สวัสดีค่ะ
ออกตัวก่อนว่า นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก ผิดพลาดยังไงต้องออกตัวขอโทษก่อนนะคะ พอดีว่ามีเรื่องอยากจะเล่าและมีเรื่องอยากปรึกษาตรงตามหัวข้อที่ตั้งเลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราได้ไปเที่ยวเขมรกับเพื่อน roommate ชาวฟิลิปปินส์ที่แชร์บ้านอยู่ที่อเมริกาด้วยกันมาค่ะ พอคืนวันสุดท้ายเพื่อนก็บินกลับฟิลิปปินส์ไป ส่วนตัวเราก็อยู่ต่อเสียมเรียบอีกคืนนึง วันรุ่งขึ้นถึงค่อยนั่งรถกลับไทย ซึ่งเราก็ซื้อตัวรถบัส จาก เสียมเรียบ - กรุงเทพ ราคา $15 มีรถตุ๊กตุ๊กมารับถึง Lobby โรงแรมไปส่งที่คิวขึ้นรถบัสเลยค่ะ ตอนไปถึงรถบัสก็ไม่ได้สนใจอะไรใครเลย นั่งรถบัสมาจนถึงชายแดนที่อรัญประเทศ ข้ามด่านมาเรียบร้อยรอขึ้นรถจากชายแดนเข้ามากรุงเทพ จังหวะตอนนี้แหละค่ะที่ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนนักเดินทางแปลกหน้าคนใหม่
ตอนที่ซื้อตัว พนักงานบอกว่าเป็น Bus ไม่ใช่ Van เราก็โอเคมากกับการนั่งรถบัส เพราะเราเป็นคนที่นั่งรถตู้ไม่ได้ นั่งแล้วปวดหัวคลื่นไส้ตลอดเลย ซึ่งเราก็นั่งรถบัสตั้งแต่เสียมเรียบมาถึงชายแดนเลยค่ะ แต่พอมาถึงฝั่งไทยรถที่นั่งดันเปลี่ยนมาเป็นนั่งรถตู้แทน เป็นรถตู้ 14 ที่นั่ง แต่เขาให้นั่งแค่ 13 ที่ เพราะว่า 1 ที่เอาเป็นที่วางกระเป๋า ลูกค้าทั้งหมด 13 คน มีเราเป็นคนไทยแค่คนเดียว ที่เหลือฝรั่งหมดเลยค่ะ (แอบงงเหมือนกันว่าหลุดมากับเขาได้ยังไง) เป็นที่รู้กันว่าฝรั่งตัวใหญ่ กระเป๋าก็ใบใหญ่ๆกันทั้งนั้น รถเลยแน่นมาก แต่โชคดีที่เราเป็นผู้หญิงตัวเล็ก backpack เราก็ใบเล็กมาก (38L เองค่ะ) ทำให้เขาเลือกให้เราไปนั่งข้างหน้ากับคนขับ ซึ่งที่นั่งข้างหน้ากับคนขับ มันนั่งได้ทั้งหมด 3 ที่ คือ คนขับ คนนั่งกลาง และคนนั่งริม เราตัวเล็กเลยนั่งกลางเพราะขาสั้น ถ้าเอาฝรั่งมาน่าจะทรมานไม่รู้ลืมแน่นอน ตอนนี้แหละค่ะ ที่ทำให้เราได้นั่งข้างหนุ่มอังกฤษ สูง 192 ซม. (ถามเขาค่ะ) ขอให้ชื่อเขาว่าคุณ เอ นะคะ
เรื่องราวมีอยู่ว่า ในเมื่อเราได้นั่งหน้าด้วยกัน เลยทำให้เราได้รู้จัก และได้คุยกันมากขึ้น ก่อนที่จะออกเดินทางจริงๆ รถตู้ได้จอดให้กินข้าวก่อน เลยทำให้เราได้คุยได้เม้าได้รู้จักกันมากขึ้นไปอีก พอกลับขึ้นมาในรถ ส่วนใหญ่เราจะคุยกับพี่คนขับค่ะ เพราะว่าหนุ่มอังกฤษคนนั้นเขาโหลดหนังมาดูใน ipad เขาเพียบ เราเลยเม้ามอยกับพี่คนขับไปเยอะ แต่ก็มีบ้างที่หยุดคุยกับเขาเป็นระยะๆ แต่พอถึงราวๆ แปดริ้ว (ก่อนถึงหลวงพ่อโสธร สักประมาณ 20 นาที) เรากับคุณเอ ก็คุยกันมากขึ้น ถามกันไปกันมาเยอะมาก เลยได้ความมาว่า เขามาเมืองไทยตั้งแต่เดือน ตุลาคมแล้ว แล้วไปเที่ยวเล่นอยู่ กระบี่ พีพี เกาะเต่า เกาะพงันรวม 3 อาทิตย์ แล้วก็ไปตะลุยเชียงใหม่ ข้ามไปลาว แล้วจบที่เขมรอีก 3 อาทิตย์ แล้วถึงได้กลับมาเมืองไทย ที่กลับมาเพราะว่ามีเพื่อนแบกเป้ด้วยกันนัดกันไปภูเก็ต ไปฉลองช่วง Christmas ที่ใต้ค่ะ พอเราได้ฟังก็แบบอิจฉามาก อิจฉาที่เขามีเวลาได้เที่ยวเยอะมาก ดีที่ว่าตอนขาเข้ากรุงเทพมันตรงวันศุกร์เย็น รถก็ติ๊ดติด เลยทำให้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้นไปอีก
