Carol ละเมียดละไม นุ่มนวล งดงามดังบทกวี





นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ดูหนังที่นุ่มนวล ละเมียดละไม อย่างหนังเรื่องนี้ ที่จริงแล้วจะว่าไปก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะตัวเราไม่ค่อยได้ดูหนังสมัยนี้เท่าไหร่ เผอิญเป็นดูแต่หนังคลาสสิคก็เลยไม่ค่อยได้เข้าโรงหนัง

  
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตัวอย่างหนัง


      เฝ้ารอหนังเรื่องนี้มาสองปีเต็มๆ ตั้งแต่รู้ข่าวว่า Cate Blanchett มาแสดงเป็น Carol คู่กับนักแสดงหญิงอีกคนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมาเป็น Rooney Mara เป็นความหวังของแฟนคลับคนหนึ่งของ Cate ที่อยากเห็นเธอแสดงบทหญิงรักหญิง เพราะบุคลิคที่สง่างามของเป็นที่ถูกใจของผู้หญิงหลายคน ถ้าเป็นหญิงแท้ก็อยากจะ elegant แบบนี้ หญิงเลสคงก็อยากเจอแบบนี้บ้างสักคน


    Carol สรัางมาจากนิยายแนว pulp fiction ที่ฮิตถล่มทลาย The Price of Salt แต่งโดย Patricia Highsmith ในนามปากกา Clair Morgan เนื่องจากเนื้อเรื่องหมื่นเหม่ต่อศีลธรรมของยุคนั้น และ Patricia Highsmith เองก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้วในงานเขียนแนวสืบสวน อาชญากรรม และเรื่องนี้ความรักก็เป็นอาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง เรื่อง Carol ก็ไม่ใช่เรื่องแรกของ Highsmith ที่ Cate เล่น เพราะเมื่อปี 1999 เธอก็ได้แสดงในเรื่อง The Talented Mr. Ripley มาก่อน





    เนื้อเรื่องของหนังก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา เป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามในนิวยอร์คยุค 50 ความรักของสองคนที่แตกต่างกันในทุกอย่าง Carol คือผู้หญิงแต่งงานแล้ว กำลังจะหย่า มีลูกสาวตัวเล็กหนึ่งคน  มีอันจะกิน อายุมากกว่า ส่วน Therese เป็นสาวน้อยแคชเชียร์ ผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นช่างภาพ แต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อกล้องดีๆมาถ่าย  

    สิ่งที่แตกต่างระหว่างหนังกับหนังสือคือ Therese ในหนังเป็นช่างภาพ ในหนังสือเป็นนักตกแต่งฉากละครเวที ในหนังก็ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ ซึ่งในหนังสือก็กล่าวไว้ชัดเจนมาก ส่วน Carol ก็เป๊ะมากอย่างกะว่าเดินออกมาจากหนังสือ แบบว่าพลิกหนังสือไปหน้าไหนก็เห็นแต่หน้า Cate ลอยมา

    ผู้กำกับ Todd Haynes บอกเอาไว้ว่าเขาได้ต้นแบบของ Therese จาก Vivian Maier ช่างภาพแนว Street แห่งเมืองนิวยอร์ค ผู้ไม่เปิดเผยผลงานตัวเอง จนหลังจากเสียชีวิตแล้วมีคนมาเจอฟิล์มของเธอและงานของเธอก็ได้ถูกเปิดเผยต่อชาวโลก



Carol Aird




Therese Belivet




    หนังเรื่องนี้คงจะไม่เหมาะสำหรับคอหนังที่ชอบอะไรหวือหวา เนื้อเรื่องถูกเล่าตั้งแต่นาทีแรกที่พบกันของทั้งสอง การต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์การได้ดูแลบุตร การออกเดินทาง การพลัดพราก ในหนังสือก็ประมาณนี้ ดำเนินเรื่องไปอย่างเรียบๆ แต่ด้วยความละเมียดละไมที่ทำให้เรื่องธรรมดาๆแบบนี้ถูกถ่ายทอดออกมางดงามราวกับบทกวี ฉากทุกฉากไม่หวือหวา แต่ไม่มีสักฉากเลยที่เวิ่นเว้อ ทุกฉากมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง ดูไปจนถึงฉากจบแล้วตกใจว่า อ้าวว จบเร็วจัง



