ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุกประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองคสมเด็จพระปรมินทรธรรมิก มหาราชาธิราชเจาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ จักรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในธรรมวิจักขณกถา ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปญญาบารมี, ถารับพระราชทานถวายวิสัชนาไป มิไดตองตามโวหารอรรถาธิบาย ในพระธรรมเทศนาบทใดบทหนึ่งก็ดี ขอเดชะพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ และพระขันติคุณ ไดทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัยแกอาตมะผูมีสติปญญานอย ขอถวายพระพร.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ ฯ
โย ธัมมัง ปสสะติ, โส มัง ปสสะติ โย ธัมมัง นะ ปสสะติ, โส มัง นะ ปสสะตี-ติ ธัมโม
สักกัจจัง โสตัพโพติ ฯ
ณ บัดนี้ จักไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในธรรมวิจักขณกถา ดำเนินความตามวาระพระบาลี ดังที่ไดยกขึ้นไวเป็นนิกเขปบทเบื้องตนวา โย ธัมมัง ปสสะติ โส มัง สสะติ ฯลฯ เป็นอาทิ ซึ่งมีใจความวา “ผู้ใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นเราตถาคต ; ผูใดไมเห็นธรรม ผู้นั้นไมเห็นเราตถาคต” ดังนี้เป็นตน เพื่อเป็นธรรมเทศนา เนื่องในโอกาสพระราชกุศลวิสาขบูชา ตามพระราชประเพณี
ก็แล ในการกุศลวิสาขบูชานี้ พุทธบริษัททั้งหลาย ยอมถวายการบูชาอันสูงสุดดวยกาย วาจา ใจ แดสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจา. การบูชาดวยกาย ก็คือการเดินเวียนประทักษิณเป็นตน, การบูชาดวยใจ ก็คือการนอมระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น อยูตลอดเวลาแหงการกระทำวิสาขบูชา. ก็แตวาการกระทำทั้งสามประการนี้ จักสำเร็จประโยชนเต็มที่ได ก็ดวยการเห็นธรรมตามที่พระพุทธองคไดตรัสไววา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ดังที่กลาวแลวขางตนนั้นเอง. ดังนั้น จะไดถวายวิสัชนาโดยพิสดาร ในขอความอันเกี่ยวกับคำวา “ธรรม” ในที่นี้.
จากพุทธภาษิตนั้น ยอมแสดงใหเห็นไดโดยประจักษอยู่แลววา “พระพุทธองคจริงนั้น คือสิ่งที่เรียกวา ธรรม” หรือ “ธรรม นั่นแหละ คือพระพุทธองค องคจริง” ,ดวยเหตุนั้นเอง พระพุทธองคจึงไดตรัสวา ผู้ใดไมเห็นธรรม ผูนั้นไมเห็นเราตถาคต ; ตอเมื่อเห็นธรรม จึงชื่อวาเห็นตถาคต. ก็แล ในสมัยที่พระพุทธองคยังทรงพระชนมชีพอยูนั้น พระสรีระรางกายของพระองคได้ต้องอยูในฐานะเป็นตัวแทนแหงธรรม สำหรับรับเครื่องสักการบูชา แหงสัตวโลกทั้งหลายเป็นตน ครั้นพระองคเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว ก็มีพระสารีริกธาตุ คือธาตุอันเนื่องกับพระสรีระนั้น ไดเหลืออยู่เป็นตัวแทนแหงธรรมสืบไปตลอดกาลนาน ดังเชนพระสารีริกธาตุแหงนี้ ที่พุทธบริษัททั้งหลาย มีสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเป็นประธาน ไดกระทำสักการบูชา เสร็จสิ้นไปเมื่อสักครูนี้. ขอนี้ สรุปความไดวา พระพุทธองค พระองคจริงนั้น ยังอยูตลอดกาล และเป็นสิ่งเดียวกันเสมอไป , ไดแกสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” สวนนิมิต หรือตัวแทนแหงธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปไดตามควรแกสถานะ, คือจะเป็นพระสรีระของพระองคโดยตรงก็ได, หรือจะเป็นพระสารีริกธาตุก็ได, หรือจะเป็นอุทเทสิกเจดียมีพระพุทธรูปเป็นตน ก็ได, แตทั้งหมดนั้น ลวนแตมีความหมายอันสำคัญ สรุปรวมอยู่ที่สิ่งที่เรียกวา “ธรรม” นั่นเอง.
