พฤติกรรมและมารยาทการตรวจค้นของด่านวังดิน อ.ลี้ จ.ลำพูน

จนถึงวันนี้ความรู้สึกแย่ๆยังไม่หาย


ข้าพเจ้าได้เดินทางโดยรถทัวร์จากอ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 เมื่อเดินทางมาถึงด่านตรวจวังดิน อ.ลี้ จ.ลำพูน มีจนท.ขึ้นมาตรวจ เอาไฟฉายส่องผู้โดยสาร และเมื่อมาถึงข้าพเจ้า จนท.คนนั้นก็ถามข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงเข้มๆห้วนๆว่า “จะไปไหน” “กรุงเทพฯ” ข้าพเจ้าตอบกลับไป เขายังคงมองหน้าอยู่สักพัก แล้วจึงส่องไฟมาที่พนักพิงด้านหน้าของข้าพเจ้าที่มีตะข่ายไว้เก็บของผู้โดยสาร แล้วจึงตรวจค้นเบาะถัดไป โดยที่ไม่ได้ถามผู้โดยสารคนอื่นอย่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มเคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่ได้ยินเสียงรูดซิบกระเป๋าพร้อมกับเสียงรื้อค้น แล้วเสียงจนท.คนเดิมก็ถามห้วนๆขึ้นว่า “นี่อะไร” ผู้โดยสารเจ้าของกระเป๋าตอบว่า “น้ำผึ้ง” แล้วเขาก็ยังรื้อค้นกระเป๋าใบนั้นอยู่สักพัก จึงรูดซิบเก็บ แล้วยัดคืนที่ชั้นวางด้านบนหัวของผู้โดยสาร เขายังคงส่องๆไฟรอบๆอยู่บริเวณที่เขายืนแล้วเดินตรงกลับมาที่หัวรถ ซึ่งจะมีพื้นที่เล็กๆไว้วางสัมภาระชิ้นไม่ใหญ่สัก2-3ชิ้น (ลักษณะรถทัวร์คันนี้เป็นรถโค้ช2ชั้น เขาขึ้นมาจากประตูด้านหน้าตรงข้ามคนขับแล้วขึ้นบันไดมาตรวจค้น)


จนท.คนเดิมนั่งลงแล้วเริ่มรื้อค้นสัมภาระที่วางอยู่บริเวณนั้น รื้อค้นย่ามพระที่วางรวมกันหลายๆใบ รวมถึงกระเป๋าเป้ของข้าพเจ้าที่วางรวมอยู่ตรงนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเสียงรูดซิปกระเป๋า แน่นอนมันเป็นกระเป๋าของข้าพเจ้า ซึ่งวางอยู่ใบเดียวเพราะที่เหลืออย่างที่บอกคือ ย่ามพระหลายๆใบ ข้าพเจ้าจึงกระเถิบตัวออกมาที่เบาะติดทางเดิน (ข้าพเจ้านั่งอยู่แถว2ฝั่งซ้ายริมหน้าต่างไม่ไกลจากที่ตำรวจกำลังรื้อค้น) ภาพที่เห็นคือ เขานั่งหันหลังให้ผู้โดยสารทั้งหมดเพราะอยู่หน้ารถ ตัวบังกระเป๋าที่กำลังรื้อค้น เพราะฉะนั้นจะได้ยินแต่เสียง เสียงค่อยๆเปิดซิบโน่นนี่ รื้นค้นนานมาก แล้วได้ยินเสียงเหมือนเริ่มเอาสัมภาระในกระเป๋าของข้าพเจ้าออกทีละชิ้น เพราะในกระเป๋าช่องใหญ่สุด ข้าพเจ้าใส่ถุงผลไม้2ถุงจะวางอยู่ด้านบนสุด เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเสียงถุงพลาสติก ข้าพเจ้าฟังอยู่สักพักว่าทำไมแค่ตรวจกระเป๋าใบเดียวใช้เวลา“บรรจงรื้อค้น”นานผิดปกติ โดยที่มีสัมภาระอยู่อีกมากน่าจะเดินไปตรวจ แต่มาให้ความสนใจกับกระเป๋าของข้าพเจ้านานผิดปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า การตรวจค้นโดยปกติจะทำรวดเร็วและหลากหลายไม่เน้นหรือเจาะจงกับใบหนึ่งใบใด เพราะอยากรู้ว่าเขาทำอะไรกับกระเป๋าข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าจึงพูดเดินเข้าไปหาแล้วพูดเสียงธรรมดาออกไปว่า “จะตรวจค้นกระเป๋าทำไมไม่ขออนุญาตก่อน” แล้วเดินกลับไปนั่งที่ เขาหันมาถามว่า “ในกระเป๋ามีอะไร” “ไม่มีไรอยากตรวจก็ตรวจไป แต่ควรจะขออนุญาติก่อน” แล้วปฏิกริยาคนอยากได้ผลงานก็ออกทันที เขาหันหน้ามาถาม “ข้างล่างมีกระเป๋าอีกปล่าว” เรานึกในใจ...“เออถามฉลาดดี ถ้ามีใครจะตอบ” แต่ก็ไม่ได้โกหกแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่มี” เราพูดต่อว่า“เอาหมามาดมก็ได้” เขาห้วนมาเราห้วนตอบ แล้วเขาก็เสียงดังแบบไม่สบอารมณ์บอกคนข้างล่างว่า “เอาใบนี้ไปตรวจอย่างละเอียด” นึกในใจอีก....“เออ!เอาเข้าไปบ้าจี้ดี” แล้วไอ้ที่นั่งนานๆหันหลังเอาตัวบังโดยที่ไม่มีใครเห็นว่ากำลังทำอะไรแล้วรื้อค้นของเรานานๆเนี่ยยังไม่ละเอียดอีกเหรอ!?!?!