มีอยู่จังหวะนึงที่เขาหยิบ laptop ขึ้นมา เราก็ถามเขาว่าเอา laptop มาทำอะไร เขาบอกว่าเขาเอามาทำงานระหว่างรถติด เราเลยถามว่างานอะไร เขาบอกว่าเขารับเขียน CV ทั่วไป ราคา 50 ปอนด์ ต่อฉบับ แต่เขาได้จริง 25 ปอนด์เพราะว่าจะมีนายหน้าหักออกไป เราก็เลยบอกว่า งั้นถ้ายูเขียน CV ให้ไอ ไอจะเป็น tour guide ระหว่างที่ยูอยู่กรุงเทพให้เอง แล้วเขาก็ตอบมาว่า "DEAL!" เราเองก็พูดไปขำๆ นะคะ ไม่ได้คิดอะไรมาก (แต่ลึกๆ ก็แอบสนใจเขาแล้วแหละ แบบ กุ๊กกิ๊กไปเรื่อย) แต่ปรากฎณ์ว่า battery laptop หมดค่ะ เลยทำให้เขียนไม่ถึงไหนก็ต้องปิดเครื่อง เราก็เลยเม้าท์ไปต่อ ได้ความมาว่าเขาจะอยู่กรุงเทพ คืนวันศุกร์ และคืนวันเสาร์ แล้ววันอาทิตย์เย็นจะบินไปภูเก็ตตอน 17.30 เขาก็ถามเรื่องการเดินทางว่าไปดอนเมืองจากที่พักเขายังไงได้บ้าง แล้วมีอะไรให้ทำอีกในกรุงเทพ เราก็คุยไปเรื่อยแหละค่ะ แต่เพราะเขามากรุงเทพแล้วก่อนหน้านี้ เที่ยวพวกวัดๆก็แล้ว เลยไม่รู้ว่าจะแนะนำไปไหนดี เลยบอกว่า ยูพักผ่อนไปเถอะ ไว้เก็บแรงไปเที่ยวภูเก็ต ปาร์ตี้ที่โน่นน่าจะสนุกกว่า เขาก็ถามว่ามีโรงหนังที่ไหนดีๆบ้าง เขาอยากดู Star Wars เราก็แนะนำไป Paragon, SFworld, SF MBK ประมาณนั้น
พอใกล้ถึงกรุงเทพ รถตู้ขับมาทางมอเตอร์เวย์ มาลงพระราม 9 (เส้นสุวรรณภูมิเขาเรียก มอร์เตอร์เวย์ใช่ป่าวค่ะ??? พอดีไม่แม่นทางเลย) เราก็นึกขึ้นได้ว่าที่พักเขาอยู่ สุขุมวิท 21 ให้ลงตรงแถวพระราม 9 แหละง่ายสุด ไม่ต้องไปลงที่ข้าวสาร เปลืองค่ารถเปล่าๆ เราเลยปรึกษาพี่คนขับรถ และส่งเขาลง เรียกตุ๊กตุ๊กให้ด้วย พอเขาจะลงจากรถ เขาเลยขอเรา add facebook ค่ะ เราก็ไม่รีรอ รีบยื่นโทรศัพท์ให้ทันที (ห้าห้าห้า อย่าว่ากันน้า) หลังจากนั้นเราก็ไปจัดการคุยกับตุ๊กตุ๊กว่าไปส่งที่ไหน แล้วเราก็ขึ้นรถตู้ไปต่อค่ะ
พอถึงบ้านก็เห็นเขารับ add friend ใน facebook แล้ว แล้วเขาก็ทักมาในคืนนั้น แต่เราก็หลับไปแล้ว จนรุ่งเช้าเขาก็ทักมาใหม่ ว่าวันเสาร์นี้ทำอะไร เราก็บอกเขาไปแค่ว่าเรามีนัดทานข้าวกับเพื่อนที่ Paragon ตอนบ่าย 3.30 ที่เหลือก็ไม่มีไรทำ เขาเลยชวนเราออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันค่ะ จัดแจงนัดกันที่ Paragon (ให้เขาไปซื้อซิมด้วย) กะว่าจะหาอะไรทาน แต่ร้านไม่ค่อยถูกใจเลยพาเขาเดินไป Central World และไปจบที่ตำพูนค่ะ เสร็จแล้วก็ต่อที่ ไอติม Cold Stone ช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ด้วยกัน เรารู้สึกว่ามีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจเหมือนกันในตัวผู้ชายคนนี้ จนกระทั้ง 3.30 เราก็นัดเจอกับเพื่อนที่ Central World แล้วเดินไป Paragon ด้วยกัน 3 คนเลย พอถึง Paragon ก็แยกย้ายกันไป เราก็ไปอยู่กับเพื่อนต่อ ประมาณช่วง 