ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ ตอนที่ 2 แอกอันหนัก บนบ่าชาวยุทธจักร

ท่านที่เคารพรักครับ  การค้นหาความจริง ให้ชัดเจนหลุดออกจากมายาคติ  การแก้ปมปริศนาหนึ่ง เพื่อไปพบกับปริศนาหนึ่งนั้น เป็นเรื่องปรกติของวิถีการคลายปมเงื่อน    แต่การคลำเบาะแสของปมแล้วไปเจอตอ ต่างหากที่เป็นเรื่องน่าหนักใจของประดาคนที่เราเรียกว่านักสืบ

ในยุคสมัยของบู๊เฮียบ บู๊ลิ้มนั้น ชื่อของชอลิ่วเฮียง มาพร้อมกับโอ้วทิฮวย ส่วนเล็กเสี่ยวหงศ์ ก็มาพร้อมกับ ฮวยมั่วเล้า อาจจะคล้ายกับการมาถึงของ เชอร์ล็อค โฮล์ม และหมอวัตสัน คู่หูนักสืบแห่งถนนเบเก้อร์     ก่อนจะบรรยายบุคลิกการสืบค้นหาความจริงของนักสืบผู้โด่งดัง หลายนามหลายประเภท  หลายยุค  ซึ่งต้องใช้เวลามาก ยกตัวอย่างเช่น บางคนนั่งอยู่ในเงามืด นั่งผูกและแก้ปมเชือกเล่นอยู่ในมุมหนึ่งของร้านน้ำชา
บางคนเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย บางคนใช้เพียงสัมผัสที่หกและเหตุผล ความน่าจะเป็น แต่สิ่งหนึ่งที่นักสืบมีเหมือนกันคือ  ความเที่ยงธรรม ที่มีพลังไม่ยอมสยบให้กับความเลวร้าย หรือเรียกได้ว่า ชิงชังรังเกลียดความ อยุติธรรม

       ความเป็นนักสืบค้นหาความจริงนั้น มีในทุกตัวตนคนเรา  และความชอบปิดบังความจริง ก็มีในตัวตนคนเรา ทุกคนเฉกเช่นกัน


       มีคำถามกันมาว่า   แล้วตู่ เต้น หากเป็นนักสืบ   จะจัดอยู่ในประเภทไหนกันเล่า   ซึ่งก็ขอตอบได้ว่า   คนทั้งสองจัดอยู่ในประเภท " อเมริกัน  ฟลาเนอร์ "       นักสืบแบบฟลาเนอร์ชน  เป็นพวกชอบเดินเท้าเตร็จเตร่    ไปโน้น มานี่   เดินเข้าตามตรอก ออกตามซอกซอย  แล้วแต่เท้าจะพาไป   แล้วแต่เท้าจะพาไปพบเจอ  พบเจออะไรก็หยุดดู ไม่พบเจอก็เดินต่อไป  เป็นลักษณะนักสืบคลาสสิค

  ซึ่งนักสืบเดินเท้านี้  ตามแต่เท้าจะพาไปนี้ ก็มีบ้าง  ที่เท้าจะพาไปเจอมือ    ไปเจอเท้า ไปเจอตอ

     แต่ที่แน่ๆ บุคลิกคนที่เป็นนักสืบ มักจะหัวไว   เคยมีคำถามมาอีกว่า  แล้วเราจะเรียกนักสืบสองท่านนี้ว่าอย่างไรกันเล่า   ซึ่งก็คงไม่มีคำเรียกกึ่งฉายาแกมยกย่องทั้งสองคำใดจะเหมาะสมไปกว่าคำว่า  
" นักสืบหัวใส "   ซึ่งก็ไม่ได้มาจากโหงวเฮ้งลักษณะศรีษะของบุรุษทั้งสองไม่   แต่มาจากนักสืบอื่นๆที่เรียกกันอย่างยกย่องว่า นักสืบสมองใส  นั่นเอง

          ปรกติแล้วการดูมวย มีพากษ์มวย ชกซ้าย เตะซ้าย กรรมการแยกออกพร้อมบอกชก
การดูบอล มีพากษ์บอล ยิงลูกโทษ ได้ใบแดง ใบเหลือง  ทุกอย่างเห็นด้วยสายตา ไม่มีคนพากษ์ก็ดู รับรู้เองได้ บางคนดูบอล แต่ปิดเสียง เพราะรำคาญทีมพากษ์

แต่ การเมือง   ข่าวการเมือง  ดูการเมือง  มันมีอะไรมากกว่านั้น   มันมีอะไรมากกว่านั้น  การอ่านข่าว  การเล่าข่าว  มันมีอะไรมากกว่านั้น  และมันคืออะไร ?    มันคือ ความจริง มันคือมายาคติ  หรือเพราะ การเมือง มองด้วยสายตา ยากจะเข้าใจ  หรือเพราะ การเมืองมันมีม่านมายาของ " อำนาจ " เพื่อปิดบัง อำพราง ความจริง

