั้นตอนเลยค่ะ วันนั้นจริงๆ ไม่ได้มีแค่มัดหมี่นะคะ มีอีกหลายคนที่ไปแคส เราก็ไม่ได้หวังอะไร ท่านมุ้ยบอกว่าชอบเพราะว่าใหม่ สดใหม่ ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน แล้วก็หน้าไทย ไม่ต้องศัลยกรรม อันนี้หม่อมบอก แล้วท่านมุ้ยก็บอกว่าอยากปั้นมัดหมี่ และถามว่าเราทำอะไรได้บ้าง เราก็บอกว่าเราเรียนจบร้องเพลงมา ท่านก็บอกว่าน่าสนใจ จริงๆ ก่อนหน้านั้นมัดหมี่เคยสังกัด RS มาก่อน แล้วปัจจุบันเป็น Grammy ชีวิตหนึ่งมันก็ต้องลองผิดลองถูกค่ะ ความฝันของเราคือนักร้องอยู่แล้ว ศิลปิน ชอบแต่งเพลง ร้องเพลง ตรงนี้เหมือนเป็นใบเบิกทางด้านการแสดงครั้งแรกของมัดหมี่ ไม่เคยมีใครมาติดต่อ ก็เลยมาลองแคสดู พอได้ปุ๊บก็ดีใจมาก เพราะเราไม่มีพื้นฐานด้านการแสดงนะตอนนั้น จำได้ว่าเค้าติดต่อมาก่อนละครเวทีอีกค่ะ มาอีกทีก็เริ่มถ่ายทำเลย ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 11 เดือนค่ะ นับช่วงที่หยุดไปด้วย การทำงานก็สุดยอดมาก กลายเป็นว่าทั้งเต้ยและมัดหมี่ได้ทำงานเป็นเรื่องแรกร่วมกับท่านมุ้ยทั้งคู่ ใช่ค่ะ ท่านมุ้ยบอกว่ามัดหมี่ทำให้ท่านมุ้ยนึกถึงนันทนา เงากระจ่าง นางเอก “แผลเก่า”
Mr. Coffee : เคยรู้จักเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ มาก่อนหน้านี้มากน้อยแค่ไหน
มัดหมี่ : รู้จักแต่ไม่ลึกค่ะ อาจจะเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่รู้ว่าพันท้ายนรสิงห์ ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องตามประเพณี คือให้ประหารชีวิต เพราะคัดท้ายเรือไปชนจนหัวเรือหัก ก็รู้แค่นั้นค่ะ
Mr. Coffee : เล่าถึงบทบาทของ “นวล” ที่มัดหมี่ได้รับ
มัดหมี่ : ตอนเห็นบทครั้งแรกก็รู้สึกว่า “นวล” เก่งเนอะ ทำได้ทุกอย่างจริงๆ และรู้สึกว่าเราต้องเรียนเพิ่มเติมเยอะมาก ต้องเรียนทำอาหารด้วย เพราะมัดหมี่ทำไม่เป็น และเคยได้ยินมาว่าแม่นวลกับพ่อสิงห์รักกันมาก เป็นความรักที่บริสุทธิ์ พออ่านแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือมัดหมี่ว่าคนสมัยก่อนไม่ซับซ้อนเท่าคนสมัยนี้ ความรักคือ Pure Love คือรักบริสุทธิ์จริงๆ สมัยนี้ยังมีไม่กล้าพูด สมัยนั้นอยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้หมดเลย และก็มีความกตัญญู
Mr. Coffee : แล้วบทของนวลกับตัวจริงของมัดหมี่ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไงบ้าง
มัดหมี่ : แตกต่างหันมากพอสมควรเลยค่ะ เวลาตั้ง 300 กว่าปี มัดหมี่ก็คนสมัยปัจจุบัน แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันเลยคือความรักชาติกับความรักในพระมหากษัตริย์ อีกอย่างก็รักเพื่อนฝูง รักเดียวใจเดียว อันนี้เป็น (หัวเราะ) แต่ที่รู้สึกว่าไกลตัวมากคือสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมด เช่น ขี่ควาย พายเรือ ฝัดข้าว ทำกับข้าว ขี่ม้า ร้องเพลงฉ่อย อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ คือ เป็นผู้หญิงที่แกร่ง กะโปโลด้วยนะคะ อาจจะใกล้เคียงนิดนึงเรื่องกะโปโล แต่พอมาเป็นบทที่เข้าพระเข้านาง ความรักจริงๆ ก็ยากเหมือนกัน เพราะว่าใหม่ทั้งคู่ ก็กล้าๆ กลัวๆ ท่านมุ้ยก็เลยบอกว่าให้ทำความสนิทสนมกับเต้ยไว้ มีอะไรก็ให้คุยกัน นั่งทานข้าวก็ทานด้วยกัน เวลาเล่นจะได้ไม่เขิน ไม่อาย ต้องให้ตัวเองเชื่อ ถ้าตัวเองยังไม่เชื่อ ตายเลย คนดูไม่มีทางเชื่อแน่