6 โมงก็ inbox ไปถามเขาว่า เป็นไงบ้าง สำรวจสยามถึงไหน เขาบอกว่าแบตเขากำลังจะหมด ต้องกลับไปโรงแรมก่อน แล้วเค้าก็ชวนเราออกไปหาไรดื่มกันหลังจากที่เราเสร็จธุระจากเพื่อน เราก็โอเค say yes เลยค่ะ ก็เลยนัดเจอกันที่ BTS Siam แล้วไปนั่งดื่มที่ร้าน cloud 47 ซึ่งร้านนี้เขาเป็นคนเลือกเอง พอนั่งได้ราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง เราก็ถามว่ายูจะไปไหนต่อ เขาก็บอกว่าไม่รู้ซิ เราเลยบอกว่างั้นไปหาอะไรทำสนุกๆ กัน ซึ่งตอนนั้นก็นึกไม่ออกหรอกค่ะ เลยเช็ครอบหนังที่ Central World ได้รอบ 23.40 เรื่อง star wars มาพอดี เลยเรียกเก็บเงิน ตรงไป Central World เลย
พอถึง Central World เราโชคดีใช้ True ได้บัตรดูหนังฟรี 1 ใบพร้อม Popcorn & Drink combo set แล้วยังได้ตั๋วอีกใบลด 50% สุดแสนจะคุ้ม พอเข้าไปถึง คนไม่ค่อยมี เลยนั่งที่นั่งสวีทแถวแรกเลย ที่เป็นแบบ Sofa อ่ะคะ แต่ตอนจ่ายตัง จ่ายบัตรธรรมดาถูกสุด แต่ตอนนั่งดู นั่งแพงสุดเลยค่ะ (สำนึกได้ว่า ตัวเองขี้โกงสุดๆ แต่ว่า คนน้อยไง เลยทำได้นะ เจ้าหน้าที่ก็ไม่มาไล่ ยังแอบงง) สรุปแล้ว เราได้ดูหนังไปราวๆ 30 นาที ที่เหลือ หลับตลอดเรื่องค่ะ ตื่นอีกทีคือหนังจบ พอหนังจบก็หาทางออกจากตึก เขาเลยถามว่า พรุ้งนี้ทำอะไร เราก็บอกว่าไม่มีอะไรทำ ยังว่าง เขาก็บอกว่างั้นพาเขาไป Park ที่เราอยากไปหน่อย เราก็เลยบอกว่าได้ งั้นพรุ้งนี้ ยูเช็คเอ๊าท์แล้วนั่ง BTS มาลงอนุเสาวรีย์ เดี๋ยวจะขับรถมารับ หลังจากวางแผนเสร็จก็แยกย้ายโบกเรียกแท็กซี่กลับบ้านค่ะ พอถึงที่พัก เขาก็ทักมาว่ากลับบ้านโอเคมั๊ย เป็นไงบ้าง แล้วก็ไปนอนค่ะ สรุปถึงบ้านราวๆ ตี 3 ค่ะ ย่องเข้าบ้านแทบไม่ทันเลย
วันอาทิตย์ เราตั้งใจ จะพาเขาไปวัดเล่งเนี่ยยี่ที่บางบัวทองแล้วยาวไปพุทธมณฑล เพราะเป็นสองที่ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปลำบากมากและเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวเขาไม่เที่ยวกัน ซึ่งส่วนตัวเราก็ชอบไปที่ทั้งสองที่นั้นด้วยเลยอยากพาเขาไปค่ะ แต่เพราะเขาเหนื่อยตื่นสาย เลยทำให้เราเจอกันก็ตอนเที่ยงแล้วค่ะ พอเขาออกจากโรงแรม เราก็ขับรถออกจากบ้านมารับที่ BTS อนุเสาวรีย์ แล้วก็วิ่งยาวไปพุทธมณฑลสาย 4 ตั้งใจว่าจะไปกินข้าวหมกไก่สยามที่สาย 4 แต่เสียดายมากเลย วนอยู่ 3 รอบหาไม่เจอ มาทราบทีหลังว่าเขาย้ายร้านไปอยู่ในซอย แต่โชคดีว่าแถวๆนั้นมีร้านอาหารข้างทางดีๆ เยอะ เลยพอกู้หน้าได้บ้าง พอเสร็จก็ตรงไปพุทธมณฑลค่ะ ก่อนเข้าพุทธมณฑลก็แวะซื้อขนมปัง เพราะเราชอบให้อาหารปลา ไปถึงก็ไหว้พระทำบุญทั่วไป แล้วก็เอาขนมปังไปให้ปลาค่ะ ตอนที่ให้อาหารปลา เรามีความสุขมากเลย แล้วเขาก็มาแกล้งจะเอาเราโยนลงน้ำด้วย นี่แหละ มันทำให้เราคิดไปไกล (เขาแอบคิดอะไรกับเราป่ะว๊าาา?????) เอาเถอะค่ะ พอให้อาหารปลาเสร็จ เราก็ขับรถไปส่งเขาที่ดอนเมือง ขับตั้งแต่ 3 โมง ถึงสนามบิน 4.30 ระหว่างทางรถติดก็เม้ามอยหอยสังข์ไปเรื่อย