    การเซทฉากทำให้คนดูเหมือนหลุดเข้าไปในยุค 50 ทั้งดนตรีประกอบ เพลง Jazz เพราะๆ อย่างเพลง  Easy Living ที่ร้องโดย Billie Holiday ที่กล่าวไว้ในหนังสือว่าเป็นเพลงโปรดของ Carol ก็ถูกนำมาใส่ในหนัง ( ในหนังสือ Carol ขอให้ Therese เล่นเปียโนให้ฟัง และเธอก็เลือกเล่น Sonata ของ Scarlatti แต่ในหนัง Therese เล่นเปียโนเพลง Easy Living ที่บ้านของ Carol และซื้อแผ่นเสียงเพลงนี้ให้เป็นของขวัญวันคริสมาสต์แก่ Carol) เพลง Easy Living นี่แหละที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของ Carol ได้ดีที่สุด

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

เพลง Easy Living ที่ถูกใส่เข้ามาในหนัง

งาน cinematographie ที่ถ่ายทอดมุมกล้องออกมาได้อย่างเป็นศิลปะ หลายฉากมากๆที่ถ่ายออกมาผ่านกระจก ซึ่งกระจกเป็นตัวแทนของความรักของสองคนที่ถูกกีดกันไว้ เหมือนในหนังสือที่เรื่องราวถูกมองผ่านสายตา Therese ในหนังก็เช่นกัน การซูมเข้าไปเพื่อให้เห็น Carol แบบใกล้ แพนกล้องให้เห็นต่างหู ลำคอ การจับแก้วมาร์ตินีมาดื่ม เหมือนเรากำลังใช้สายของ Therese มอง Carol อย่างชื่นชมเหมือนเธอเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Therese เล่นเปียโนเพลง  Easy Living ของ  Billie Holiday ที่บ้านของ Carol


และที่สำคัญคืองานคอสตูมทำได้ดีงามมาก ทำให้ Cate Blanchett จากที่สง่าอยู่แล้วยิ่งงามหนักเข้าไปใหญ่ในแฟชั่นยุคนี้ ตัว Therese เองจะไม่แอบมอง Carol แบบตาค้างได้อย่างไรเมื่อเห็นเธอครั้งแรกในเสื้อขนมิ้งค์และเล็บสีคอรัลที่เข้ากับสีหมวกและผ้าพันคอไหม


  



    ในหนังสือจะเป็นการเล่าเรื่องโดยที่ Therese เป็นศูนย์กลาง ซึ่ง Rooney Mara ทำได้ดีมากจริงๆ การแสดงของเธอทำให้เห็นว่าเธอรัก หลงใหล และบูชาในตัว Carol มากแค่ไหน รู้ว่ารักแต่ไม่ได้มีต้นแบบความรักให้ดูเพราะยุคนั้นความรักในเพศเดียวกันไม่ได้ถูกเปิดเผยเลย รางวัลสมทบหญิงเมืองคานส์ของ Mara ก็คงจะการันตีได้แล้ว ( อีกอย่าง Rooney Mara เหมือน Audrey Hepburn มากจนน่าขนลุก) และตัว Carol เองก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้เป็นผู้หญิงที่น่าลึกลับน่าค้นหาเหมือนในหนังสือ เป็น sophisticated lady อย่างแท้จริง


          


       เคมีของทั้งสองคนนี่แรงมาก ตั้งแต่ฉากที่เจอกันครั้งแรกที่ Therese แอบมอง Carol ที่กำลังเลือกดูของเล่นให้ลูกหลังเคาท์เตอร์ไกล แล้วสายตาของทั้งสองก็ป๊ะกันพอดี ตั้งแต่ฉากนี้จนฉากสุดท้าย เราไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียดฉากโรแมนติกมากจนเลี่ยน แม้กระทั่งตอนที่ Carol รุกหนักๆ เพราะมันถูกแสดงออกทางสายตา รอยยิ้ม การเอาใจใส่กันและกัน Carol เป็นคนที่ดูแข็งๆ หยิ่งๆ ส่วน Therese ก็อายๆเหมือนเกรงใจอยู่ตลอด กว่าจะบอกคำว่ารักกันได้ก็ตอนจบนู่นเลย