คำวา “ธรรม” คำนี้ เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลก เป็นคำที่แปลเป็นภาษาอื่นไมได ไดมีผูพยายามแปลคำคำนี้เป็นภาษาตางประเทศ เชน ภาษาอังกฤษเป็นตน ออกไปตั้ง ๒๐–๓๐ คำ ก็ยังไมไดความหมายครบ หรือตรงตามความหมายของภาษาบาลี หรือภาษาของพุทธศาสนา . สวนประเทศไทยเรานี้โชคดี ที่ไดใชคำคำนี้ เสียเลย โดยไมตองแปลเป็นภาษาไทย, เราจึงไดรับความสะดวก ไมยุงยากลำบากเหมือนพวกที่พยายามจะแปลคำคำนี้เป็นภาษาของตนๆ
คำวา “ธรรม” เป็นคำสั้นๆ เพียงพยางคเดียว แตมีความหมายกวางขวางลึกซึ้ง นามหัศจรรยอยางยิ่ง เพียงไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาดูอยางยิ่ง ดังตอไปนี้. ในภาษาบาลี หรือภาษาพุทธศาสนาก็ตาม คำวา “ธรรม” นั้น ใชหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไมยกเวนสิ่งใดเลย, ไมวาจะเป็นสิ่งดี สิ่งชั่ว หรือสิ่งไมดีไมชั่ว ก็รวมอยู่ในคำวา “ธรรม” ทั้งหมด ดังพระบาลีวา กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากะตา ธัมมา, เป็นอาทิ.
ลักษณะเชนที่กลาวนี้ของคำวา “ธรรม” ยอมเป็นอยางเดียวกันกับคำวา “พระเป็นเจา” แหงศาสนาที่มีพระเป็นเจา เชนศาสนาคริสเตียนเป็นตน. คำคำนั้นเขาใหหมายความวา สิ่งทุกสิ่ง รวมอยู่ในพระเป็นเจาเพียงสิ่งเดียว. ดังนั้นแมในวงพุทธศาสนาเรา ถาจะกลาวกันอยางใหมีพระเป็นเจากะเขาบางแลว เราก็มีสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” นี้เอง ที่ตั้งอยูในฐานะเป็น “พระเป็นเจา” อยางครบถวนสมบูรณ. ทั้งนี้ก็เพราะวาสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” ในพุทธศาสนานั้นหมายถึงสิ่งทุกสิ่งจริงๆ. เพื่อใหเห็นไดอยางแจงชัดและโดยงาย วาสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง อยางไรนั้น เราอาจจะทำการจำแนกไดวา “ธรรม” หมายถึงสิ่งเหลานี้ คือ
(๑) ธรรมชาติทุกอยางทุกชนิด ลวนแตเรียกในภาษาบาลีวา “ธรรม” หรือธรรมในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ นั่นเอง.
(๒) กฎของธรรมชาติ ซึ่งมีประจำอยูในธรรมชาติเหลานั้น ก็เรียกในภาษาบาลีวา “ธรรม” อีกเหมือนกัน, นี้คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ, และมีความหมายเทากันกับสิ่งที่เรียกวา “พระเป็นเจา” ในศาสนาที่ถือวามีพระเป็นเจาอยูอยางเต็มที่แลว.
(๓) หนาที่ตางๆ ที่มนุษยจะตองประพฤติหรือกระทำ ในทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม, นี้ก็เรียกโดยภาษาบาลีวา ธรรม อีกเหมือนกัน. มนุษยตองประพฤติใหถูกใหตรงตามกฎของธรรมชาติ จึงจะไมเกิดความทุกขขึ้นมา. มนุษยสวนมากสมัยนี้หลงใหลในทางวัตถุมากเกินไป ไมสนใจสิ่งที่เป็น ความสุขทางนามธรรม ขอนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎธรรมชาติ จึงเกิดการยุงยากนานาประการที่เรียกกันวา “วิกฤติกาล” ขึ้นในโลก จนแกกันไมหวาดไมไหว. มนุษยสมัยนี้ ตองการสิ่งประเลาประโลมใจ แตในทางวัตถุ, ไมตองการธรรมเป็นเครื่องประเลาประโลมใจ เหมือนคนในครั้งพุทธกาล. และยิ่งไปกวานั้นอีกก็คือ มนุษยสมัยนี้ มีการกักตุนเอาไวเป็นของตัว หรือพวกของตัว มากเกินไป จนผิดกฎของธรรมชาติ, จึงไดเกิดลัทธิอันไมพึงปรารถนาขึ้นมาในโลกอยางที่ไมเคยเกิดมาแตกอน ดังนี้เป็นตน. ขอนี้ เป็นตัวอยางของการที่มนุษย ประพฤติหนาที่ของตน อยางไมสมคลอยกันกับกฎของธรรมชาติ, หรือเรียกอีกอยางหนึ่งก็คือ ประพฤติผิดตอธรรมฝายที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข. แตไดเป็นไปในฝายที่จะสรางความทุกขขึ้นมาในโลก อยางไมมีที่ส้ินสุด. นี้อยางหน่ึ่ง.