Mr. Coffee : อยากให้เล่าถึงบรรยากาศในกองเมื่อต้องเข้าฉากกับนักแสดงอาวุโส
มัดหมี่ : มีเกร็งนิดนึงเหมือนกันค่ะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะผ่านละครเวทีมา เพราะการเล่นก็ไม่เหมือนกัน เพราะละครเวทีเราเล่นใหญ่ แบบบัตร 500 บาทต้องสุดๆ แต่หนังนี่คือธรรมชาติล้วนๆ ช่วงแรกหม่อมบอกว่า ดุไปนะ ท่าตกใจก็ตกใจปกติสิ ไม่ต้องตกใจแบบ Overaction ก็ต้องปรับตัว แต่โชคดีที่อาเอก สรพงศ์ ผู้พันเบิร์ด อาหนิง นิรุต อาจิ๊ก เนาวรัตน์ และอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ คือเขาเป็น Professional สุดยอดอยู่แล้ว ตอนแรกๆ ที่เล่นกับเขา มัดหมี่อาจจะเกร็ง แต่ต่อมามัดหมี่บอกกับตัวเองว่าถ้ายิ่งเกร็งจะยิ่งแย่ ตัวละครจะไม่เกิด มัดหมี่เลยตัดไปเลยว่า ใครจะเป็นอะไรไม่สนแล้ว มัดหมี่เล่นเป็นนวล เล่นกับใคร คนนั้นเป็นอะไร Relative กับเราเป็นยังไง และจำได้เลยว่า อาหนิงกับอาเอก เขาจะส่งให้เราเยอะมากจนเราแทบไม่ต้องเล่น รับพลังมาเลย มีฉากหนึ่งที่พระยาราชสงครามที่อาหนิงเล่นจะมาข่มขืนเรา แล้วเราต้องถีบหน้า ตอนแรกหนูไม่กล้า อาหนิงบอกเลยว่าเล่นให้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ หนูได้วิชาจากเรื่องนี้มาเต็มๆ เลยค่ะ ฉากร้องไห้ไม่ต้องเค้นเพราะมันจริงมาก ท่านมุ้ยกับหม่อมก็ไม่ให้เค้น ให้รู้สึกจริงๆ แค่ไหนแค่นั้น น้ำตาไม่ออกก็คือไม่ออก เอาตามความรู้สึก ไม่มีน้ำตาเทียม อันนี้ทำให้มัดหมี่รู้สึกถึงศักยภาพของการแสดงจริงๆ และมัดหมี่รู้สึกว่ามัดหมี่ได้วิชาเยอะมากจากการแสดงเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างมัน Real จริงๆ อันนี้คือวิชาที่ล้ำค่ามาก เหมือนได้เข้าไปเรียน ดีใจมากที่การเดินทางของอาชีพของมัดหมี่เริ่มได้เริ่มจากตรงนี้ มัดหมี่โชคดีมาก
Mr. Coffee : เมื่อละครกลายเป็นหนัง รู้สึกอย่างไรบ้าง
มัดหมี่ : ไม่ว่าจะเป็นละครหรือหนัง พอมัดหมี่ได้มีโอกาสทำงานกับท่านมุ้ยแล้ว ทุกอย่างถ่ายแบบ HD คือเราได้ไปดูผลงานค่ะ คือหลังจากที่ท่านมุ้ยท่านถ่ายทำเสร็จแล้ว ท่านก็จะมานั่งตัดในรถของกองถ่าย มัดหมี่กับเต้ยกับทุกคนก็ขึ้นไปดูบ่อยมาก แล้วก็จะพูดกันประจำเลยค่ะว่า “เรื่องนี้มันต้องเป็นหนัง” คือขอเถอะให้เป็นหนัง เพราะว่าภาพ สี Production ทุกอย่างมันเป็นหนังอยู่แล้ว และไม่ว่าจะเป็นละครหรือหนัง ในมุมมองของมัดหมี่ มัดหมี่ไม่ตกใจเลยนะคะ คือมัดหมี่ขอแค่ให้ได้ออก ลุ้นจริงๆ และมัดหมี่เชื่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ มีหลายเหตุการณ์ในกองถ่ายที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มัดหมี่เชื่อว่ามันจะได้ออกก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะได้ออก ดีใจมากที่ตอนนี้ได้ออกเป็นหนังปลายปีนี้ด้วย ปีนี้เป็นปีที่ดีมากของมัดหมี่ค่ะ มีงานละครซีรีส์เลือดมังกรตอนหงส์ ซึ่งออกอากาศไปแล้ว มี Club Friday The Series ตอนความรักไม่ผิด ผิดที่...รักเกินไป แล้วก็มีซิงเกิลเพลงมัดใจ ที่มัดหมี่ทำร่วมกับแฟนกำลังจะออนและหนัง “พันท้ายนรสิงห์”
Mr. Coffee : พันท้ายนรสิงห์ มีส่วนช่วยให้มัดหมี่ทำงานต่อมาได้อย่างไรบ้าง และเราสามารถดึงสิ่งที่เราได้ไปใช้ได้มากแค่ไหน
