จากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/34626631 ของคุณmephis ขออนุญาตนะครับ
ผมเป็นคนกรุงเทพมาแต่กําเนิด.
ขอให้ท่านมีความสุขกับเวลาที่ยังเหลืออยู่นะครับ. รอบนี้คงเป็นรอบสุดท้ายของท่านแล้ว.
ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่มีแต่ การสร้างภาพ.มโนภาพ.ด้วยภาพโปสเตอร์ติดตามป้ายรถเมล์ กับใต้รถไฟฟ้า.
ความเดือดร้อน ความเสียหาย.ที่คน กทม.ได้รับทั้งหมดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากการตัดสินใจ จากการทํางานของท่าน.มันไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้จริงๆ.
คนกรุงเทพฯ ที่เคยเลือกคุณมา. พวกเราโง่เอง ผิดเอง.ครับ.
ผมคิดว่าคนกทม. (ที่เลือกคุณชายหมู)ไม่โง่หรอกนะครับ ในสายตาผม...โดยภาพรวมแล้วผมยกให้คนกรุงเทพฯ นี่แหละครับที่มีอัตราประชากรที่ฉลาดสูงกว่าภาคอื่นๆ อยู่หลายช่วงตัว คงจะด้วยว่ามีสถานศึกษาที่ดีมีคุณภาพเยอะกว่าชนบท คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และอาจจะรวมไปถึงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ใกล้ตัวกว่าด้วย ตรงนี้พูดจากใจจริงๆ
ความผิดพลาดของคนกทม.(บางส่วน)ที่คุณmephis. ยอมรับนั้น ไม่ได้มาจากความโง่หรอกหรอกครับในมุมมองของผม แต่น่าจะมาจากการ "จมไม่ลง" ของคนกทม. มากกว่า การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ครั้งล่าสุดนั้น คนกรุงเทพฯ ตระหนักดีว่าเป็นการแข่งขันระหว่างตัวแทนของคนในเมืองกรุงกับคนชนบท แม้ภาพลักษณ์ของพล ต.อ พงษ์พัศจะมีคราบชาวกรุงอยู่ก็ตาม แต่พรรคที่เขาสังกัดอยู่นั้นไม่ใช่เลย ต่างจากคุณชายหมู ที่มีคราบของชาวกรุงทุกกระเบียดนิ้วคุณสมบัติตรงนั้นไม่ต้องบรรยายให้เปลืองหน้ากระดาษ บวกกับพรรคการเมืองขวัญใจชาวกรุงที่คุณชายสังกัดอยู่ อย่างนี้แล้ว
มีหรือที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะยอมให้ตัวแทนจากพรรคของคนชนบทมาเป็นผู้ว่ากทม.?
สถานะความเป็น "คนกรุงเทพฯ" นั้น คนกรุงเทพฯ เองก็ทราบดีว่ามันมีมนต์ขลังและอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนชนบทมากน้อยเพียงไร ซึ่งคนชนบทเองก็ทราบดี รวมไปถึงการยอมรับสถานะนั้นโดยดุษฏีและอย่างพินอบพิเทา(ซึ่งตรงนี้คนชนบทเองก็มีส่วนรับผิดชอบที่ทำให้สถานะของ"คนกรุงเทพฯ" ในสังคมไทยเด่นขึ้น) นี่เป็นมรดกทางความรู้สึกจากระบบศักดินาที่ตกทอดมาถึงอนุชนในปัจจุบัน เจ้าขุนมูลนายที่ถูกส่งจากส่วนกลางไปปกครองส่วนภูมิภาคในอดีตได้หอบหิ้วเอาศักดินาฐานันดรศักดิ์ไปด้วย และปัจจุบันนี้เครดิตจาก "ศักดินา" ตรงนั้นยังตกทอดมาให้คนกรุงเทพฯในปัจจุบัน จิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพวกเขาเหนือกว่าคนชนบทแทบทุกด้าน ฐานะ การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ สังคม หรือแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาและบุคคลิก ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างสังคมไทยล้วนต่างก็ทราบดี และยิ่งหากได้ถูกนำมาเปรียบเทียบแล้วก็ยิ่งจะสร้างและตอกย้ำความเหนือกกว่าของคนกรุงให้ย่ามใจ