พอเห็นกระเป๋าตัวเองถูกหิ้วลง ข้าพเจ้าก็เดินตามลงไป ตอนนั้นโกรธและอารมณ์เสียมากๆ คือไม่ชอบการพูดจาและการกระทำของคนในเครื่องแบบอาชีพนี้ ที่ชอบวางท่าคอยข่มประชาชนที่เขาทำมาหากินประกอบอาชีพสุจริต ส่วนใหญ่เรามักจะเจอแต่คนอาชีพนี้วางท่า ทำเสียงเข้ม พูดจาแข็งๆห้วนๆ อยากรู้เขาสั่งสอนกันมาอย่างนี้เหรอ เขาบริการประชาชนอย่างนี้ใช่ไหม?


ข้าพเจ้าเดินตามกระเป๋าตัวเองลงรถไป จากง่วงนอนตอนนี้หายง่วงสนิท ภาพที่เห็นรอบๆคือ มีจนท.หลายๆคนมายืนล้อมโต๊ะที่ใช้ตรวจสัมภาระ ห่างออกไปไม่ไกล มีตำรวจคนหนึ่งที่คอยถ่ายคลิปตลอดเวลา ข้าพเจ้าบอกทีมค้นไปว่า ขอดูมือก่อนว่าไม่มีอะไรก่อนตรวจกระเป๋า เขาก็แบมือออก แล้วมารุมทึ้งตรวจกระเป๋าข้าพเจ้าประมาณ4-5คน (กระเป๋าไซส์แครี่ออนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ อ้วนๆตุงๆ) ข้าพเจ้า “อยากตรวจก็ตรวจเลย”


ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงถามว่าใครเป็นหัวหน้าทีมตรวจค้น หนึ่งในที่กำลังรุมทึ้งกระเป๋าก็แสดงตัวออกมา  ข้าพเจ้าก็ถามเขาอีกครั้งว่า ทำไมเวลาตรวจไม่ขออนุญาตก่อน อยากเปิดก็เปิดเลย เขาก็ว่า “ไม่ต้องกลัว” เรา:“ไม่ได้กลัว” ...ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมายก็ไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้ว...แต่อย่างที่บอก แค่ไม่ชอบใจการกระทำที่ไม่รัดกุมของจนท.คนนั้นเท่านั้น