เขาก็ถามมาว่า ทำไม่เราไม่ไปภูเก็ตกับเขาด้วย เราเลยบอกว่า เราไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไป ถ้าเราไปที่บ้านก็ต้องตั้งคำถามร้อยล้านข้อ เขาเลยบอกว่า ก็บอกกับที่บ้านซิว่าไปกับเขา ไม่ต้องห่วง เราก็เลยทำหน้ายิ้มแห้งๆ หัวเราะกลบเกลื่อนไป ช่วงอยู่บนรถ เขาก็เอาลิปมันของเราไปทาปาเขา แล้วก็เอามาทาปากเราบ้าง มีจังหวะที่เขาเอนตัวมาเอาหัวซบบนไหล่เรา (เห่ยยยยย เราอะคิดมากละ) ก็คุยเล่นไปจนถึงดอนเมืองละค่ะ พอถึงเราก็จอดให้เขาลง ไม่ได้ตั้งแต่จะลงไปส่งอยู่แล้ว (ขี้เกรียจ) แล้วเขาก็กอดขอบคุณ แล้วบอกว่าแล้วเจอกันอีกเดือนมกราคมที่เขาจะกลับมากรุงเทพ เราก็ยิ้มแห้งๆ บ๊ายบายจากลากันไป
พอเขาขึ้นเครื่องเขาก็ inbox facebook มาขอบคุณเยอะแยะ แล้วบอกว่าจะเจอกันอีก มกราคม เราก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกว่าไม่เป็นไร "ฉันอยากให้คุณรู้ว่า คนไทยมีน้ำใจ อยากช่วยเหลือคนอื่นเสมอแหละ" จริงๆ เราอาจจะชอบเขาก็ได้ ถึงได้ลงทุนมากมายขนาดนี้ แต่ถึงตอนนี้ ผ่านมา 2 วันแล้ว เขายังไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย มีแต่มากด Like ให้รูปที่ลงแค่นั้นเอง
อยากรู้จริงๆ ว่าเราชอบเขามากไปไหม แล้วถ้าเราชอบเขาจริงๆ เราควรจะต้องทำยังไงดี/บ้าง เรามองว่ายังไงๆ ก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าเราตั้ง 4 ปี (เราเกิด 1988 เขาเกิด 1992 แต่เราหน้าเด็ก (มั้ง) เพราะมีแต่คนบอกว่าหน้าเราเหมือนเด็กมหาลัย) แถมเขาอยู่อังกฤษ ส่วนตัวเราไม่มีที่อยู่แน่นอน เพราะหลังจาก 22 มกราคม เราก็ต้องบินกลับไปเรียนที่อเมริกา แล้วก็ยังไม่มีกำหนดกลับไทยหรือไปไหนทั้งนั้น เราไม่ชอบฝรั่งด้วย เพราะมีความรู้สึกว่าวัฒนธรรมมันต่างกันเกินไป จะพูดจะคุยมันไม่ค่อยจะไม่รู้เรื่อง เพราะความเชื่อ ความคิดมันโดนปลูกฝังมาคนละแบบ แล้วยิ่งเราโสดมา 2 ปีกว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคิดที่จะมีแฟนเลย มีแต่ความรู้สึกที่ว่า อยู่คนเดียวสบายใจที่สุด แต่ตั้งแต่เขาเข้ามาแค่ 2 วัน ทำไมมันเหมือนเราคิดถึงเขาบ่อยมาก อยากให้เขากลับมากรุงเทพเร็วๆ อยากรู้ว่าเขากลับมาแล้วเขาจะติดต่อเรามาจริงไหม ถามว่าทำไมเราถึงชอบเขา คงเป็นเพราะ life style ของเขากับของเรามันคล้ายๆ กัน คือไม่ผูกมัดกับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นคนชอบทำอะไรโลดโผนกับชีวิต เช่น โดดบันจี้จั๊ม กระโดดร่ม ปีนเขา ปีนหน้าผา ชอบอะไรเสี่ยงๆ ไม่มีแผนการในชีวิตที่แน่นอน อยู่กับปัจจุบัน และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าจะนึกถึงเรื่องปวดหัวในอนาคต ชอบท่องเที่ยว และไม่สนใจด้วยว่าจะเที่ยวคนเดียวหรือเที่ยวกับคนอื่น
มีคำแนะนำไหนไหมค่ะ เกี่ยวกับกับหนุ่มอังกฤษที่เราควรรู้? หรือใครมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง เล่าสู่กันฟังได้น้าาาา อยากรู้ด้วย
ขอบคุณนะคะ
