เราเตรียมตัวล่วงหน้า 2 เดือน ดูรีวิวในพันทิป ในอากู๋
กระเป๋าจัดเสร็จก่อนตั้ง 2 เดือน มีใครบ้าเหมือนเรามั้ย
คือเราตื่นเต้น ครั้งแรกที่ไปต่างประเทศเอง
เข้าเรื่อง คือเห็นเขาแนะนำให้ใช้ Hyperdia ก็เลยลองจัดแผนเที่ยวและดูตารางรถไฟของวันนั้นๆไปด้วย
วิธีใช้ก็ไม่ยาก ก็เข้าไปเว็บ Hyperdia มีแอพด้วย
ตอนแรกก็งงๆว่าต้องไปยังไง ดูมากๆก็เข้าใจละ แต่พอไปถึงญี่ปุ่นเจอของจริงก็งงอีก
เข้าเรื่องอีกที
วันแรกค่ะ
คือเราเช็คอินออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว (เช็คอินได้ก่อน 2 อาทิตย์) จะได้ไม่ต้องไปเบียดคนเยอะๆ
นั่งรอเวลา ขึ้นเครื่อง เตรียมบินแล้ว 10.50
ใครไปแอร์เอเชีย เตรียมที่รองคอไปนะ เมื่อยคอมาก อยากเอาไป แต่มันเกะกะ ซื้อแบบเป่าลมก็ได้ คือเมื่อยจริงๆ
เตรียมเสื้อกันหนาวด้วยนะ บนเครื่องหนาวค่ะ ใครไม่เตรียมไป เสียเงินเพิ่มนะจ๊ะ
ใครกรอกใบเข้าเมืองไม่เป็น ที่เบาะด้านหน้าจะมีคู่มือ ลองเปิดดูค่ะ
แต่เราเตรียมตั้งแต่อยู่บ้านเลย ใน Pantip มีคนเคยรีวิวไว้นะ ลองหาดูค่ะ
จะมืดแล้ว ใกล้ถึงแล้ว
พอไปถึงที่สนามบินนาริตะ เดินตามป้ายที่เป็นรูปกระเป๋านะคะ เดินไปเรื่อยๆๆๆๆ
ผ่าน ตม. ไม่มีปัญหา รวดเร็วดีค่ะ อ้อ ติดตรงที่มีเจ้าหน้าที่มาดูพาสปอร์ตเรา แล้วบอกว่า โน กัปปะ
อะไรคือโนกัปปะ อ้อ No Cover ให้เอาปกออก โอเครรรร เห็นหลายคนงงกันมากเลย
ใครได้ยินกัปปะ ก็เอาปกออกซะนะคะ
ออกไปก็ตามหาจุดซื้อตั๋วค่ะ ใครจะประหยัดก็นั่งอย่างอื่น แต่เราเน้นเร็วและสบาย เลยเลือก keisei skyliner
เราเลือกที่เป็น 5100 เยน ไปกลับ พร้อมเมโทรพาส 1 วัน เผื่อจะหลงในวันนี้ไง อยากไปดูประดับไฟด้วย
ทั้ง Tokyo sky tree / Ginza / Tokyo Tower / Roppongi หลายที่มากๆ
Skyliner สุดที่ Ueno นะคะ ดูตารางเวลารถออกด้วย บางทีนั่งถูกๆอาจจะถึงเร็วกว่า เพราะ Skyliner นานๆมาคัน
ซ์้อแล้วเรียบร้อยค่ะ บนตั๋วจะมีบอกเวลาออก เวลาถึงปลายทาง หมายเลขขบวน หมายเลขโบกี้ ตามด้วย หมายเลขที่นั่งค่ะ
จริงๆอยากถ่ายรูปมาบอกทางเพื่อนๆนะ แต่ว่ากลัวแบตหมด แล้วก็ลืมด้วยแหละ เวลามันกระชั้น
เอาเป็นว่าซื้อเสร็จมองไปด้านบน มันมีป้ายเขียนบอกอยู่ ไม่ก็ถามเจ้าหน้าที่ Skyliner คำเดียวเขาก็เข้าใจแล้วชี้ทางให้เราแล้ว
สังเกตป้ายด้านบนก่อนว่าเรามาชานชาลาถูกต้องมั้ย ถูกต้องก็ดูที่พื้นค่ะ จะมีบอกหมายเลขโบกี้ นั่งรอให้ถูกที่นะคะ
เพราะเรานั่งรอผิดที่ ไปนั่งโบกี้ที่3 เลยต้องเดินเกะกะคนอื่น เพื่อกลับไปโบกี้ที่ 1 ค่ะ
ตอนซื้อตั๋ว เขาจะมีถามว่าต้องการwifiมั้ย
เราบอกเอาค่ะ จริงๆเราเช่า Pocket Wifi ไป แต่ก็ถือว่าประหยัดแบตไปได้อีกนะ
แต่ Wifi ของ Keisei ที่เขาให้มานั้น ใช้ได้แค่บนรถไฟ Skyliner นะคะ
ขึ้นรถมาก็เจอดาราเลย 555+ ในทีวีนะ ตื่นเต้นจัด ภาพเลยเบลอ
ทายซิใครเอ่ย.....
