ประสบการณ์ประหลาด ที่รีสอร์ทในจังหวัดกาญจนบุรี...

สวัสดีเพื่อนสมาชิกครับ นี่เป็นกระทู้เล่าประสบการณ์วิญญาณลำดับที่ 2 ของผม
ผมจะพยายามเรียบเรียงภาษาให้อ่านได้ลื่นๆและไม่สะดุดนะครับ

เอาละครับ....
เรื่องมีอยู่ว่า ตอนนั้นผมอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ต้องไปร่วมงานสัมมนาที่โรงเรียนส่งผมไปในฐานะตัวแทนเพียงคนเดียว โชคยังดีที่ผมพอจะรู้จักเพื่อนจากจังหวัดอื่นบ้าง
เพราะเราเจอกันที่ค่ายบ่อยๆ กิจกรรมค่ายของเรากินเวลา 4 วัน 3 คืน

กิจกรรมช่วงเช้าเป็นไปตามปกติ ผมได้ห้องพักที่ชั้น 6 ของโรงแรม
จริงๆเรียกว่ารีสอร์ทดีกว่าครับ เพราะอยู่ติดกับแม่น้ำแคว อาคารที่ผมนอน
ถ้าเดินลงมาจะสามารถสัมผัสกับบรรยากาศสวยๆของแม่น้ำแควได้
สายน้ำช่วงที่ผ่านรีสอร์ทยังไหลเอื่อยๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นป่าลึกเข้าไป ก็จะเห็นสัตว์ต่างๆ
มากินน้ำลิมลำธารอยู่บ้าง สนามหญ้าเขียวขจีตัดแต่งสวยงาม
ผมเดินเล่นเลาะชมบรรยากาศไปซักพัก เราก็เข้าห้องประชุมเพื่อเริ่มกิจกรรมกัน

ช่วงเวลาประมาณ ห้าโมเย็น เราถูกปล่อยพักและให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อมาทานอาหารเย็น ณ ลานกิจกรรมที่มีมงานจัดเตรียมไว้ให้ ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน
อากาศเย็นเริ่มส่งผลและกระทบกับผิวหน้าของผมจนรู้สึกได้
ผมพักอยู่กับเพื่อนที่มาจากภาคกลาง 1 คน และภาคใต้ 1 คน

ผมเข้าเดินไปในห้องเพื่อเตรียมพร้อมจะอาบน้ำ ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนกำลังจะตามมาเพราะต้องประชุมกับทีมพี่เลี้ยง ที่จะจัดกิจกรรมต่อในช่วงกลางคืน
ในขณะที่ผมกำลังจะเข้าห้องน้ำ เสียงประตูหน้าห้องก็ดัง ก๊อกๆๆ

ผมเดินไปเปิดประตู เพราะคิดว่าหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องคงมากันแล้ว
และผมเองก็ไม่อยากให้รอนาน ปรากฏว่า ผมพบแต่ความว่างเปล่า และทางเดินโล่งๆ
ที่ไม่มีร่องรอยแม้แต่คนที่เพิ่งเดินผ่านไป แต่ผมยังมั่นใจว่า ผมได้ยินเสียงเคาะจริงๆ
ผมปิดประตูและรออีกซักพักเผื่อเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีก

เงียบ... ไม่มีเสียงอะไรอีกต่อไป ผมจึงทำธุระให้เสร็จ และออกมาแต่งตัวที่หน้าโต๊ะกระจกปลายเตียงของเพื่อนอีกคน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมหันขวับไป และพูดว่า แปปนึง
ผมสาวท้าวเข้าไปหาประตู และมองดูตรงตาแมวเพื่อเช็คให้แน่ใจ

ตาแมว แสดงผลเป็นทางเดิน ไม่มีคน หรืออะไร ที่ปรากฏต่อสายตาของผม
ผมเปิดประตูออกมา แล้วตะโกนไปว่า ใครจะแกล้งอะไรก็ดูด้วยนะเว้ย มันใช่เรื่องปะวะ

เงียบ ยังไม่มีสิ่งใดตอบรับในคำด่าของผม ผมตัดสินใจแง้มประตูไว้ ไม่ปิดสนิท
แล้วเดินกลับมาแต่งตัว ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เพื่อนของผมทั้งสองคนก็มาถึงห้อง
ผมตัดสินใจ ไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเรายังต้องอยู่ที่ห้องนี้อีกหลายคืน
และเพื่อนที่มาจากภาคกลางก็ดูจะขวัญอ่อนกับเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน....

22.00 น.
กิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นลง และทุกคยก็เพลัยทั้งกับการเดินทาง และกิจกรรมที่กรำงานทั้งพูด คิด และเขียนกันมาตลอดทั้งวัน เพื่อนภาคกลางของผมพล๊อยหลับไปอย่างง่ายดาย ในขณะที่เพื่อนภาคใต้ นั่งดูทีวีเป็นเพื่อน นายๆ นายได้ยินเสียงอะไรแปลกๆมั้ย
เพื่อนหันมาถาม ผมเงี่ยหูฟัง ไม่อะ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย

ความเงียบเกาะกินห้องนอนอีกครั้ง ปึง ปึง ปึง
เสียงเหมือนมีคนทุบกำแพง ข้างๆห้องของเรา ผมขึ้นไปที่เตียง แล้วเงี่ยหูฟัง
ไม่มีเสียงอื่นใดต่อจากนั้นอีก ผมเลยบอกเพื่อนว่า ไม่มีอะไรหรอก หลับกันได้แล้ว