มัดหมี่ : ได้หมดเลยค่ะ อันดับแรกต้องบอกว่า “พันท้ายนรสิงห์” ไปถ่ายที่กาญจนบุรี ที่อากาศ 40 กว่าองศาซึ่งร้อนมาก มัดหมี่จะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณสัปดาห์ละสามถึงสี่วัน ทำให้ได้เรื่องความอดทน ความตั้งใจในการทำงาน คือสมาธิในการทำงานซึ่งสำคัญมาก เพราะบางทีเราหลุดแล้วหลุดเลย ท่านจะสอนมัดหมี่มากๆ แต่ไม่ใช่แค่ตรงนี้ ทุกตอนเที่ยงท่านจะให้นักแสดงมาทานข้าวกับท่าน และแลกเปลี่ยนความคิดกัน คุยกันว่ามันควรจะเป็นอย่างนี้หรือไม่ บางทีก็เล่าถึงประสบการณ์ของท่านที่เคยถ่ายหนังมาก่อน ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนเราหมดเลย แม้กระทั่งตอนที่เราถ่ายหนังอยู่ก็ตาม อันนั้นก็เป็นการเรียนรู้เหมือนกัน อยู่กับท่านก็เป็นการเรียนรู้หมดเลย และสิ่งที่เรานำไปใช้ได้อีกอย่างคือ ทำให้เรากล้าขึ้น กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นจากที่เราจะกั๊ก เราไม่กล้าเล่น ทำให้เรามีสมาธิและเป็นตัวละคร อยู่กับปัจจุบันแล้วก็เล่นออกมาได้ เป็นโรงเรียน เป็นทุกอย่างเลยค่ะ
Mr. Coffee : เรื่องราวของ “พันท้ายนรสิงห์” ให้แง่คิดและคติสอนใจอย่างไรบ้าง ทั้งต่อตัวนักแสดงเอง และคนดู
มัดหมี่ : เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงความรัก ความรักที่มีหลายรูปแบบ ความรักระหว่างคู่รัก ความรักระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ ความรักต่อแผ่นดินและชาติ ความรักของบุพการี ได้เห็นครบหมดเลย จากเส้นเรื่องที่มีสามตัวหลัก คือพระเจ้าเสือ สิงห์ นวล แต่สามตัวหลักนี้ทำให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความจงรักภักดี ความกตัญญู ในสามคนนี้จะเป็นตัวเชื่อมไปกับทุกๆ อย่าง ไม่ควรพลาดแน่ๆ และท่านมุ้ยก็เป็นผู้กำกับระดับมือทองของประเทศไทย ท่านถ่ายทำทุกอย่างละเอียดหมด เป็นงานละเอียดมาก ใบไม้โผล่มานิดนึงก็เอาใหม่ มัดหมี่จะถ่ายฉากขี่ควาย รอแสงจนแสงหมด ก็ย้ายไปถ่ายพรุ่งนี้ได้ ไม่เป็นไร เราอาจจะพูดไม่ได้ว่ามัน Perfect เพราะมัดหมี่เชื่อว่า อะไรที่มัน Perfect มันจะไม่มีเสน่ห์ แต่เรื่องนี้มีเสน่ห์ มัดหมี่เต็มที่กับเรื่องนี้มากค่ะ ตกควาย ตกม้า ก็ตกมาหมดแล้ว บาดเจ็บทุกอย่าง มีบางคนถามว่ามัดหมี่ไม่รู้สึกท้อบ้างหรือ มัดหมี่บอกเลยว่ามีบ้างเล็กๆ แต่สุดท้ายรู้สึกว่ามันเดินมาครึ่งทางแล้ว อยากไปต่อให้จบ เป็นผลงานที่ภูมิใจค่ะ ผลงานประวัติศาสตร์ด้วย ได้ทำงานกับท่านมุ้ยด้วย
Mr. Coffee : หากมีโอกาสได้เล่นหนังอีก อยากเล่นหนังแนวไหน
มัดหมี่ : มัดหมี่อยากเล่นหนังหรืออะไรที่ท้าทายเรา มัดหมี่คิดว่าตัวเองสามารถเล่นได้หลายบทบาทมาก อย่างเรื่อง “หงส์” ที่มัดหมี่เล่นก็เปลี่ยนลุคเป็นนางเอกงิ้ว มัดแกละ กะโปโล นี่คือการเป็นนักแสดง นักแสดงต้องทำได้ทุกบทบาท ไม่ต้องมากั๊กว่าทำไม่บทนี้ไม่เล่น มัดหมี่อยากได้ลองบทบาทใหม่ๆ ได้รู้จักตัวละครใหม่ๆ คือไม่สามารถระบุได้ว่ามัดหมี่อยากเล่นอะไร แต่บอกได้ว่าอยากเล่นทุกบทที่เขาเชื่อในตัวเรา ตราบใดที่ผู้กำกับเชื่อว่าเราจะทำตรงนี้ได้ มันก็ดี แต่คนอาจจะติดภาพมัดหมี่ว่าเป็นไทยโบราณ มัดหมี่ไม่อยากให้คนติดภาพตรงนี้ อย่างใน Club Friday อันนั้นเปลี่ยนเลย เป็นผู้หญิงน่าสงสาร