หลังยุคเลิกทาสเป็นต้นมา สังคมชนบทได้ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งการพยายามปรับตัวของสังคมชนบทตรงนี้ ในระยะแรกๆ ดูเหมือนว่าสังคมคนในกรุงฯ ส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญแต่อย่างไรด้วยอาจจะคิดว่ายังไงๆ เสียคงตามไม่ทัน (เหมือนนิทานกระต่ายกับเต่า??) ด้วยว่าการปรับตัวและพัฒนาในเชิงรูปธรรมที่เป็นวัตถุ เช่น ตัวอาคาร ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ฯลฯ ยังห่างไกลจากกรุงเทพนัก แต่ก็นั่นแหละ...คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็ยังคือคนกรุงเทพฯ ให้ความสนใจแค่การพัฒนาด้านรูปธรรมเพียงด้านเดียว ในส่วนที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้น เช่น สติปัญญา รวมไปถึง จิตสำนึกต่อสังคมและการเมือง จริยธรรม ฯลฯ มุมมองของคนกรุงเทพฯ ต่อคนชนบทในยุคไม่เกินสิบกว่าปีที่ผ่านมามักจะเป็นมุมมองที่เผินๆในเชิงที่ว่า คนกรุงขับรถเก๋งแต่คนชนบทยังขับเกวียนอยู่ คนกรุงอยู่คอนโดแต่คนชนบทยังอาศัยกระต๊อบหรือบ้านไม้อยู่ โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะมองให้ลึกลงไปอีกชั้นว่า คนขับเกวียนและคนที่อาศัยกระต๊อบมีปรัชญาแนวคิดอย่างไร?
กว่าสังคมคนในเมืองกรุงจะตระหนักว่าสังคมชนบทได้ปรับตัวได้ดีกว่าที่คิดไว้นั้นก็นับว่า "เกือบสาย”ไป เมื่อนโยบายลัทธิคอมมิวนิสต์กระจายเกือบทั่วภูมิภาคของประเทศไทยและได้รับการต้อนรับจากสังคมชนบทขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นภาคกลางบางส่วนและกรุงเทพฯ มิหน้ำซ้ำคนระดับปัญญาชนบางส่วนจากสังคมในเมืองกรุงเองก็บ่ายหน้าออกจากเมืองกรุงสู่ชนบทสนับสนุนสังคมใหม่ที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ด้วย นั่นแหละ...สังคมของคนในกรุงถึงเริ่มตระหนักและหันมามองสังคมชนบทมากขึ้น ที่ว่า “เกือบสาย”นั้น เพราะลำพังแค่การรับมือของรัฐบาลต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากสังคมชนบทขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็นไปอย่างรับมือไปวันๆ และหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติอย่างอเมริกาทั้งด้านยุทโธปกรณ์และเงินจำนวนมากมาย ก็ไม่แน่ว่ารัฐบาลจะต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ก่อตัวจากชนบทได้หรือไม่?
การกระทบกระทั่งของสังคมชนบทและในเมืองโดยเฉพาะในเมืองกรุงบนเส้นทางการเมืองนั้นจะยังคงอยู่ ตราบใดที่กลิ่นไอของ “ศักดินา” ยังไม่จางไปจากสังคมของคนกรุงฯ ถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้า สังคมชนบทจะพัฒนาเทียบเท่าสังคมในกรุงทั้งรูปธรรมและนามธรรมแล้วก็ตาม และอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าสังคมคนกรุงจะเปลี่ยนใจหันมาหลงใหลสังคมชนบท
ปล. เคยมีคนบอกผมว่า เพราะ "โลกกลม" ดังนั้นจุดที่คุณหรือใครต่อใครยืนอยู่ล้วนต่างก็เป็น "จุดศูนย์กลาง" ได้ทั้งนั้น คิดไปคิดมา...อืมม์ จริงแฮะ!!