เคยแอบชอบหนุ่ม Backpacker ชาวอังกฤษ กันบ้างมั๊ยค่ะ
ออกตัวก่อนว่า นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก ผิดพลาดยังไงต้องออกตัวขอโทษก่อนนะคะ พอดีว่ามีเรื่องอยากจะเล่าและมีเรื่องอยากปรึกษาตรงตามหัวข้อที่ตั้งเลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราได้ไปเที่ยวเขมรกับเพื่อน roommate ชาวฟิลิปปินส์ที่แชร์บ้านอยู่ที่อเมริกาด้วยกันมาค่ะ พอคืนวันสุดท้ายเพื่อนก็บินกลับฟิลิปปินส์ไป ส่วนตัวเราก็อยู่ต่อเสียมเรียบอีกคืนนึง วันรุ่งขึ้นถึงค่อยนั่งรถกลับไทย ซึ่งเราก็ซื้อตัวรถบัส จาก เสียมเรียบ - กรุงเทพ ราคา $15 มีรถตุ๊กตุ๊กมารับถึง Lobby โรงแรมไปส่งที่คิวขึ้นรถบัสเลยค่ะ ตอนไปถึงรถบัสก็ไม่ได้สนใจอะไรใครเลย นั่งรถบัสมาจนถึงชายแดนที่อรัญประเทศ ข้ามด่านมาเรียบร้อยรอขึ้นรถจากชายแดนเข้ามากรุงเทพ จังหวะตอนนี้แหละค่ะที่ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนนักเดินทางแปลกหน้าคนใหม่
ตอนที่ซื้อตัว พนักงานบอกว่าเป็น Bus ไม่ใช่ Van เราก็โอเคมากกับการนั่งรถบัส เพราะเราเป็นคนที่นั่งรถตู้ไม่ได้ นั่งแล้วปวดหัวคลื่นไส้ตลอดเลย ซึ่งเราก็นั่งรถบัสตั้งแต่เสียมเรียบมาถึงชายแดนเลยค่ะ แต่พอมาถึงฝั่งไทยรถที่นั่งดันเปลี่ยนมาเป็นนั่งรถตู้แทน เป็นรถตู้ 14 ที่นั่ง แต่เขาให้นั่งแค่ 13 ที่ เพราะว่า 1 ที่เอาเป็นที่วางกระเป๋า ลูกค้าทั้งหมด 13 คน มีเราเป็นคนไทยแค่คนเดียว ที่เหลือฝรั่งหมดเลยค่ะ (แอบงงเหมือนกันว่าหลุดมากับเขาได้ยังไง) เป็นที่รู้กันว่าฝรั่งตัวใหญ่ กระเป๋าก็ใบใหญ่ๆกันทั้งนั้น รถเลยแน่นมาก แต่โชคดีที่เราเป็นผู้หญิงตัวเล็ก backpack เราก็ใบเล็กมาก (38L เองค่ะ) ทำให้เขาเลือกให้เราไปนั่งข้างหน้ากับคนขับ ซึ่งที่นั่งข้างหน้ากับคนขับ มันนั่งได้ทั้งหมด 3 ที่ คือ คนขับ คนนั่งกลาง และคนนั่งริม เราตัวเล็กเลยนั่งกลางเพราะขาสั้น ถ้าเอาฝรั่งมาน่าจะทรมานไม่รู้ลืมแน่นอน ตอนนี้แหละค่ะ ที่ทำให้เราได้นั่งข้างหนุ่มอังกฤษ สูง 192 ซม. (ถามเขาค่ะ) ขอให้ชื่อเขาว่าคุณ เอ นะคะ
เรื่องราวมีอยู่ว่า ในเมื่อเราได้นั่งหน้าด้วยกัน เลยทำให้เราได้รู้จัก และได้คุยกันมากขึ้น ก่อนที่จะออกเดินทางจริงๆ รถตู้ได้จอดให้กินข้าวก่อน เลยทำให้เราได้คุยได้เม้าได้รู้จักกันมากขึ้นไปอีก พอกลับขึ้นมาในรถ ส่วนใหญ่เราจะคุยกับพี่คนขับค่ะ เพราะว่าหนุ่มอังกฤษคนนั้นเขาโหลดหนังมาดูใน ipad เขาเพียบ เราเลยเม้ามอยกับพี่คนขับไปเยอะ แต่ก็มีบ้างที่หยุดคุยกับเขาเป็นระยะๆ แต่พอถึงราวๆ แปดริ้ว (ก่อนถึงหลวงพ่อโสธร สักประมาณ 20 นาที) เรากับคุณเอ ก็คุยกันมากขึ้น ถามกันไปกันมาเยอะมาก เลยได้ความมาว่า เขามาเมืองไทยตั้งแต่เดือน ตุลาคมแล้ว แล้วไปเที่ยวเล่นอยู่ กระบี่ พีพี เกาะเต่า เกาะพงันรวม 3 อาทิตย์ แล้วก็ไปตะลุยเชียงใหม่ ข้ามไปลาว แล้วจบที่เขมรอีก 3 อาทิตย์ แล้วถึงได้กลับมาเมืองไทย ที่กลับมาเพราะว่ามีเพื่อนแบกเป้ด้วยกันนัดกันไปภูเก็ต ไปฉลองช่วง Christmas ที่ใต้ค่ะ พอเราได้ฟังก็แบบอิจฉามาก อิจฉาที่เขามีเวลาได้เที่ยวเยอะมาก ดีที่ว่าตอนขาเข้ากรุงเทพมันตรงวันศุกร์เย็น รถก็ติ๊ดติด เลยทำให้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้นไปอีก