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เคนอิจิ ที่เล่นเป็น L ในเดตโน้ตค่ะ
ที่นั่งโล่งดีจุง สะอาดน่านั่ง
แอบถ่ายเด็กน้อยญี่ปุ่น น่ารักน่าชัง
ถึง Ueno แล้ว ทางเดินน่ากลัว นึกถึงหนังผี 555+
จุดหมายที่เราจะไปยังไม่ใช่โรงแรม แต่เป็น Tokyo Sky Tree ค่ะ ไปดูไฟ
เลยเข้าไปใน Hyperdia เช็คตารางรถก่อน
ต้นทางคือ Ueno ปลายทางคือ Oshiage เลือกอันนี้
จะขึ้นมาพรึบๆๆ เยอะมาก เลือกอันแรก และอันนี้ ซื้อตั๋วแค่รอบเดียว
มันจะมีเวลาบอกนะ ใช้เวลาไม่นาน แถมรถมาตรงเวลา ถ้าอันไหนต้องเปลี่ยนรถ
อย่างอันนี้เนี่ย ไปให้ทันได้ก็ยิ่งดีเลย ไม่งั้นต้องรออีก วิ่งเลยค่ะวิ่ง อย่าหลงด้วย
เพราะว่าเราหลงค้าาาาาา
เดินไปสายกินซ่านะคะ ดูจากตัว G for อะไร ดูในตารางซิ ASAKUSA
เดินตามป้ายนี้เลยค้าาา ไปชานชาลาที่ 2 นะ
แนะนำให้พกแผนที่รถไฟก็ดี จะได้ดูว่า ASAKUSA ลงสถานทีที่เท่าไหร่
คนแน่นรถเลย
ถึงแล้วนะ เขียนว่า อะซากุสะ ตามตารางรถ ให้ลงสถานีนี้ค่ะ
เสร็จแล้วก็เดินไป Toei Subway Asakusa Line for INZAIMAKINOHARA
คือเรางงตรงนี้ที่สุดเลยอะค่ะ วันแรก เลยเสียเวลาไปสิบกว่า20นาที
ถามทางเจ้าหน้าที่บอกให้ลงไปที่ชานชาลาใหม่ แต่ตรงชานชาลาก็เป็นสาย Ginza
จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินลงไปบอกแล้วชี้ให้ดู สรุปคือ สาย Asakuza (สัญลักษณ์ตัว A แดง) จะอยู่สุดทางเดินเลย
มันจะมีป้ายบอกค่ะ แต่เราโง่เอง เดินตามป้ายตัว A ไปเรื่อยๆค่ะ แล้วดูเวลาที่รถมาจอด รถคันไหนมาถึงเวลานั้น ก็คันนั้นแหละ
ไม่แน่ใจก็ดูตัวหนังสือที่มันขึ้นโชว์ตรงตัวรถก็ได้ ว่ามันวิ่งไปทางไหน
หลังจากหลงอยู่นาน ในที่สุดก็ขึ้นถูกสายแล้วก็ถึง Tokyo Sky Tree ค่ะ
เสียเวลาไปโข อดขึ้นไปชั้นไรไม่รู้จำไม่ได้ละ เป็นงานคริสมาส เหมือนต่างประเทศพวกฝรั่งอะ มีของกินขาย จัดร้านเล็กๆ มีรูปปั้นหมีขาวด้วย
อดเลยๆ เพราะเขาปิด 4 ทุ่ม เดินหลงทางไปมาก็หมดเวลาแล้ว
เลยถ่ายได้แค่บรรยากาศด้านนอกมา
เจอสาวสวยค่ะ เหมือนตุ๊กตาเลย
ถึงละนะ Tokyo Sky Tree
น้องไข่ขี้เกียจ น่ารักมาก แต่ไม่ได้ซื้อมา
ลุง KFC ก็ใส่ชุดซานต้าด้วย
เด็กญี่ปุ่นแก้มตุ้ยนุ้ยมาก
หลังจากชมวิวเสร็จก็เตรียมตัวกลับ (แค่เนี๊ยะ!!!!)