.....จากคนชนบท ถึงคนกรุงเทพฯ....; วัชรานนท์
ผมเป็นคนกรุงเทพมาแต่กําเนิด.
ขอให้ท่านมีความสุขกับเวลาที่ยังเหลืออยู่นะครับ. รอบนี้คงเป็นรอบสุดท้ายของท่านแล้ว.
ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่มีแต่ การสร้างภาพ.มโนภาพ.ด้วยภาพโปสเตอร์ติดตามป้ายรถเมล์ กับใต้รถไฟฟ้า.
ความเดือดร้อน ความเสียหาย.ที่คน กทม.ได้รับทั้งหมดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากการตัดสินใจ จากการทํางานของท่าน.มันไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้จริงๆ.
คนกรุงเทพฯ ที่เคยเลือกคุณมา. พวกเราโง่เอง ผิดเอง.ครับ.
ผมคิดว่าคนกทม. (ที่เลือกคุณชายหมู)ไม่โง่หรอกนะครับ ในสายตาผม...โดยภาพรวมแล้วผมยกให้คนกรุงเทพฯ นี่แหละครับที่มีอัตราประชากรที่ฉลาดสูงกว่าภาคอื่นๆ อยู่หลายช่วงตัว คงจะด้วยว่ามีสถานศึกษาที่ดีมีคุณภาพเยอะกว่าชนบท คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และอาจจะรวมไปถึงการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ใกล้ตัวกว่าด้วย ตรงนี้พูดจากใจจริงๆ
ความผิดพลาดของคนกทม.(บางส่วน)ที่คุณmephis. ยอมรับนั้น ไม่ได้มาจากความโง่หรอกหรอกครับในมุมมองของผม แต่น่าจะมาจากการ "จมไม่ลง" ของคนกทม. มากกว่า การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ครั้งล่าสุดนั้น คนกรุงเทพฯ ตระหนักดีว่าเป็นการแข่งขันระหว่างตัวแทนของคนในเมืองกรุงกับคนชนบท แม้ภาพลักษณ์ของพล ต.อ พงษ์พัศจะมีคราบชาวกรุงอยู่ก็ตาม แต่พรรคที่เขาสังกัดอยู่นั้นไม่ใช่เลย ต่างจากคุณชายหมู ที่มีคราบของชาวกรุงทุกกระเบียดนิ้วคุณสมบัติตรงนั้นไม่ต้องบรรยายให้เปลืองหน้ากระดาษ บวกกับพรรคการเมืองขวัญใจชาวกรุงที่คุณชายสังกัดอยู่ อย่างนี้แล้ว มีหรือที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะยอมให้ตัวแทนจากพรรคของคนชนบทมาเป็นผู้ว่ากทม.?
สถานะความเป็น "คนกรุงเทพฯ" นั้น คนกรุงเทพฯ เองก็ทราบดีว่ามันมีมนต์ขลังและอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนชนบทมากน้อยเพียงไร ซึ่งคนชนบทเองก็ทราบดี รวมไปถึงการยอมรับสถานะนั้นโดยดุษฏีและอย่างพินอบพิเทา(ซึ่งตรงนี้คนชนบทเองก็มีส่วนรับผิดชอบที่ทำให้สถานะของ"คนกรุงเทพฯ" ในสังคมไทยเด่นขึ้น) นี่เป็นมรดกทางความรู้สึกจากระบบศักดินาที่ตกทอดมาถึงอนุชนในปัจจุบัน เจ้าขุนมูลนายที่ถูกส่งจากส่วนกลางไปปกครองส่วนภูมิภาคในอดีตได้หอบหิ้วเอาศักดินาฐานันดรศักดิ์ไปด้วย และปัจจุบันนี้เครดิตจาก "ศักดินา" ตรงนั้นยังตกทอดมาให้คนกรุงเทพฯในปัจจุบัน จิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพวกเขาเหนือกว่าคนชนบทแทบทุกด้าน ฐานะ การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ สังคม หรือแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาและบุคคลิก ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างสังคมไทยล้วนต่างก็ทราบดี และยิ่งหากได้ถูกนำมาเปรียบเทียบแล้วก็ยิ่งจะสร้างและตอกย้ำความเหนือกกว่าของคนกรุงให้ย่ามใจ