มีอยู่จังหวะนึงที่เขาหยิบ laptop ขึ้นมา เราก็ถามเขาว่าเอา laptop มาทำอะไร เขาบอกว่าเขาเอามาทำงานระหว่างรถติด เราเลยถามว่างานอะไร เขาบอกว่าเขารับเขียน CV ทั่วไป ราคา 50 ปอนด์ ต่อฉบับ แต่เขาได้จริง 25 ปอนด์เพราะว่าจะมีนายหน้าหักออกไป เราก็เลยบอกว่า งั้นถ้ายูเขียน CV ให้ไอ ไอจะเป็น tour guide ระหว่างที่ยูอยู่กรุงเทพให้เอง แล้วเขาก็ตอบมาว่า "DEAL!" เราเองก็พูดไปขำๆ นะคะ ไม่ได้คิดอะไรมาก (แต่ลึกๆ ก็แอบสนใจเขาแล้วแหละ แบบ กุ๊กกิ๊กไปเรื่อย) แต่ปรากฎณ์ว่า battery laptop หมดค่ะ เลยทำให้เขียนไม่ถึงไหนก็ต้องปิดเครื่อง เราก็เลยเม้าท์ไปต่อ ได้ความมาว่าเขาจะอยู่กรุงเทพ คืนวันศุกร์ และคืนวันเสาร์ แล้ววันอาทิตย์เย็นจะบินไปภูเก็ตตอน 17.30 เขาก็ถามเรื่องการเดินทางว่าไปดอนเมืองจากที่พักเขายังไงได้บ้าง แล้วมีอะไรให้ทำอีกในกรุงเทพ เราก็คุยไปเรื่อยแหละค่ะ แต่เพราะเขามากรุงเทพแล้วก่อนหน้านี้ เที่ยวพวกวัดๆก็แล้ว เลยไม่รู้ว่าจะแนะนำไปไหนดี เลยบอกว่า ยูพักผ่อนไปเถอะ ไว้เก็บแรงไปเที่ยวภูเก็ต ปาร์ตี้ที่โน่นน่าจะสนุกกว่า เขาก็ถามว่ามีโรงหนังที่ไหนดีๆบ้าง เขาอยากดู Star Wars เราก็แนะนำไป Paragon, SFworld, SF MBK ประมาณนั้น
พอใกล้ถึงกรุงเทพ รถตู้ขับมาทางมอเตอร์เวย์ มาลงพระราม 9 (เส้นสุวรรณภูมิเขาเรียก มอร์เตอร์เวย์ใช่ป่าวค่ะ??? พอดีไม่แม่นทางเลย) เราก็นึกขึ้นได้ว่าที่พักเขาอยู่ สุขุมวิท 21 ให้ลงตรงแถวพระราม 9 แหละง่ายสุด ไม่ต้องไปลงที่ข้าวสาร เปลืองค่ารถเปล่าๆ เราเลยปรึกษาพี่คนขับรถ และส่งเขาลง เรียกตุ๊กตุ๊กให้ด้วย พอเขาจะลงจากรถ เขาเลยขอเรา add facebook ค่ะ เราก็ไม่รีรอ รีบยื่นโทรศัพท์ให้ทันที (ห้าห้าห้า อย่าว่ากันน้า) หลังจากนั้นเราก็ไปจัดการคุยกับตุ๊กตุ๊กว่าไปส่งที่ไหน แล้วเราก็ขึ้นรถตู้ไปต่อค่ะ
พอถึงบ้านก็เห็นเขารับ add friend ใน facebook แล้ว แล้วเขาก็ทักมาในคืนนั้น แต่เราก็หลับไปแล้ว จนรุ่งเช้าเขาก็ทักมาใหม่ ว่าวันเสาร์นี้ทำอะไร เราก็บอกเขาไปแค่ว่าเรามีนัดทานข้าวกับเพื่อนที่ Paragon ตอนบ่าย 3.30 ที่เหลือก็ไม่มีไรทำ เขาเลยชวนเราออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันค่ะ จัดแจงนัดกันที่ Paragon (ให้เขาไปซื้อซิมด้วย) กะว่าจะหาอะไรทาน แต่ร้านไม่ค่อยถูกใจเลยพาเขาเดินไป Central World และไปจบที่ตำพูนค่ะ เสร็จแล้วก็ต่อที่ ไอติม Cold Stone ช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ด้วยกัน เรารู้สึกว่ามีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจเหมือนกันในตัวผู้ชายคนนี้ จนกระทั้ง 3.30 เราก็นัดเจอกับเพื่อนที่ Central World แล้วเดินไป Paragon ด้วยกัน 3 คนเลย พอถึง Paragon ก็แยกย้ายกันไป