แต่ลึกๆในใจผมยังอดสงสัยไม่ได้ เพราะข้างห้องเรา ไม่มีใครอยู่นี่นา และผมก็เข้าห้องเป็นคนสุดท้ายด้วย แต่ผมก็ตัดใจคิดไปว่า คงเป็นแขกมาพักกลางดึกแน่ๆ

ผมทิ้งตัวลงนอน ที่เตียงของผม ในขณะที่เพื่อนภาคกลางอีกคน นอนเตียงเสริม
ซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือ ตรงที่เป็นทางจะไปหาห้องน้ำ ผมดับไฟในห้องให้มืดลง

ในขณะที่ผ้าม่านสีขาวริมระเบียงสงบนิ่ง เผยให้เห็นเพียงต้นไม้ในรีสอร์ท
ที่ใบของมันขยับไปมา ตามกระแสลมหนาวยามดึกที่พัดโชย

ปึง ปึง ปึง เสียงกระแทกผนังดังอีกครั้ง ทำให้ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา
ในความมืด ผมได้แค่กลิ่นน้ำหอมฟุ้งในห้อง ซึ่งไม่ใช่กลิ่นที่ควรจะอยู่ในห้องผู้ชาย
ผมข่มหลับตาแล้วพลิกตัวไปข้างขวา หันหลังให้ห้องน้ำ

ซู่... เสียงน้ำในห้องน้ำถูกใช้งาน ผมค่อนข้างอุ่นใจ ว่ามีเพื่อนตื่นนอนในตอนดึก
ผมเลยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้สูงกส่าเดิม และสะกดตัวเองให้นอนต่อเอาแรงให้ได้

ตอนนั้น ผมฝันว่าตัวเองตื่นมากลางดึกในห้องที่ผมนอนอยู่ ผิดแต่ที่ในห้องไม่มีใคร
มีแต่ผมกับเตียงนอนไม้อันใหญ่ๆ วอลเปเปอร์ก็ไม่มี เสียงแอร์ไม่ดัง
ผมมองไปรอบๆ ตัว แล้วก็เห็นผู้หญิงนอนทอดตัวอยู่ข้างเตียงนอน
ตอนนั้น ผมตกใจ และกลัวมาก เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่า มันคือความฝัน
ผมอยากจะตื่นตั้งแต่ตอนนั้น แต่ผมขยับตัวลงจากเตียงไม่ได้

ผมจดจำรายละเอียดของผู้หญิงที่ผมเห็นในฝันได้ไม่มากนัก
รู้เพียงชุดนอนนั้น เป็นชุดนอนสีชมพูลายลูกไม้บางๆ ที่ความมืดในฝันไม่ได้เผยรายละเอียดอะไรชัดเจน ร่างของเธอค่อยๆขยับ เหมือนรับรู้การมีอยู่ของผม

ผมนึกอะไรไม่ออกแล้วในตอนนั้น นึกได้เพียงวิธีเดียว คือ ทิ้งหัวลงบนเตียงแบบแรงๆ
แล้วมันก็ได้ผล.... ผมตื่นขึ้นมาในสภาพหอบ และเหงื่อออก หายใจแรง อยู่บนเตียง

แสงสว่างจากข้างนอกเริ่มมองเห็นได้ลางๆ เสียงกรนเบาๆของเพื่อนยังมีให้ได้ยินอยู่
และมันย้ำเตือนว่านี้คือความจริงแล้ว ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนใคร

รอจนกระทั่งเพื่อนตื่น ผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องที่ฝันถึงเมื่อคืนได้
จนกระทั่งเพื่อนที่นอนเตียงเสริมถามผมว่า

นายๆ เมื่อคืนนายเดินข้ามเท้าเราไปเข้าห้องน้ำเหรอ??

ผมก็ทวนคำถาม ว่ายังไงนะ?
เพื่อนก็ชี้ไปที่ห้องน้ำแล้วบอก ก็เมื่อคืน นายกระโดดข้ามเท้าเรา เราว่าเรารู้สึกได้
ตั้งสอบรอบอะ แล้วเราก็ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเปิด เราก็คิดว่าเป็นนาย

ผมหันไปหาเพื่อนภาคใต้ เพื่อนภาคใต้ยักไหล่ แล้วบอก เห้ย เราเปล่า!!
เพื่ออีกคนมองหน้าผมเหมือนจะขอคำตอบประมาณว่า เออ เราเอง เราไปเข้าห้องน้ำน่ะ
แต่หน้าผมไม่ได้สื่ออะไรแบบนั้นเลย

ผมเลยตัดสินใจเล่าความจริงและเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งตอนเย็น และเมื่อคืนให้เพื่อนๆฟัง
เราตกลงใจกันว่าจะย้ายห้อง และบอกเรื่องนี้ให้พี่วิทยากรรู้แค่คนเดียว

มันอาจเป็นเพราะต่างที่ หรือความกังวลใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องเคาะประตูตอนเย็น
จนผมเก็บเอาไปฝัน แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับเพื่อนผม ก็ยังอธิบายอะไรไม่ได้อยู่ดี

คืนที่สองพวกเราได้เปลี่ยนที่นอนตามที่ตั้งใจ
แต่ผมก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไปของห้องที่ผมไปนอนอยู่ดี
นับจากนั้น ผมกับเพื่อนก็อยู่ทำกิจกรรมกันตลอดเวลาในค่าย
โดยที่ไม่มีอะไร หรือใคร มารบกวนพวกเราอีกเลย...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่