หากเราย้อนยุคสมัยไปไกลถึงชอบราเดอร์  ในเรื่องฤทธิ์มีดสั้น  การเดินทางของ อาฮุย ขึ้นสู่วัดเสี้ยวลิ้มยี่เพื่อไปช่วยเหลือลี้คิมฮวงนั้น   เป็นการตีตั๋วเที่ยวเดียว  รู้ทั้งรู้ว่ามีหลุมพราง  
ไปแล้วต้องตาย   แต่อาฮุยก็ยังไป  นี่คือ คุณธรรมน้ำมิตรของคำว่า " สหาย "  

เล้งโซ่วฮุ้นที่ได้ ลิ่มซีอิมไปครอบครอง และยังทำร้ายลี้คิมฮวง ทำร้ายแล้ว ทำร้ายอีก  ลี้คิมฮวงยังนับเป็นสหาย   อาฮุยยิ่งกว่าสหาย ในสหาย  เพราะอาฮุยทุ่มเทชีวิตพยายามช่วยเหลือลี้คิมฮวง ให้ทำความจริงให้ปรากฏ      การปรากฏขึ้นในเรื่องนั้น  อาฮุยอายุ 22 ส่วนลี้คิมฮวง อายุ 38 นี่เป็นความรอบคอบของคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนอย่างท่านโกวเล้ง   ที่ให้ลี้คิมฮวงมากประสบการณ์สามารถ " ควบคุม " ตัวเองได้     ในยามที่ลิ่มเซียนยี้เปลือยเรือนร่างต่อหน้า

แต่อาฮุยฉายา ทารกแห่งบู๊ลิ้ม ผู้อ่อนต่อโลก  กลับไม่อาจทนทานเสน่ห์อันสะคราญโฉมได้ จนตกลงไปในห้วงรักเหวลึก

อาฮุยติดหล่มความรัก ลุ่มหลงต่อลิ่มเซียนยี้  แต่ผู้เยี่ยมยุทธที่โดนจัดอันดับในยุทธจักร ก็มีสภาพไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ทุกๆคนต่างก็มีแอกของแต่ละคน
สำหรับรายนามลำดับจอมยุทธที่แป๊ะเฮี่ยวเซ็งจัดทำขึ้นนั้น   หนึ่งถึงสามรายชื่อ มีดังนี้  หนึ่งกระบองเทียนกี เฒ่าแซ่ซุน   สอง ห่วงหงส์ทองคำ เซียงกัวกิมฮ้ง  สาม เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่เคยพลาดเป้า ลี้คิวฮวง

อันดับสาม ลี้คิมฮวง  ดื่มสุรา  ติดสุรา  จมปลักอยู่กับอดีต  ครุ่นคำนึงถึงสตรีนางหนึ่ง  นางที่ไม่เคยอยู่ชิดใกล้  แต่เงาร่างนางอยู่ในใจลี้คิมฮวงเสมอมา  
อันดับหนึ่ง  เฒ่าแซ่ซุน  สูบกล้องยา  ติดยาเส้น  

แต่เซียงกัวกิมฮ้ง อันดับสอง หนักกว่านั้น   นั่นคือ มันเสพติดอำนาจ    เซียวกัวกิมฮ้ง มัน " บ้าอำนาจ "

การพยายามขึ้นสู่จุดสูงสุดกุมอำนาจเป็นใหญ่ในยุทธจักร ทำให้มันต้องพยายามทำทุกอย่าง  เพื่อให้ได้ " อำนาจ " มา  และทำทุกอย่าง  เพื่อรักษาอำนาจไว้

ความหนักเบาข้อนี้ ถือว่าลี้คิมฮวงและเฒ่าแซ่ซุนแบกแอกที่หนักกว่าน้อยนัก  เพราะอย่างน้อยคนทั้งสอง ก็ไม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสุราและยากล้อง  
คนทั้งสองจึงมีสติสัปชัญญะที่แจ่มใสมากกว่าเซียวกัวกิมฮงมากนัก


  ท่านที่เคารพรักครับ   กระแสติดสติ้กเกอร์ตามตัวถังรถว่า   " รถคันนี้สี.... "   ( ต่างๆที่ไม่ตรงกับสีรถ ) เป็นที่นิยมไปทั่ว นี่คือตัวอย่างบ้านๆที่เป็นปฏิทรรศน์ของความขัดแย้งอย่างโจ่งแจ้งในตัวเอง    เพราะสติ้กเกอร์บอกว่ารถสีหนึ่ง   แต่รถจริงๆเป็นอีกสีหนึ่ง  เราจึงพบเห็นความจริงสวนทางกับ มายาคติ   เป็นลักษณะพื้นฐานในสังคม ที่พยายาม " อำพราง ปิดกั้น " สิ่ง ที่เห็นเป็นอยู่  และไม่ยอมรับ

เฉกเช่นมีคำพูดหนึ่ง  ในหนังเปาบุ้นจิ้น  ที่ว่า     " หากให้ก่อน  ก็คือสินบน   แต่หากให้ทีหลัง  ก็คือ สินน้ำใจ "  นั่นเองครับ

...................

ขอน้อมคารวะครับ  พี่ๆ ทุกๆท่าน ด้วยความนับถือเสมอมาครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่