แล้วหัวหน้าทีมก็เดินมาถามว่ามีบัตรประชาชนไหม ไหนขอดูหน่อย ข้าพเจ้าก็ส่งให้ดู แต่เขาไม่ได้แค่ดู เราขอคืนทันที เขารีบชักมือกลับ  เขายึดบัตรแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วลอกข้อมูล ชื่อ เลขที่ ที่อยู่ตามบัตรประชาชน!?!?!? เราถามว่า ทำไมต้องลงบันทึกประจำวัน เขาบอกว่า เป็นการเขียนรายงานว่ามีการตรวจค้น เป็นขั้นตอนปฏิบัติของเขา เออ....ระบบ!!! เอาเข้าไป ความรู้สึกของข้าพเจ้าตอนนี้ รู้สึกแย่มาก เหมือนทำอะไรผิดกฏหมายทั้งๆที่ไม่ได้ทำไรผิดเลยสักหน่อย


ข้าพเจ้าเดินกลับไปดูกระเป๋าที่กำลังโดมรุมทึ้ง การถ่ายคลิปก็ยังคงอยู่ ข้าพเจ้าพูดว่า “อยากถ่ายก็ถ่ายไป” แต่รู้สึกเหมือนถูกละเมิดหลายๆอย่างอย่างบอกไม่ถูก เกลียดวิธีการที่เขารุมกระทำกับเราเป็นอย่างมาก แล้วจนท.คนเดิมที่ตรวจกระเป๋าบนรถพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “เดี๋ยวเอาไปตรวจฉี่ด้วยนะ” “ตรวจเด่ะตรวจเลย” ข้าพเจ้าก็เกินจะทน คนไม่ได้เสพย์ ไม่ได้ทำไรผิดกฏหมาย มันกล้าท้าทายกลับอยู่แล้ว การกระทำของจนท.นายนี้มันเหมือนกับว่า ต้องการหาความผิดให้ได้ เพราะไม่พอใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก “คง”ต้องการที่จะเล่นงานให้ได้ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรเหรอ? (ดูช่างใช้อำนาจบาตรใหญ่เหลือเกิน) ค้นสิ่งแปลกปลอมไม่เจอ เลยจะต้องหาความผิดอย่างอื่นให้ได้ เป็นเพียงเพราะไม่พอใจกับคนที่กล้าแสดงความคิดเห็น ดีเนอะดีจังเลย ผู้เกี่ยวข้องดูคลิปนี้ได้เลย จำได้ว่า มีตำรวจท้วมๆคอยถ่ายคลิปตลอดเวลาเป็นมือถือซัมซุงจอใหญ่สีออกทองๆ


การตรวจกระเป๋าสิ้นสุด แต่ของในกระเป๋ายัดกลับเข้าไปไม่ได้หมือนเดิม ต้องเดินกลับไปจัดเรียงข้าวของเองอีก แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของหัวหน้าทีม ซึ่งยังไม่ได้คืนบัตรให้กับข้าพเจ้า ตอนนี้คนถ่ายคลิปมายืนถ่ายแต่ข้าพเจ้าเป็นล่ำเป็นสัน “เพื่อ?” การค้นหามันสิ้นสุดแล้วยังถ่ายหา....อะไรอยู่? เพื่อนๆที่กำลังอ่านถ้าเป็นเรากำลังรู้สึกอะไรบ้างในสถานการณ์คนแปลกหน้าในเครื่องแบบ ต่างที่ ต่างถิ่น ยามวิกาลตัวคนเดียวไม่รู้จักใคร บอกได้เลยว่ามันแย่มาก อึดอัดใจ แต่การกระทำของพวกเขา เขาไม่รู้หรอก นี่เราเป็นประชาชนมือสะอาดไม่เคยเกี่ยวข้องกับสิ่งต้องห้ามทุกอย่าง ยังแย่มากๆขนาดนี้