แพลนที่วางไว้ล่มค่ะ เพราะหลงทางตรงรถไฟเนี่ยแหละ ฮือๆๆ
เตรียมตัวกลับที่พักที่ Asakusa
โรงแรมที่จองไว้ผ่าน Agoda คือ แคปซูลโฮเต็ล อะซะกุซะ ริเวอร์ไซด์ คืนละประมาณ 900 บาท
ระหว่างทางเดินกลับ
เดินลงไปที่สถานีรถไฟอีกที นั่งสายเดิม ASAKUSA LINE เพื่อกลับไปที่ UENO
ใช้ตั๋ว Pass นั่นแหละ มีต้องใช้ ถึงวันนี้หลงทางจนมันไม่คุ้มก็เถอะ
พอถึงสถานี ASAKUSA เริ่มหลงอีก ถามทางออกที่จะไปสู่โรงแรม
เจ้าหน้าที่บอกว่าพูดอังกฤษไม่ได้ เราเลยใช้สกิลภาษาญี่ปุ่นขั้นต้น ถามทางกับเขา
สรุปได้ว่า ต้องออกที่ทางออก Kaminarimon สังเกตป้ายด้านบนเอานะคะ ไว้คราวหน้าจะจดเลขทางออกเอาไว้
พอโผล่ขึ้นไปสู่ด้านบน โรงแรมอยู่ตรงข้าม ต้องข้ามถนนไป
แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ทาง งงมาก เดินมั่วตามแอพ ในแอพ Map ก็รวนอีก
เลยเดินขึ้นไปทางซ้าย ถามทางคนเดินผ่านไปมา ให้เราเดินขึ้นไป
เราก็ข้ามถนนขึ้นไป ซึ่งไม่ใช่ถนนที่ข้ามไปโรงแรม
ไปเจอ KFC เข้าไปถามพนักงาน
พนักงานใจดีมากค่ะ รีบหยิบแผนที่ แล้วเรียกเราออกไปแล้วบอกทางให้
ย้อนกลับไปทางเดิม แล้วถามถนนไปที่ร้าน เบอร์เก้อคิง แล้วเดินไปขวามือนิดนึงจะเจอโรงแรม
ขอบคุณเขาเสร็จ ก็ลากกระเป๋าไป สรุปคือ เราเจอโรงแรมค่ะ ดีใจมาก
เข้าไปยื่นใบจองให้เขาดู เขาจะดูชื่อ และขอพาสปอร์ตเรา แล้วคืนเรามา
เขาจะเริ่มอธิบายกฎของโรงแรม
ห้องพักผู้หญิงจะอยู่ที่ชั้น......ลืมละ ฮ่าๆๆๆ
ก่อนขึ้นไปต้องถอดรองเท้าเก็บล็อคเกอร์ซะก่อน เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ
ห้องน้ำรวมจะปิดตอน 5 ทุ่มมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ห้องน้ำรวมอยู่ชั้นบนอีก
เช็คเอ้าท์ 10 โมงเช้า
ก่อนอื่นก็ขึ้นไปเก็บกระเป๋าก่อน เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย
ขึ้นไปอาจจะงงๆ ออกลิฟมาเลี้ยวขวา ตรงไปเจอประตูเปิดเข้าไปค่ะ
เจอล็อกเกอร์เยอะๆ เอากุญแจที่เขาให้มาไขดู ด้านในมีชุดให้เปลี่ยน มีผ้าขนหนู มียาสีฟันแปรงสีฟันค่ะ
ห้องน้ำค่ะ ใช้ได้ตลอด เนื่องจากเป็นชั้นผู้หญิง ส้วนสำหรับท่านชายเลยถูกปิดเอาไว้แบบนี้
อ่างล้างหน้า เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีไดเป่าผมให้ใช้ด้วย ไม่ต้องเตรียมไปเอง มีปลั๊ก ใครแบตหมดมาชาร์ตได้
เปิดประตูเข้าไปอีกบานนึง จะเจออันนี้ค่ะ แคปซูล ตื่นเต้น ได้นอนแคปซูล