(๔) ผลของการทำหนาที่ หรือการปฏิบัติ. ที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ เชนความทุกข ความสุข หรือการบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือแมที่สุดแตความเป็นพระพุทธเจา ของพระพุทธองคก็ดี ซึ่งก็ลวนแตเป็นผลของการทำหนาที่ หรือการปฏิบัติไปทั้งนั้น, ทั้งหมดนี้ ทุกชนิดทุกอยาง ก็ลวนแตเรียกโดยภาษาบาลีวา “ธรรม” อีกเหมือนกัน. ทั้งหมดนี้ คือความหมายอันกวางขวางของคำวา “ธรรม” ซึ่งมีอยูเป็นประเภทใหญๆ ๔ ประเภท.
สรุปแลวคำวา “ธรรม” เพียงพยางคเดียว หมายความไดถึง ๔ อยาง คือ หมายถึง ตัวธรรมชาติก็ได, หมายถึงกฎของธรรมชาติก็ได, หมายถึงหนาที่ ที่มนุษยตองทำใหถูกตามกฎของธรรมชาติก็ได, และหมายถึงผลตางๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหนาที่นั้นๆ ก็ได. นับวาเป็นคำพูดคำหนึ่ง ที่ประหลาดที่สุดในโลก, และไมอาจจะแปลเป็นภาษาอื่นได ดวยคำเพียงคำเดียว ดังที่กลาวแลวขางตน.เมื่อสิ่งที่เรียกวาธรรม มีมากมายมหาศาลอยางนี้ ปญหาจะเกิดขึ้นมาวา คนเราจะรูธรรม หรือเห็นธรรม ไดทั้งหมดอยางไรกัน ? เกี่ยวกับขอนี้ พระพุทธองคไดตรัสไวเองแลววา เราอาจจะรู้ไดทั้งหมด และปฏิบัติไดทั้งหมด ในสวนที่จำเป็นแกมนุษยหรือเทาที่มนุษยจะตองเขาเกี่ยวของดวย. สวนที่เหลือนอกนั้นไมตองสนใจเลยก็ได, ขอนี้ พระองคไดตรัสไววา ธรรมที่ตถาคตไดตรัสรูทั้งหมดนั้น มีปริมาณเทากับใบไมหมดทั้งปา , สวนธรรมที่นำมาสอนคนทั่วไปนั้น มีปริมาณเทากับใบไมกำมือเดียว. ขอนี้หมายความวา ทรงนำมาสอนเทาที่จำเป็นแกการดับทุกขโดยตรง เทานั้น. ธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้น แมจะกลาวกันวา มีถึง ๘๔๐๐๐ ขอ หรือ ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธก็ตาม ก็ยังสรุปลงไดในคำพูดเป็นประโยคส้ั้นๆ เพียงประโยคเดียววา “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” ซึ่งแปลวา “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไมควรสำคัญ ม่ันหมาย วา ตัวตน หรือของตน” ดังนี้. การรูขอนี้ คือการรู้ธรรมทั้งหมด, การปฏิบัติขอนี้ คือการปฏิบัติธรรมทั้งหมด, ในพระพุทธศาสนา, และเป็นการมีชัยชนะเหนือความทุกขทั้งหมดได เพราะเหตุนั้น, ไมวาจะเป็นทุกขสวนบุคคล หรือเป็นทุกขของโลกโดยสวนรวม ก็ตาม. ถาผู้ใดเห็นธรรมสวนนี้โดยประจักษ ผู้นั้นชื่อวา เป็นผู้เห็นองคพระตถาคตพระองคจริงโดยแทจริง.
ธรรมเทศนาแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว และสมเด็จพระนางเจาพระบรมราชินีนาถ โดยพุทธทาสภิกขุ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ ฯ
โย ธัมมัง ปสสะติ, โส มัง ปสสะติ โย ธัมมัง นะ ปสสะติ, โส มัง นะ ปสสะตี-ติ ธัมโม
สักกัจจัง โสตัพโพติ ฯ
ณ บัดนี้ จักไดรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในธรรมวิจักขณกถา ดำเนินความตามวาระพระบาลี ดังที่ไดยกขึ้นไวเป็นนิกเขปบทเบื้องตนวา โย ธัมมัง ปสสะติ โส มัง สสะติ ฯลฯ เป็นอาทิ ซึ่งมีใจความวา “ผู้ใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นเราตถาคต ; ผูใดไมเห็นธรรม ผู้นั้นไมเห็นเราตถาคต” ดังนี้เป็นตน เพื่อเป็นธรรมเทศนา เนื่องในโอกาสพระราชกุศลวิสาขบูชา ตามพระราชประเพณี
ก็แล ในการกุศลวิสาขบูชานี้ พุทธบริษัททั้งหลาย ยอมถวายการบูชาอันสูงสุดดวยกาย วาจา ใจ แดสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจา. การบูชาดวยกาย ก็คือการเดินเวียนประทักษิณเป็นตน, การบูชาดวยใจ ก็คือการนอมระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น อยูตลอดเวลาแหงการกระทำวิสาขบูชา. ก็แตวาการกระทำทั้งสามประการนี้ จักสำเร็จประโยชนเต็มที่ได ก็ดวยการเห็นธรรมตามที่พระพุทธองคไดตรัสไววา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ดังที่กลาวแลวขางตนนั้นเอง. ดังนั้น จะไดถวายวิสัชนาโดยพิสดาร ในขอความอันเกี่ยวกับคำวา “ธรรม” ในที่นี้.
จากพุทธภาษิตนั้น ยอมแสดงใหเห็นไดโดยประจักษอยู่แลววา “พระพุทธองคจริงนั้น คือสิ่งที่เรียกวา ธรรม” หรือ “ธรรม นั่นแหละ คือพระพุทธองค องคจริง” ,ดวยเหตุนั้นเอง พระพุทธองคจึงไดตรัสวา ผู้ใดไมเห็นธรรม ผูนั้นไมเห็นเราตถาคต ; ตอเมื่อเห็นธรรม จึงชื่อวาเห็นตถาคต. ก็แล ในสมัยที่พระพุทธองคยังทรงพระชนมชีพอยูนั้น พระสรีระรางกายของพระองคได้ต้องอยูในฐานะเป็นตัวแทนแหงธรรม สำหรับรับเครื่องสักการบูชา แหงสัตวโลกทั้งหลายเป็นตน ครั้นพระองคเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว ก็มีพระสารีริกธาตุ คือธาตุอันเนื่องกับพระสรีระนั้น ไดเหลืออยู่เป็นตัวแทนแหงธรรมสืบไปตลอดกาลนาน ดังเชนพระสารีริกธาตุแหงนี้ ที่พุทธบริษัททั้งหลาย มีสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเป็นประธาน ไดกระทำสักการบูชา เสร็จสิ้นไปเมื่อสักครูนี้. ขอนี้ สรุปความไดวา พระพุทธองค พระองคจริงนั้น ยังอยูตลอดกาล และเป็นสิ่งเดียวกันเสมอไป , ไดแกสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” สวนนิมิต หรือตัวแทนแหงธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปไดตามควรแกสถานะ, คือจะเป็นพระสรีระของพระองคโดยตรงก็ได, หรือจะเป็นพระสารีริกธาตุก็ได, หรือจะเป็นอุทเทสิกเจดียมีพระพุทธรูปเป็นตน ก็ได, แตทั้งหมดนั้น ลวนแตมีความหมายอันสำคัญ สรุปรวมอยู่ที่สิ่งที่เรียกวา “ธรรม” นั่นเอง.