ข้าพเจ้าขอบัตรปชช.คืน แล้วพูดแบบไม่พอใจว่า “จะตรวจขีตรวจเยียวก็ตรวจเลย” เพราะต้องการจะยุติแล้วกลับขึ้นรถ รถก็จอดรอ ผู้โดยสารคนอื่นๆต้องมาเสียเวลากับเราไปด้วย หัวหน้าชุดตรวจชวนให้นั่งลงตรงข้ามเขา เราไม่ยอมนั่งยืนกอดอกคุยกับเขา เขาก็บอก “มันก็มีบ้างที่อาจทำให้ไม่พอใจ”, “มันก็อาจทำให้ใครพอใจได้ไม่ทั้งหมด” อะไรทำนองนี้สักอย่าง เราเองคงไม่ได้จำข้อความที่ถูกต้องได้100%  เออ!งั้นต้องรอให้วัวหายเหรอ วันนี้ยังไม่เกิด วันนึงมองเห็นช่องทางล่ะ ทุกๆสายอาชีพด้วยซ้ำไป ที่ทำงานมาไม่เคยมีประวัติแต่อยู่ๆมาเงินช็อต อยู่ๆเป็นหนี้เป็นสิน แล้วทำอะไรอย่างที่ไม่ควรทำมันก็มีให้เห็นทุกอาชีพ ข้าพเจ้าคิดแบบนี้ เขายังไม่ไว้ใจเราเลย เราเองก็“มีสิทธิ์”ที่จะไม่ไว้ใจเขา ความคิดมันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเกิดอะไรไม่คาดคิด คดีพวกนี้มันร้ายแรงนะ ข้าพเจ้าเองก็ยังมีอนาคตในหน้าที่การงาน ยังมีการสนทนาอีกนิดหน่อย แต่ข้าพเจ้าจำรายละเอียดไม่หมด ประมาณว่า “ทีมงานเขาวางใจได้” เรา:“เราไม่เชื่อใจ เรื่องก็เคยได้ยินกันอยู่” “เรื่องอะไร” “คุณรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ แค่พูดว่าขออนุญาตก่อนตรวจแค่นั้นเอง” หน.:“อาจจะทำอะไรให้ไม่พอใจบ้างก็ขอโทษด้วย” “ใช่!ขอโทษน่ะเป็นไหม” “มา-ระ-ยาท น่ะรู้จักไหม มันควรที่จะมี” แถวๆนี้แหละ เราจะย้ำบ่อยๆเลยว่ามารยาท มันเป็นเรื่องของมาทยาท หลังๆเขาชักจะถามเรื่องอื่นๆ เพื่ออาจจะต้องการการรีแลกซ์หรือด้วยเหตุผลใดๆ ข้าพเจ้าไม่ต้องการตอบให้ยืดเยื้อ เพราะคำถามชักจะนอกประเด็นและมันชักจะเสียเวลาผู้โดยสารคนอื่นไปด้วยจึงตอบแบบไม่ญาติดีด้วย ประมาณว่า “แล้วนี่นั่งรถมาจากไหน” “ก็แล้วรถมันเขียนว่าอะไรล่ะ” (คำถามนี่ไม่ต่างจากคนมาขึ้นตรวจคนแรกเลยว่าจะไปไหน ทั้งๆที่หน้ารถก็เขียนตัวมหึมาชัดเจนว่า”กรุงเทพฯ”) “ไปเที่ยวดอยอินทนนท์เหรอ หรือไปทำงาน” “รถมันเขียนว่ามาจากจอมทอง แล้วคิดว่าจะไปที่ไหนล่ะ” เรารู้นะว่า เป็นตำตอบที่กวนประสาท แต่เราไม่ต้องการที่จะพูดดีๆกับคนพวกนี้แล้ว ตกลงหัวหน้าทีมเขาไม่ได้ตรวจปัสสาวะ


สนทนาจนจบจนเดินขึ้นรถ ก็ยังไม่เห็นมีใครพูดคำว่า ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ หรือขอโทษใดๆทั้งสิ้น ส่วนตัวเรามีอะไรที่ขัดขวางการตรวจไหม กล้าพูดได้เลยว่า ไม่มี ให้ความร่วมมือดีทุกอย่าง แต่อาจจะแสดงความรำคาญออกมาบ้างหลังจากที่รู้สึกว่าจนท.ที่ค้นกระเป๋าบนรถเขาไม่พอใจจึงบอกให้จนท.นายอื่นตรวจค้นกระเป๋าอย่างละเอียด มันจะตายใช่ไหม มันเสียฟอร์มมากใช่ไหม หรือดอกพิกุลมันจะร่วง ถ้าจะทำกับประชาชนด้วยความสุภาพอ่อนน้อมเนี่ย ไปอบรมกันก่อนได้ไหม เรื่องมาทยาทสังคมเนี่ย แล้วดูปฏิกริยาของคนบริสุทธิ์ใจกับคนมีสิ่งผิดกฏหมายนี่มองไม่ออกใช่ไหม ผ่านวิชาสืบสวนสอบสวนมาได้อย่างไร ขนาดน้ำผึ้งเขายังไม่รู้จักเลย


เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นออกมาในขณะที่เขารื้อค้นกระเป๋าคือ ในกระเป๋าข้าพเจ้ามีทั้งบัตรเอทีเอ็ม เงิน เอกสารสำคัญ รวมทั้งกล้องถ่ายภาพและอุปกรณ์ต่างๆมูลค่าร่วมแสน ซึ่งกระเป๋าไม่สามารถยัดไว้ในช่องเก็บของบนหัว หรือวางไว้กับพื้นใกล้ๆตัวตรงเบาะ ใช้เวลาเดินทาง10-12ชม.กับการนั่งหลับในท่าขัดสมาธิ ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี และเป็นไปไม่ได้ที่ของสำคัญขนาดนี้จะเลือกเก็บไว้ใต้ท้องรถ จึงเลือกวางไว้ที่หน้ารถทุกครั้งเพราะสามารถมองเห็นได้ตลอด เห็นไหม? คนอื่นเขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน ไอ้ที่น่าคิดอย่างอื่น สมมุติว่า ถ้าบางคนเขาใส่สร้อยทองหรือของมีค่าชิ้นเล็กๆแล้วคนตรวจมีพฤติการแบบนี้ล่ะ


ข้าพเจ้าไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกมองว่า การแสดงความคิดเห็นออกมาในขณะที่จนท.กำลังตรวจกระเป๋าบนรถ จะถูกมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนคนที่เงียบกลายเป็นคนที่ไม่มีปัญหา ข้าพเจ้าจะไม่แสดงอะไรออกมาเลย “หากเขาขออนุญาตก่อนการตรวจค้น” เหมือนกับด่านอื่นๆที่เคยเจอมาทั้งหมดในทุกๆการเดินทาง และไม่เอาตัวเองบังกระเป๋าที่กำลังตรวจค้น “วิธีแก้ปัญหาก็มีอยู่หลายวิธี!!!” ทำไมไม่ถามหาล่ะก่อนตรวจค้นว่า นี่ใครเป็นเจ้าของ แล้วช่วยกรุณาตรวจค้นให้คนโดยรวมและเจ้าของกระเป๋ามองเห็นพฤติกรรมของคุณได้ไหม? โปร่งใสมากนะสิ่งที่เสนอมาเนี่ย


ส่วนเรื่องการถ่ายคลิป หลังจากที่เก็บของเข้ากระเป๋าหมดแล้ว ถ้าการรือค้นแล้วไม่พบสิ่งใดๆผิดปกติ ก็ควรที่จะยุติการถ่ายด้วยเหมือนกัน เพราะเขาเดินมาถ่ายที่หน้าตอนเราตอบคำถามตลอด มันรู้สึกว่าถูกละเมิดบอกไม่ถูก และไม่เข้าใจว่าจะถ่ายต่อเพื่ออะไร?


ส่วนกรณีต้องจดทั้งชื่อ เลขที่ และที่อยู่ ในบัตรปชช
. ประเด็นของการกระทำนี้คือ ท่านใดพอจะทราบไหมว่า ทำไมต้องจดรายละเอียดของคนบริสุทธิ์ถึงขนาดนี้ เพื่อเป็นผลงานหรือ?ดูไม่สมเหตุสมผล แล้วจะมีผลกระทบใดๆต่อผู้ถูกกระทำบ้าง


คนอ่านคิดยังไงกับเหตุการณ์นี้ ขอแค่ว่าก่อนเพื่อนๆแสดงความคิดเห็น รบกวนอ่านให้อะเลียดถึงเหตุผลและความรู้สึกของข้าพเจ้าก่อนว่าทำไมถึงได้ทำแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่แย่เอามากเอาๆกับพฤติกรรมทีมตรวจค้นที่มารยาทแย่ ไม่ได้ขออนุญาต ไม่เคยขอโทษ หรือไม่ได้ยินแม้แต่คำว่า ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ แต่เรามักจะได้ยินบ่อยๆแค่ว่า เราทำตามหน้าที่!!! แต่ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ เข้าใจนะว่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนที่นี่เคยทำผลงานได้ และก็เข้าใจอีกว่า....ใกล้ปีใหม่แล้ว พูดแค่นี้แหละ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่