ชัดๆหน่อย (หลายรูปถ่ายตอนเช้า)
เราได้นอนชั้นบน เพื่อนก็เหมือนกัน
ปีนขึ้นไปแล้วนะ ตัวหนังสือตรงหัวเตียงแปลว่า ห้ามสูบบุหรี่
ด้านซ้ายมือมีวิทยุ มีสวิสไฟ มีนาฬิกาปลุก แต่เราใช้ไม่เป็นค่ะ
ใช้เป็นแค่สวิสเปิดปิดไฟอย่างเดียว
ปล. ตรงหน้าแคปซูลจริงๆมีปุ่มให้กด มันเป็นสวิสไฟเหมือนกัน
ไม่ต้องปีนเข้าไปควานหามืดๆ แต่เรารู้ตอนเช้าแล้วอะ
เราเข้าใจมาตลอดว่าแคปซูลจะมีกระจกปิดเป็นประตูได้
แต่ไม่ใช่อะ มันมีแค่เนี้ยยยย ดึงลงมาปิด จะเสียงดังไม่ได้เลย
นอนลงไปก็จะเป็นแบบนี้ รูปนี้ถ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จ
เราสูงแค่ 151 นั่งขึ้นมาก็เหลือที่เยอะอยู่นะ หัวไม่ชน สูงหน่อยก็ไม่ชน
อากาศเย็นสบาย เพราะอยู่ในหน้าหนาว
ไม่รู้หน้าร้อนจะเป็นไง
ด้านในแคปซูลไม่มีปรับอากาศให้
สวิสเปิดไฟอยู่ปุ่มขวามือนะคะ
เวลาไปเที่ยว เราชอบพกปลั๊กพ่วงไปด้วย ชาร์ตได้เต็มที่เลย
ในแคปซูลไม่มีปลั๊กค่ะ เลยเสียบตรงข้างประตู
คนมันน้อย เลยเสียบถึงเช้าเลย
หลังจากเก็บของเสร็จแล้วก็ออกไปด้านนอก
ก่อนออก เอากุญแจฝากที่ลอบบี้ก่อนนะคะ
เขาไม่ให้เอาติดตัวออกไปค่ะ
หาร้านกินมือดึกดีกว่า เดินวนอยู่รอบๆตรงนั้นจนร้านเริ่มปิด
คิดว่าแย่แล้ว จะได้กินมั้ยเนี่ย เลยรีบกลับไปทางเดิม
ตรง4แยกที่เป็นทางที่ไปโรงแรมกับสถานีรถไฟน่ะค่ะ
เราเจอร้านน่ากินหลายร้านเลย แต่เราเลือก Matsuya ตามรูปค่ะ
หน้าร้านมีเมนูให้เลือกดูก่อน
เข้าร้านไปจะเจอตู้ซื้อคูปองแบบนี้ค่ะ
เห็นแล้วไม่ต้องกลัว เขามีภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ให้เลือก
ซ้ายมือกินกินในร้าน ขวามือคือเอากลับบ้าน
ยื่นให้พนักงาน
ข้าวหน้าเนื้อ เราเลือกไซส์ปกติ ก็อิ่มจะแย่แล้ว
เขามีเครื่องปรุงให้ ขวดไม้ๆ แล้วก็ชาอุ่นๆ 1 ถ้วย
ซุปมิโสะ
อันนี้เขาเรียกว่าชิจิมิ เราชอบเพราะเราอ่านการ์ตูนเรื่องผูกใจไว้ใกล้ๆเธอ พระเอกเรียกนางเอกว่าชิจิมิ
สองสาวตะลุยโตเกียว-ภูเขาไฟฟูจิ 4วัน4คืน Part2 วันที่18ธันวาคม2558 คืนที่1 รีวิว Capsule Hotel Asakusa Riverside
กระเป๋าจัดเสร็จก่อนตั้ง 2 เดือน มีใครบ้าเหมือนเรามั้ย
คือเราตื่นเต้น ครั้งแรกที่ไปต่างประเทศเอง
เข้าเรื่อง คือเห็นเขาแนะนำให้ใช้ Hyperdia ก็เลยลองจัดแผนเที่ยวและดูตารางรถไฟของวันนั้นๆไปด้วย
วิธีใช้ก็ไม่ยาก ก็เข้าไปเว็บ Hyperdia มีแอพด้วย
ตอนแรกก็งงๆว่าต้องไปยังไง ดูมากๆก็เข้าใจละ แต่พอไปถึงญี่ปุ่นเจอของจริงก็งงอีก
