พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
...
ฟังหลวงปู่อบรมเรื่อ
ง "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ครั้งหนึ่ง
ใจความเหมือนกับท่านรังเกียจการฉันเนื้อสัตว์
"ความจริงในการบริโภคอาหารนั้น
แสดงความตายของสัตว์ทั้งหลายที่เอามารวม
เลี้ยงธาตุขันธ์ของมนุษย์เรา ถ้ากำหนดได้
จะเห็นว่า ในท้องในไส้ของคนเราทุกคน
ในตัวของเรานี้เป็น 'ป่าช้าใหญ่'
ป่าช้าข้างนอกนั้นยังไม่เท่าป่าช้าในท้องในไส้ของคนเรา
มันลุ่มหลงอยู่นี่ ป่าช้าใหญ่..สัตว์บกก็กินลงไป
สัตว์น้ำก็กินลงไป ใหญ่ที่สุดเท่าช้างก็กินลงไป
ฝังลงไปนี้ เก็บอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าอะไรต่อมิอะไร
นับไม่ถ้วน..นีแหละป่าช้าล่ะ
'ป่าช้าผีดิบ'
ผีดิบ คือ ผียังเดินไปมาพูดจาปราศรัยได้
ยังไม่เป็นผีตาย
ถ้าหมดลมเมื่อใดละก็เป็นผีตาย
มันยังมีลมหายใจอยู่ เรียกว่า ป่าช้าผีดิบ
เมื่อเห็นป่าช้าผีดิบในท้องในไส้ในปากในฟันตัวเองแล้ว
การที่จะมา
'ยินดีพอใจในการบริโภคอาหาร' มันก็ไม่มี
เพราะที่จะบริโภคเข้าไป มันเป็นประเภทเอาเนื้อสัตว์ทั้งหลาย
ที่เขาตายแล้วมาเลี้ยงร่างกายของตัวเอง
ให้สืบชีวิตไปนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
อีกไม่นานมันก็จะต้องตายเหมือนสัตว์ที่เราบริโภคเข้าไป"
แต่หลวงปู่มิได้ฉันเจ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า
"มังสวิรัติ หลวงปู่ก็เคยลอง ลองอยู่พักหนึ่ง
เมื่อลองแล้ว พอเลิก มากินเนื้อมันคาวไปหมด
หลวงปู่มาคิดว่า เราเป็นพระ ต้องฉันตามมีตามได้
ญาติโยมเอาอะไรมาถวาย เลือกไม่ได้"
...
คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือ “ละอองธรรม”
สิงหาคม ๒๕๕๕. หน้า ๑๒๕-๑๒๖
ฉันตามมีตามได้ : หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
...
ฟังหลวงปู่อบรมเรื่อง "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ครั้งหนึ่ง
ใจความเหมือนกับท่านรังเกียจการฉันเนื้อสัตว์
"ความจริงในการบริโภคอาหารนั้น
แสดงความตายของสัตว์ทั้งหลายที่เอามารวม
เลี้ยงธาตุขันธ์ของมนุษย์เรา ถ้ากำหนดได้
จะเห็นว่า ในท้องในไส้ของคนเราทุกคน
ในตัวของเรานี้เป็น 'ป่าช้าใหญ่'
ป่าช้าข้างนอกนั้นยังไม่เท่าป่าช้าในท้องในไส้ของคนเรา
มันลุ่มหลงอยู่นี่ ป่าช้าใหญ่..สัตว์บกก็กินลงไป
สัตว์น้ำก็กินลงไป ใหญ่ที่สุดเท่าช้างก็กินลงไป
ฝังลงไปนี้ เก็บอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าอะไรต่อมิอะไร
นับไม่ถ้วน..นีแหละป่าช้าล่ะ 'ป่าช้าผีดิบ'
ผีดิบ คือ ผียังเดินไปมาพูดจาปราศรัยได้
ยังไม่เป็นผีตาย ถ้าหมดลมเมื่อใดละก็เป็นผีตาย
มันยังมีลมหายใจอยู่ เรียกว่า ป่าช้าผีดิบ
เมื่อเห็นป่าช้าผีดิบในท้องในไส้ในปากในฟันตัวเองแล้ว
การที่จะมา 'ยินดีพอใจในการบริโภคอาหาร' มันก็ไม่มี
เพราะที่จะบริโภคเข้าไป มันเป็นประเภทเอาเนื้อสัตว์ทั้งหลาย
ที่เขาตายแล้วมาเลี้ยงร่างกายของตัวเอง
ให้สืบชีวิตไปนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
อีกไม่นานมันก็จะต้องตายเหมือนสัตว์ที่เราบริโภคเข้าไป"
แต่หลวงปู่มิได้ฉันเจ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า
"มังสวิรัติ หลวงปู่ก็เคยลอง ลองอยู่พักหนึ่ง
เมื่อลองแล้ว พอเลิก มากินเนื้อมันคาวไปหมด
หลวงปู่มาคิดว่า เราเป็นพระ ต้องฉันตามมีตามได้
ญาติโยมเอาอะไรมาถวาย เลือกไม่ได้"
...
คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือ “ละอองธรรม”
สิงหาคม ๒๕๕๕. หน้า ๑๒๕-๑๒๖