คำวา “ธรรม” คำนี้ เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลก เป็นคำที่แปลเป็นภาษาอื่นไมได ไดมีผูพยายามแปลคำคำนี้เป็นภาษาตางประเทศ เชน ภาษาอังกฤษเป็นตน ออกไปตั้ง ๒๐–๓๐ คำ ก็ยังไมไดความหมายครบ หรือตรงตามความหมายของภาษาบาลี หรือภาษาของพุทธศาสนา . สวนประเทศไทยเรานี้โชคดี ที่ไดใชคำคำนี้ เสียเลย โดยไมตองแปลเป็นภาษาไทย, เราจึงไดรับความสะดวก ไมยุงยากลำบากเหมือนพวกที่พยายามจะแปลคำคำนี้เป็นภาษาของตนๆ
คำวา “ธรรม” เป็นคำสั้นๆ เพียงพยางคเดียว แตมีความหมายกวางขวางลึกซึ้ง นามหัศจรรยอยางยิ่ง เพียงไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาดูอยางยิ่ง ดังตอไปนี้. ในภาษาบาลี หรือภาษาพุทธศาสนาก็ตาม คำวา “ธรรม” นั้น ใชหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไมยกเวนสิ่งใดเลย, ไมวาจะเป็นสิ่งดี สิ่งชั่ว หรือสิ่งไมดีไมชั่ว ก็รวมอยู่ในคำวา “ธรรม” ทั้งหมด ดังพระบาลีวา กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากะตา ธัมมา, เป็นอาทิ.
ลักษณะเชนที่กลาวนี้ของคำวา “ธรรม” ยอมเป็นอยางเดียวกันกับคำวา “พระเป็นเจา” แหงศาสนาที่มีพระเป็นเจา เชนศาสนาคริสเตียนเป็นตน. คำคำนั้นเขาใหหมายความวา สิ่งทุกสิ่ง รวมอยู่ในพระเป็นเจาเพียงสิ่งเดียว. ดังนั้นแมในวงพุทธศาสนาเรา ถาจะกลาวกันอยางใหมีพระเป็นเจากะเขาบางแลว เราก็มีสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” นี้เอง ที่ตั้งอยูในฐานะเป็น “พระเป็นเจา” อยางครบถวนสมบูรณ. ทั้งนี้ก็เพราะวาสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” ในพุทธศาสนานั้นหมายถึงสิ่งทุกสิ่งจริงๆ. เพื่อใหเห็นไดอยางแจงชัดและโดยงาย วาสิ่งที่เรียกวา “ธรรม” หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง อยางไรนั้น เราอาจจะทำการจำแนกไดวา “ธรรม” หมายถึงสิ่งเหลานี้ คือ
(๑) ธรรมชาติทุกอยางทุกชนิด ลวนแตเรียกในภาษาบาลีวา “ธรรม” หรือธรรมในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ นั่นเอง.
(๒) กฎของธรรมชาติ ซึ่งมีประจำอยูในธรรมชาติเหลานั้น ก็เรียกในภาษาบาลีวา “ธรรม” อีกเหมือนกัน, นี้คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ, และมีความหมายเทากันกับสิ่งที่เรียกวา “พระเป็นเจา” ในศาสนาที่ถือวามีพระเป็นเจาอยูอยางเต็มที่แลว.
(๓) หนาที่ตางๆ ที่มนุษยจะตองประพฤติหรือกระทำ ในทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม, นี้ก็เรียกโดยภาษาบาลีวา ธรรม อีกเหมือนกัน. มนุษยตองประพฤติใหถูกใหตรงตามกฎของธรรมชาติ จึงจะไมเกิดความทุกขขึ้นมา. มนุษยสวนมากสมัยนี้หลงใหลในทางวัตถุมากเกินไป ไมสนใจสิ่งที่เป็น ความสุขทางนามธรรม ขอนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎธรรมชาติ จึงเกิดการยุงยากนานาประการที่เรียกกันวา “วิกฤติกาล” ขึ้นในโลก จนแกกันไมหวาดไมไหว. มนุษยสมัยนี้ ตองการสิ่งประเลาประโลมใจ แตในทางวัตถุ, ไมตองการธรรมเป็นเครื่องประเลาประโลมใจ เหมือนคนในครั้งพุทธกาล. และยิ่งไปกวานั้นอีกก็คือ มนุษยสมัยนี้ มีการกักตุนเอาไวเป็นของตัว หรือพวกของตัว มากเกินไป จนผิดกฎของธรรมชาติ, จึงไดเกิดลัทธิอันไมพึงปรารถนาขึ้นมาในโลกอยางที่ไมเคยเกิดมาแตกอน ดังนี้เป็นตน. ขอนี้ เป็นตัวอยางของการที่มนุษย ประพฤติหนาที่ของตน อยางไมสมคลอยกันกับกฎของธรรมชาติ, หรือเรียกอีกอยางหนึ่งก็คือ ประพฤติผิดตอธรรมฝายที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข. แตไดเป็นไปในฝายที่จะสรางความทุกขขึ้นมาในโลก อยางไมมีที่ส้ินสุด. นี้อยางหน่ึ่ง.