เข้าเรื่องอีกที
วันแรกค่ะ
คือเราเช็คอินออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว (เช็คอินได้ก่อน 2 อาทิตย์) จะได้ไม่ต้องไปเบียดคนเยอะๆ
นั่งรอเวลา ขึ้นเครื่อง เตรียมบินแล้ว 10.50
ใครไปแอร์เอเชีย เตรียมที่รองคอไปนะ เมื่อยคอมาก อยากเอาไป แต่มันเกะกะ ซื้อแบบเป่าลมก็ได้ คือเมื่อยจริงๆ
เตรียมเสื้อกันหนาวด้วยนะ บนเครื่องหนาวค่ะ ใครไม่เตรียมไป เสียเงินเพิ่มนะจ๊ะ
ใครกรอกใบเข้าเมืองไม่เป็น ที่เบาะด้านหน้าจะมีคู่มือ ลองเปิดดูค่ะ
แต่เราเตรียมตั้งแต่อยู่บ้านเลย ใน Pantip มีคนเคยรีวิวไว้นะ ลองหาดูค่ะ
จะมืดแล้ว ใกล้ถึงแล้ว
พอไปถึงที่สนามบินนาริตะ เดินตามป้ายที่เป็นรูปกระเป๋านะคะ เดินไปเรื่อยๆๆๆๆ
ผ่าน ตม. ไม่มีปัญหา รวดเร็วดีค่ะ อ้อ ติดตรงที่มีเจ้าหน้าที่มาดูพาสปอร์ตเรา แล้วบอกว่า โน กัปปะ
อะไรคือโนกัปปะ อ้อ No Cover ให้เอาปกออก โอเครรรร เห็นหลายคนงงกันมากเลย
ใครได้ยินกัปปะ ก็เอาปกออกซะนะคะ
ออกไปก็ตามหาจุดซื้อตั๋วค่ะ ใครจะประหยัดก็นั่งอย่างอื่น แต่เราเน้นเร็วและสบาย เลยเลือก keisei skyliner
เราเลือกที่เป็น 5100 เยน ไปกลับ พร้อมเมโทรพาส 1 วัน เผื่อจะหลงในวันนี้ไง อยากไปดูประดับไฟด้วย
ทั้ง Tokyo sky tree / Ginza / Tokyo Tower / Roppongi หลายที่มากๆ
Skyliner สุดที่ Ueno นะคะ ดูตารางเวลารถออกด้วย บางทีนั่งถูกๆอาจจะถึงเร็วกว่า เพราะ Skyliner นานๆมาคัน
ซ์้อแล้วเรียบร้อยค่ะ บนตั๋วจะมีบอกเวลาออก เวลาถึงปลายทาง หมายเลขขบวน หมายเลขโบกี้ ตามด้วย หมายเลขที่นั่งค่ะ
จริงๆอยากถ่ายรูปมาบอกทางเพื่อนๆนะ แต่ว่ากลัวแบตหมด แล้วก็ลืมด้วยแหละ เวลามันกระชั้น
เอาเป็นว่าซื้อเสร็จมองไปด้านบน มันมีป้ายเขียนบอกอยู่ ไม่ก็ถามเจ้าหน้าที่ Skyliner คำเดียวเขาก็เข้าใจแล้วชี้ทางให้เราแล้ว
สังเกตป้ายด้านบนก่อนว่าเรามาชานชาลาถูกต้องมั้ย ถูกต้องก็ดูที่พื้นค่ะ จะมีบอกหมายเลขโบกี้ นั่งรอให้ถูกที่นะคะ
เพราะเรานั่งรอผิดที่ ไปนั่งโบกี้ที่3 เลยต้องเดินเกะกะคนอื่น เพื่อกลับไปโบกี้ที่ 1 ค่ะ
ตอนซื้อตั๋ว เขาจะมีถามว่าต้องการwifiมั้ย
เราบอกเอาค่ะ จริงๆเราเช่า Pocket Wifi ไป แต่ก็ถือว่าประหยัดแบตไปได้อีกนะ
แต่ Wifi ของ Keisei ที่เขาให้มานั้น ใช้ได้แค่บนรถไฟ Skyliner นะคะ
ขึ้นรถมาก็เจอดาราเลย 555+ ในทีวีนะ ตื่นเต้นจัด ภาพเลยเบลอ
ทายซิใครเอ่ย.....