หลังยุคเลิกทาสเป็นต้นมา สังคมชนบทได้ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งการพยายามปรับตัวของสังคมชนบทตรงนี้ ในระยะแรกๆ ดูเหมือนว่าสังคมคนในกรุงฯ ส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญแต่อย่างไรด้วยอาจจะคิดว่ายังไงๆ เสียคงตามไม่ทัน (เหมือนนิทานกระต่ายกับเต่า??) ด้วยว่าการปรับตัวและพัฒนาในเชิงรูปธรรมที่เป็นวัตถุ เช่น ตัวอาคาร ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ฯลฯ ยังห่างไกลจากกรุงเทพนัก แต่ก็นั่นแหละ...คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็ยังคือคนกรุงเทพฯ ให้ความสนใจแค่การพัฒนาด้านรูปธรรมเพียงด้านเดียว ในส่วนที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้น เช่น สติปัญญา รวมไปถึง จิตสำนึกต่อสังคมและการเมือง จริยธรรม ฯลฯ มุมมองของคนกรุงเทพฯ ต่อคนชนบทในยุคไม่เกินสิบกว่าปีที่ผ่านมามักจะเป็นมุมมองที่เผินๆในเชิงที่ว่า คนกรุงขับรถเก๋งแต่คนชนบทยังขับเกวียนอยู่ คนกรุงอยู่คอนโดแต่คนชนบทยังอาศัยกระต๊อบหรือบ้านไม้อยู่ โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะมองให้ลึกลงไปอีกชั้นว่า คนขับเกวียนและคนที่อาศัยกระต๊อบมีปรัชญาแนวคิดอย่างไร?
กว่าสังคมคนในเมืองกรุงจะตระหนักว่าสังคมชนบทได้ปรับตัวได้ดีกว่าที่คิดไว้นั้นก็นับว่า "เกือบสาย”ไป เมื่อนโยบายลัทธิคอมมิวนิสต์กระจายเกือบทั่วภูมิภาคของประเทศไทยและได้รับการต้อนรับจากสังคมชนบทขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นภาคกลางบางส่วนและกรุงเทพฯ มิหน้ำซ้ำคนระดับปัญญาชนบางส่วนจากสังคมในเมืองกรุงเองก็บ่ายหน้าออกจากเมืองกรุงสู่ชนบทสนับสนุนสังคมใหม่ที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ด้วย นั่นแหละ...สังคมของคนในกรุงถึงเริ่มตระหนักและหันมามองสังคมชนบทมากขึ้น ที่ว่า “เกือบสาย”นั้น เพราะลำพังแค่การรับมือของรัฐบาลต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากสังคมชนบทขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็นไปอย่างรับมือไปวันๆ และหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติอย่างอเมริกาทั้งด้านยุทโธปกรณ์และเงินจำนวนมากมาย ก็ไม่แน่ว่ารัฐบาลจะต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ก่อตัวจากชนบทได้หรือไม่?
การกระทบกระทั่งของสังคมชนบทและในเมืองโดยเฉพาะในเมืองกรุงบนเส้นทางการเมืองนั้นจะยังคงอยู่ ตราบใดที่กลิ่นไอของ “ศักดินา” ยังไม่จางไปจากสังคมของคนกรุงฯ ถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้า สังคมชนบทจะพัฒนาเทียบเท่าสังคมในกรุงทั้งรูปธรรมและนามธรรมแล้วก็ตาม และอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าสังคมคนกรุงจะเปลี่ยนใจหันมาหลงใหลสังคมชนบท
ปล. เคยมีคนบอกผมว่า เพราะ "โลกกลม" ดังนั้นจุดที่คุณหรือใครต่อใครยืนอยู่ล้วนต่างก็เป็น "จุดศูนย์กลาง" ได้ทั้งนั้น คิดไปคิดมา...อืมม์ จริงแฮะ!!