เราก็ไปอยู่กับเพื่อนต่อ ประมาณช่วง 6 โมงก็ inbox ไปถามเขาว่า เป็นไงบ้าง สำรวจสยามถึงไหน เขาบอกว่าแบตเขากำลังจะหมด ต้องกลับไปโรงแรมก่อน แล้วเค้าก็ชวนเราออกไปหาไรดื่มกันหลังจากที่เราเสร็จธุระจากเพื่อน เราก็โอเค say yes เลยค่ะ ก็เลยนัดเจอกันที่ BTS Siam แล้วไปนั่งดื่มที่ร้าน cloud 47 ซึ่งร้านนี้เขาเป็นคนเลือกเอง พอนั่งได้ราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง เราก็ถามว่ายูจะไปไหนต่อ เขาก็บอกว่าไม่รู้ซิ เราเลยบอกว่างั้นไปหาอะไรทำสนุกๆ กัน ซึ่งตอนนั้นก็นึกไม่ออกหรอกค่ะ เลยเช็ครอบหนังที่ Central World ได้รอบ 23.40 เรื่อง star wars มาพอดี เลยเรียกเก็บเงิน ตรงไป Central World เลย
พอถึง Central World เราโชคดีใช้ True ได้บัตรดูหนังฟรี 1 ใบพร้อม Popcorn & Drink combo set แล้วยังได้ตั๋วอีกใบลด 50% สุดแสนจะคุ้ม พอเข้าไปถึง คนไม่ค่อยมี เลยนั่งที่นั่งสวีทแถวแรกเลย ที่เป็นแบบ Sofa อ่ะคะ แต่ตอนจ่ายตัง จ่ายบัตรธรรมดาถูกสุด แต่ตอนนั่งดู นั่งแพงสุดเลยค่ะ (สำนึกได้ว่า ตัวเองขี้โกงสุดๆ แต่ว่า คนน้อยไง เลยทำได้นะ เจ้าหน้าที่ก็ไม่มาไล่ ยังแอบงง) สรุปแล้ว เราได้ดูหนังไปราวๆ 30 นาที ที่เหลือ หลับตลอดเรื่องค่ะ ตื่นอีกทีคือหนังจบ พอหนังจบก็หาทางออกจากตึก เขาเลยถามว่า พรุ้งนี้ทำอะไร เราก็บอกว่าไม่มีอะไรทำ ยังว่าง เขาก็บอกว่างั้นพาเขาไป Park ที่เราอยากไปหน่อย เราก็เลยบอกว่าได้ งั้นพรุ้งนี้ ยูเช็คเอ๊าท์แล้วนั่ง BTS มาลงอนุเสาวรีย์ เดี๋ยวจะขับรถมารับ หลังจากวางแผนเสร็จก็แยกย้ายโบกเรียกแท็กซี่กลับบ้านค่ะ พอถึงที่พัก เขาก็ทักมาว่ากลับบ้านโอเคมั๊ย เป็นไงบ้าง แล้วก็ไปนอนค่ะ สรุปถึงบ้านราวๆ ตี 3 ค่ะ ย่องเข้าบ้านแทบไม่ทันเลย
วันอาทิตย์ เราตั้งใจ จะพาเขาไปวัดเล่งเนี่ยยี่ที่บางบัวทองแล้วยาวไปพุทธมณฑล เพราะเป็นสองที่ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปลำบากมากและเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวเขาไม่เที่ยวกัน ซึ่งส่วนตัวเราก็ชอบไปที่ทั้งสองที่นั้นด้วยเลยอยากพาเขาไปค่ะ แต่เพราะเขาเหนื่อยตื่นสาย เลยทำให้เราเจอกันก็ตอนเที่ยงแล้วค่ะ พอเขาออกจากโรงแรม เราก็ขับรถออกจากบ้านมารับที่ BTS อนุเสาวรีย์ แล้วก็วิ่งยาวไปพุทธมณฑลสาย 4 ตั้งใจว่าจะไปกินข้าวหมกไก่สยามที่สาย 4 แต่เสียดายมากเลย วนอยู่ 3 รอบหาไม่เจอ มาทราบทีหลังว่าเขาย้ายร้านไปอยู่ในซอย แต่โชคดีว่าแถวๆนั้นมีร้านอาหารข้างทางดีๆ เยอะ เลยพอกู้หน้าได้บ้าง พอเสร็จก็ตรงไปพุทธมณฑลค่ะ ก่อนเข้าพุทธมณฑลก็แวะซื้อขนมปัง เพราะเราชอบให้อาหารปลา ไปถึงก็ไหว้พระทำบุญทั่วไป แล้วก็เอาขนมปังไปให้ปลาค่ะ ตอนที่ให้อาหารปลา เรามีความสุขมากเลย แล้วเขาก็มาแกล้งจะเอาเราโยนลงน้ำด้วย นี่แหละ มันทำให้เราคิดไปไกล (เขาแอบคิดอะไรกับเราป่ะว๊าาา?????) เอาเถอะค่ะ พอให้อาหารปลาเสร็จ เราก็ขับรถไปส่งเขาที่ดอนเมือง ขับตั้งแต่ 3 โมง ถึงสนามบิน 4.30 ระหว่างทางรถติดก็เม้ามอยหอยสังข์ไปเรื่อย