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่นั่งโล่งดีจุง สะอาดน่านั่ง
แอบถ่ายเด็กน้อยญี่ปุ่น น่ารักน่าชัง
ถึง Ueno แล้ว ทางเดินน่ากลัว นึกถึงหนังผี 555+
จุดหมายที่เราจะไปยังไม่ใช่โรงแรม แต่เป็น Tokyo Sky Tree ค่ะ ไปดูไฟ
เลยเข้าไปใน Hyperdia เช็คตารางรถก่อน
ต้นทางคือ Ueno ปลายทางคือ Oshiage เลือกอันนี้
จะขึ้นมาพรึบๆๆ เยอะมาก เลือกอันแรก และอันนี้ ซื้อตั๋วแค่รอบเดียว
มันจะมีเวลาบอกนะ ใช้เวลาไม่นาน แถมรถมาตรงเวลา ถ้าอันไหนต้องเปลี่ยนรถ
อย่างอันนี้เนี่ย ไปให้ทันได้ก็ยิ่งดีเลย ไม่งั้นต้องรออีก วิ่งเลยค่ะวิ่ง อย่าหลงด้วย
เพราะว่าเราหลงค้าาาาาา
เดินไปสายกินซ่านะคะ ดูจากตัว G for อะไร ดูในตารางซิ ASAKUSA
เดินตามป้ายนี้เลยค้าาา ไปชานชาลาที่ 2 นะ
แนะนำให้พกแผนที่รถไฟก็ดี จะได้ดูว่า ASAKUSA ลงสถานทีที่เท่าไหร่
คนแน่นรถเลย
ถึงแล้วนะ เขียนว่า อะซากุสะ ตามตารางรถ ให้ลงสถานีนี้ค่ะ
เสร็จแล้วก็เดินไป Toei Subway Asakusa Line for INZAIMAKINOHARA
คือเรางงตรงนี้ที่สุดเลยอะค่ะ วันแรก เลยเสียเวลาไปสิบกว่า20นาที
ถามทางเจ้าหน้าที่บอกให้ลงไปที่ชานชาลาใหม่ แต่ตรงชานชาลาก็เป็นสาย Ginza
จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินลงไปบอกแล้วชี้ให้ดู สรุปคือ สาย Asakuza (สัญลักษณ์ตัว A แดง) จะอยู่สุดทางเดินเลย
มันจะมีป้ายบอกค่ะ แต่เราโง่เอง เดินตามป้ายตัว A ไปเรื่อยๆค่ะ แล้วดูเวลาที่รถมาจอด รถคันไหนมาถึงเวลานั้น ก็คันนั้นแหละ
ไม่แน่ใจก็ดูตัวหนังสือที่มันขึ้นโชว์ตรงตัวรถก็ได้ ว่ามันวิ่งไปทางไหน
หลังจากหลงอยู่นาน ในที่สุดก็ขึ้นถูกสายแล้วก็ถึง Tokyo Sky Tree ค่ะ
เสียเวลาไปโข อดขึ้นไปชั้นไรไม่รู้จำไม่ได้ละ เป็นงานคริสมาส เหมือนต่างประเทศพวกฝรั่งอะ มีของกินขาย จัดร้านเล็กๆ มีรูปปั้นหมีขาวด้วย
อดเลยๆ เพราะเขาปิด 4 ทุ่ม เดินหลงทางไปมาก็หมดเวลาแล้ว
เลยถ่ายได้แค่บรรยากาศด้านนอกมา
เจอสาวสวยค่ะ เหมือนตุ๊กตาเลย
ถึงละนะ Tokyo Sky Tree
น้องไข่ขี้เกียจ น่ารักมาก แต่ไม่ได้ซื้อมา
ลุง KFC ก็ใส่ชุดซานต้าด้วย
เด็กญี่ปุ่นแก้มตุ้ยนุ้ยมาก
หลังจากชมวิวเสร็จก็เตรียมตัวกลับ (แค่เนี๊ยะ!!!!)