(๔) ผลของการทำหนาที่ หรือการปฏิบัติ. ที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ เชนความทุกข ความสุข หรือการบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือแมที่สุดแตความเป็นพระพุทธเจา ของพระพุทธองคก็ดี ซึ่งก็ลวนแตเป็นผลของการทำหนาที่ หรือการปฏิบัติไปทั้งนั้น, ทั้งหมดนี้ ทุกชนิดทุกอยาง ก็ลวนแตเรียกโดยภาษาบาลีวา “ธรรม” อีกเหมือนกัน. ทั้งหมดนี้ คือความหมายอันกวางขวางของคำวา “ธรรม” ซึ่งมีอยูเป็นประเภทใหญๆ ๔ ประเภท.
สรุปแลวคำวา “ธรรม” เพียงพยางคเดียว หมายความไดถึง ๔ อยาง คือ หมายถึง ตัวธรรมชาติก็ได, หมายถึงกฎของธรรมชาติก็ได, หมายถึงหนาที่ ที่มนุษยตองทำใหถูกตามกฎของธรรมชาติก็ได, และหมายถึงผลตางๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหนาที่นั้นๆ ก็ได. นับวาเป็นคำพูดคำหนึ่ง ที่ประหลาดที่สุดในโลก, และไมอาจจะแปลเป็นภาษาอื่นได ดวยคำเพียงคำเดียว ดังที่กลาวแลวขางตน.เมื่อสิ่งที่เรียกวาธรรม มีมากมายมหาศาลอยางนี้ ปญหาจะเกิดขึ้นมาวา คนเราจะรูธรรม หรือเห็นธรรม ไดทั้งหมดอยางไรกัน ? เกี่ยวกับขอนี้ พระพุทธองคไดตรัสไวเองแลววา เราอาจจะรู้ไดทั้งหมด และปฏิบัติไดทั้งหมด ในสวนที่จำเป็นแกมนุษยหรือเทาที่มนุษยจะตองเขาเกี่ยวของดวย. สวนที่เหลือนอกนั้นไมตองสนใจเลยก็ได, ขอนี้ พระองคไดตรัสไววา ธรรมที่ตถาคตไดตรัสรูทั้งหมดนั้น มีปริมาณเทากับใบไมหมดทั้งปา , สวนธรรมที่นำมาสอนคนทั่วไปนั้น มีปริมาณเทากับใบไมกำมือเดียว. ขอนี้หมายความวา ทรงนำมาสอนเทาที่จำเป็นแกการดับทุกขโดยตรง เทานั้น. ธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้น แมจะกลาวกันวา มีถึง ๘๔๐๐๐ ขอ หรือ ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธก็ตาม ก็ยังสรุปลงไดในคำพูดเป็นประโยคส้ั้นๆ เพียงประโยคเดียววา “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” ซึ่งแปลวา “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไมควรสำคัญ ม่ันหมาย วา ตัวตน หรือของตน” ดังนี้. การรูขอนี้ คือการรู้ธรรมทั้งหมด, การปฏิบัติขอนี้ คือการปฏิบัติธรรมทั้งหมด, ในพระพุทธศาสนา, และเป็นการมีชัยชนะเหนือความทุกขทั้งหมดได เพราะเหตุนั้น, ไมวาจะเป็นทุกขสวนบุคคล หรือเป็นทุกขของโลกโดยสวนรวม ก็ตาม. ถาผู้ใดเห็นธรรมสวนนี้โดยประจักษ ผู้นั้นชื่อวา เป็นผู้เห็นองคพระตถาคตพระองคจริงโดยแทจริง.