เขาก็ถามมาว่า ทำไม่เราไม่ไปภูเก็ตกับเขาด้วย เราเลยบอกว่า เราไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไป ถ้าเราไปที่บ้านก็ต้องตั้งคำถามร้อยล้านข้อ เขาเลยบอกว่า ก็บอกกับที่บ้านซิว่าไปกับเขา ไม่ต้องห่วง เราก็เลยทำหน้ายิ้มแห้งๆ หัวเราะกลบเกลื่อนไป ช่วงอยู่บนรถ เขาก็เอาลิปมันของเราไปทาปาเขา แล้วก็เอามาทาปากเราบ้าง มีจังหวะที่เขาเอนตัวมาเอาหัวซบบนไหล่เรา (เห่ยยยยย เราอะคิดมากละ) ก็คุยเล่นไปจนถึงดอนเมืองละค่ะ พอถึงเราก็จอดให้เขาลง ไม่ได้ตั้งแต่จะลงไปส่งอยู่แล้ว (ขี้เกรียจ) แล้วเขาก็กอดขอบคุณ แล้วบอกว่าแล้วเจอกันอีกเดือนมกราคมที่เขาจะกลับมากรุงเทพ เราก็ยิ้มแห้งๆ บ๊ายบายจากลากันไป
พอเขาขึ้นเครื่องเขาก็ inbox facebook มาขอบคุณเยอะแยะ แล้วบอกว่าจะเจอกันอีก มกราคม เราก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกว่าไม่เป็นไร "ฉันอยากให้คุณรู้ว่า คนไทยมีน้ำใจ อยากช่วยเหลือคนอื่นเสมอแหละ" จริงๆ เราอาจจะชอบเขาก็ได้ ถึงได้ลงทุนมากมายขนาดนี้ แต่ถึงตอนนี้ ผ่านมา 2 วันแล้ว เขายังไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย มีแต่มากด Like ให้รูปที่ลงแค่นั้นเอง
อยากรู้จริงๆ ว่าเราชอบเขามากไปไหม แล้วถ้าเราชอบเขาจริงๆ เราควรจะต้องทำยังไงดี/บ้าง เรามองว่ายังไงๆ ก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าเราตั้ง 4 ปี (เราเกิด 1988 เขาเกิด 1992 แต่เราหน้าเด็ก (มั้ง) เพราะมีแต่คนบอกว่าหน้าเราเหมือนเด็กมหาลัย) แถมเขาอยู่อังกฤษ ส่วนตัวเราไม่มีที่อยู่แน่นอน เพราะหลังจาก 22 มกราคม เราก็ต้องบินกลับไปเรียนที่อเมริกา แล้วก็ยังไม่มีกำหนดกลับไทยหรือไปไหนทั้งนั้น เราไม่ชอบฝรั่งด้วย เพราะมีความรู้สึกว่าวัฒนธรรมมันต่างกันเกินไป จะพูดจะคุยมันไม่ค่อยจะไม่รู้เรื่อง เพราะความเชื่อ ความคิดมันโดนปลูกฝังมาคนละแบบ แล้วยิ่งเราโสดมา 2 ปีกว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคิดที่จะมีแฟนเลย มีแต่ความรู้สึกที่ว่า อยู่คนเดียวสบายใจที่สุด แต่ตั้งแต่เขาเข้ามาแค่ 2 วัน ทำไมมันเหมือนเราคิดถึงเขาบ่อยมาก อยากให้เขากลับมากรุงเทพเร็วๆ อยากรู้ว่าเขากลับมาแล้วเขาจะติดต่อเรามาจริงไหม ถามว่าทำไมเราถึงชอบเขา คงเป็นเพราะ life style ของเขากับของเรามันคล้ายๆ กัน คือไม่ผูกมัดกับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นคนชอบทำอะไรโลดโผนกับชีวิต เช่น โดดบันจี้จั๊ม กระโดดร่ม ปีนเขา ปีนหน้าผา ชอบอะไรเสี่ยงๆ ไม่มีแผนการในชีวิตที่แน่นอน อยู่กับปัจจุบัน และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าจะนึกถึงเรื่องปวดหัวในอนาคต ชอบท่องเที่ยว และไม่สนใจด้วยว่าจะเที่ยวคนเดียวหรือเที่ยวกับคนอื่น
มีคำแนะนำไหนไหมค่ะ เกี่ยวกับกับหนุ่มอังกฤษที่เราควรรู้? หรือใครมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง เล่าสู่กันฟังได้น้าาาา อยากรู้ด้วย
ขอบคุณนะคะ