แพลนที่วางไว้ล่มค่ะ เพราะหลงทางตรงรถไฟเนี่ยแหละ ฮือๆๆ
เตรียมตัวกลับที่พักที่ Asakusa
โรงแรมที่จองไว้ผ่าน Agoda คือ แคปซูลโฮเต็ล อะซะกุซะ ริเวอร์ไซด์ คืนละประมาณ 900 บาท
ระหว่างทางเดินกลับ
เดินลงไปที่สถานีรถไฟอีกที นั่งสายเดิม ASAKUSA LINE เพื่อกลับไปที่ UENO
ใช้ตั๋ว Pass นั่นแหละ มีต้องใช้ ถึงวันนี้หลงทางจนมันไม่คุ้มก็เถอะ
พอถึงสถานี ASAKUSA เริ่มหลงอีก ถามทางออกที่จะไปสู่โรงแรม
เจ้าหน้าที่บอกว่าพูดอังกฤษไม่ได้ เราเลยใช้สกิลภาษาญี่ปุ่นขั้นต้น ถามทางกับเขา
สรุปได้ว่า ต้องออกที่ทางออก Kaminarimon สังเกตป้ายด้านบนเอานะคะ ไว้คราวหน้าจะจดเลขทางออกเอาไว้
พอโผล่ขึ้นไปสู่ด้านบน โรงแรมอยู่ตรงข้าม ต้องข้ามถนนไป
แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ทาง งงมาก เดินมั่วตามแอพ ในแอพ Map ก็รวนอีก
เลยเดินขึ้นไปทางซ้าย ถามทางคนเดินผ่านไปมา ให้เราเดินขึ้นไป
เราก็ข้ามถนนขึ้นไป ซึ่งไม่ใช่ถนนที่ข้ามไปโรงแรม
ไปเจอ KFC เข้าไปถามพนักงาน
พนักงานใจดีมากค่ะ รีบหยิบแผนที่ แล้วเรียกเราออกไปแล้วบอกทางให้
ย้อนกลับไปทางเดิม แล้วถามถนนไปที่ร้าน เบอร์เก้อคิง แล้วเดินไปขวามือนิดนึงจะเจอโรงแรม
ขอบคุณเขาเสร็จ ก็ลากกระเป๋าไป สรุปคือ เราเจอโรงแรมค่ะ ดีใจมาก
เข้าไปยื่นใบจองให้เขาดู เขาจะดูชื่อ และขอพาสปอร์ตเรา แล้วคืนเรามา
เขาจะเริ่มอธิบายกฎของโรงแรม
ห้องพักผู้หญิงจะอยู่ที่ชั้น......ลืมละ ฮ่าๆๆๆ
ก่อนขึ้นไปต้องถอดรองเท้าเก็บล็อคเกอร์ซะก่อน เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ
ห้องน้ำรวมจะปิดตอน 5 ทุ่มมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ห้องน้ำรวมอยู่ชั้นบนอีก
เช็คเอ้าท์ 10 โมงเช้า
ก่อนอื่นก็ขึ้นไปเก็บกระเป๋าก่อน เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย
ขึ้นไปอาจจะงงๆ ออกลิฟมาเลี้ยวขวา ตรงไปเจอประตูเปิดเข้าไปค่ะ
เจอล็อกเกอร์เยอะๆ เอากุญแจที่เขาให้มาไขดู ด้านในมีชุดให้เปลี่ยน มีผ้าขนหนู มียาสีฟันแปรงสีฟันค่ะ
ห้องน้ำค่ะ ใช้ได้ตลอด เนื่องจากเป็นชั้นผู้หญิง ส้วนสำหรับท่านชายเลยถูกปิดเอาไว้แบบนี้