       ฉากร้องไห้ Rooney เอาอยู่มากๆ และ Carol ก็ตาแดงก่ำอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงให้เห็นความอ่อนแอเลย ทั้งตอนทะเลาะกับสามีต่อหน้า Therese ทั้งฉากระเบิดอารมณ์ต่อหน้าทนาย



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Therese ให้ของขวัญแก่ Carol


    และแน่นอน สิ่งที่ดีงามที่สุดในเรื่องนี้คือ Cate Blanchett  

    ดิฉันค่อนข้างมั่นใจว่า Cate จะได้เข้าชิงออสการ์นำหญิง แต่คงไม่ถึงขนาดที่จะคว้าตัวที่สามมากอด แต่ดิฉันก็บอกได้เช่นกันว่านี่คือการแสดงที่ดีที่สุดของ Cate เนื่องด้วยโทนของหนังไม่ได้หนัก ดราม่าจัดๆ จิตๆ แบบที่ถูกใจออสการ์ และแน่นอนว่าบทแบบนี้ Cate เอาอยู่แบบสบายๆ



    ตัวละคร Carol บอกได้เลยว่าเล่นไม่ง่าย ทุกจริตท่าทางเหมือนคิดออกมาดีถี่ถ้วนแล้ว ทุกอิริยาบถ การพูด โทนเสียงต่ำๆ แนวๆ Marlene Dietrich ทำให้ Carol เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์จัดๆ มีพลังยั่วยวนเหลือล้น ถ้าตั้งใจดูดีๆ สังเกตุ gesture ต่างๆ เราจะเห็นความละเอียดอ่อนในรายละเอียดที่ Cate แสดงออกมา เช่นทุกครั้งที่ Carol ชวน Therese ทำอะไรก็ตาม เช่นชวนไปบ้าน ชวนออกทริป ชวนไปอะไรต่างๆกล้ามเนื้อมุมปากของ Carol จะกระตุกนิดๆ เหมือนเขินๆ แต่คงความ elegant หยิ่งๆ ไว้ตามสไตล์ Carol และทุกครั้งที่ Carol รุกหนักๆ แววตา น้ำเสียง รอยยิ้ม หัวเราะ นี่มาเต็มหมด คือถ้าดิฉันเป็น Therese คือคงตายไปตรงนั้นแล้ว เช่นฉากที่เจอกันครั้งแรกที่ Carol มาซื้อตุ๊กตาให้ลูกสาว แล้วก่อนจะเดินออกจากร้านไปก็หันหลังมาบอก Therese ว่า "I like the hat." พร้อมกับขยิบตาข้างนึงให้ ฉากนี้คือเล่นคนทั้งโรงคิกๆคักๆกันเป็นแถบ    


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ฉาก I like the hat



บทสนทนา  การส่งสายตา การสวมกอด ทุกอย่างในเรื่องดูนุ่มละมุน กลมกล่อมไปหมด






แม้กระทั่งฉากเลิฟซ้นยังนุ่มนวลมากๆ ไม่เสียแรงที่รอมาสองปีค่ะ







สิ่งเดียวที่ไม่ทำให้ออกมาจากโรงแล้วรู้สึกปลื้มมีอย่างเดียวคือ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ไปดูอีกแน่นอนค่ะ จนกว่าจะออกโรง อีกอย่างคือไปดูรอบภาษาอังกฤษมา เพราะอยากฟังเสียง Cate แต่ด้วยความที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ บางประโยคก็ฟังไม่ทัน รอบต่อไปเลยจะไปดูพากย์ฝรั่งเศสเพื่อเก็บรายละเอียดอีกทีด้วย

เห็นว่าจะเข้าโรงเมืองไทยด้วยด้วยนะคะปีหน้ารอกันหน่อย แม้แต่ในอเมริกาเองก็จำกัดโรงฉายมากๆ บางรัฐก็เข้าเดือนกุมภาเลย



มีห้าดาวก็ให้ห้าดาว มีสิบดาวก็ให้สิบดาวค่ะ รักจริงๆค่ะหนังเรื่องนี้




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่