อ่างล้างหน้า เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีไดเป่าผมให้ใช้ด้วย ไม่ต้องเตรียมไปเอง มีปลั๊ก ใครแบตหมดมาชาร์ตได้
เปิดประตูเข้าไปอีกบานนึง จะเจออันนี้ค่ะ แคปซูล ตื่นเต้น ได้นอนแคปซูล
ชัดๆหน่อย (หลายรูปถ่ายตอนเช้า)
เราได้นอนชั้นบน เพื่อนก็เหมือนกัน
ปีนขึ้นไปแล้วนะ ตัวหนังสือตรงหัวเตียงแปลว่า ห้ามสูบบุหรี่
ด้านซ้ายมือมีวิทยุ มีสวิสไฟ มีนาฬิกาปลุก แต่เราใช้ไม่เป็นค่ะ
ใช้เป็นแค่สวิสเปิดปิดไฟอย่างเดียว
ปล. ตรงหน้าแคปซูลจริงๆมีปุ่มให้กด มันเป็นสวิสไฟเหมือนกัน
ไม่ต้องปีนเข้าไปควานหามืดๆ แต่เรารู้ตอนเช้าแล้วอะ
เราเข้าใจมาตลอดว่าแคปซูลจะมีกระจกปิดเป็นประตูได้
แต่ไม่ใช่อะ มันมีแค่เนี้ยยยย ดึงลงมาปิด จะเสียงดังไม่ได้เลย
นอนลงไปก็จะเป็นแบบนี้ รูปนี้ถ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จ
เราสูงแค่ 151 นั่งขึ้นมาก็เหลือที่เยอะอยู่นะ หัวไม่ชน สูงหน่อยก็ไม่ชน
อากาศเย็นสบาย เพราะอยู่ในหน้าหนาว
ไม่รู้หน้าร้อนจะเป็นไง
ด้านในแคปซูลไม่มีปรับอากาศให้
สวิสเปิดไฟอยู่ปุ่มขวามือนะคะ
เวลาไปเที่ยว เราชอบพกปลั๊กพ่วงไปด้วย ชาร์ตได้เต็มที่เลย
ในแคปซูลไม่มีปลั๊กค่ะ เลยเสียบตรงข้างประตู
คนมันน้อย เลยเสียบถึงเช้าเลย
หลังจากเก็บของเสร็จแล้วก็ออกไปด้านนอก
ก่อนออก เอากุญแจฝากที่ลอบบี้ก่อนนะคะ
เขาไม่ให้เอาติดตัวออกไปค่ะ
หาร้านกินมือดึกดีกว่า เดินวนอยู่รอบๆตรงนั้นจนร้านเริ่มปิด
คิดว่าแย่แล้ว จะได้กินมั้ยเนี่ย เลยรีบกลับไปทางเดิม
ตรง4แยกที่เป็นทางที่ไปโรงแรมกับสถานีรถไฟน่ะค่ะ
เราเจอร้านน่ากินหลายร้านเลย แต่เราเลือก Matsuya ตามรูปค่ะ
หน้าร้านมีเมนูให้เลือกดูก่อน
เข้าร้านไปจะเจอตู้ซื้อคูปองแบบนี้ค่ะ
เห็นแล้วไม่ต้องกลัว เขามีภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ให้เลือก
ซ้ายมือกินกินในร้าน ขวามือคือเอากลับบ้าน
ยื่นให้พนักงาน
ข้าวหน้าเนื้อ เราเลือกไซส์ปกติ ก็อิ่มจะแย่แล้ว
เขามีเครื่องปรุงให้ ขวดไม้ๆ แล้วก็ชาอุ่นๆ 1 ถ้วย
ซุปมิโสะ
อันนี้เขาเรียกว่าชิจิมิ เราชอบเพราะเราอ่านการ์ตูนเรื่องผูกใจไว้ใกล้ๆเธอ พระเอกเรียกนางเอกว่าชิจิมิ