พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เหมือนอย่างเรื่องของ
“อปุตตกเศรษฐี”* นั่น
ตั้งแต่ชาติก่อนหนหลังโน่นได้เป็นเศรษฐี เป็นคนร่ำรวย แต่ตระหนี่
วันนั้น
"พระปัจเจกพุทธเจ้า" ออกจากนิโรธสมาบัติมาแล้ว
ท่านก็มายืนอยู่หน้าบ้านนั้น เศรษฐีเห็นเข้าได้เกิดศรัทธาขึ้นอย่างแรง
เป็นครั้งแรกเลยสั่งให้ภรรยานั้นเอาอาหารอันประณีต
มาใส่บาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
พอภรรยาเอาอาหารเตรียมมาใส่บาตร เศรษฐีก็ออกไปนอกบ้าน
เสร็จแล้วก็กลับเข้ามา ไปเจอพระปัจเจกองค์นั้น
เข้าไปขอดูบาตรท่าน ท่านเปิดบาตรให้ดู
นึกเสียดายอาหารที่ภรรยาใส่บาตรให้พระปัจเจกนั้น
แหม่อาหารนี่มีแต่อันประณีตบรรจง
สมณะนี่เอาไปบริโภคแล้วก็จะนอนหลับ
ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เราเล้ย
ถ้าเอาอาหารนี้ไปให้คนใช้ของเรากิน
เขายังจะได้ทำงานให้เรา ผลประโยชน์จะเกิดมีแก่เรา
ให้ทานแล้วสอดแคล้วกินแหนงในภายหลัง
ให้ทานแล้วนึกเสียดายในภายหลัง กรรมมันก็ตามสนองบาดนี่
เกิดไปชาติใดก็ร่ำรวยเงินทอง ได้เป็นเศรษฐีทุกชาติ
แต่ว่าตระหนี่หวงแหนทรัพย์เหลือล้นพ้นประมาณ ให้ทานไม่ได้
แม้แต่จะบริโภคใช้สอยในบ้านนั้นก็ฝืดเคืองเต็มที
เศรษฐีไม่สั่งจ่ายก็จ่ายไม่ได้ ถ้าจ่ายมาก็มีแต่อาหารราคาถูกๆของเลวๆ
ผ้านุ่งผ้าห่มอะไรก็เหมือนกัน ยานพาหนะก็ของเก่าๆคร่ำ
ไม่มีล่ะจะใหม่เอี่ยมเหมือนอย่างคนอื่นเขาน่ะ
แล้วอปุตตกเศรษฐีนี่เกิดมาชาตินั้นก็ไม่มีลูกอีกด้วย
ตั้งแต่ชาติก่อนนู้นได้ฆ่าลูกพี่ชายตาย
กรรมนั้นเลยตามสนอง เกิดมาชาติใดก็ไม่มีบุตร
ถึงชาติสุดท้ายนี่เศรษฐีนั้นเกิดมาชาติใดก็มีแต่ตระหนี่
อานิสงส์ที่ได้ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้ามันแรง
ให้ผลมาถึงสามสิบชาติ ได้เกิดเป็นเศรษฐีสามสิบชาติ
ในสามสิบชาตินั้นไม่ได้ทำบุญทำทานอะไรเล้ย
มีแต่มาหวงสมบัติไว้อย่างนั้น ชาติสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้ทำบุญอะไรเลย
พอตายลงบาดนี่ หาผู้ที่จะมารับมรดกไม่ได้ เพราะไม่มีวงศาคณาญาติ
เข้าใจว่า เกิดมาแล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ตายกันไปหมด
เหลือแต่ตัวกับเมียเท่านั้นล่ะมั้งท่า พอตายลงแล้วบัดนี้ก็ประกาศ
หาญาติพี่น้องผู้รับมรดกไม่มีในตำราไม่ได้ระบุถึงภรรยา
ภรรยานั้นเข้าใจว่าคงตายไปก่อนแล้วมั้ง เมื่อไม่มีญาติพี่น้องมารับมรดก
สมบัตินั้นก็ตกเป็นของพระมหากษัตริย์
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้คนเอาเกวียนห้าร้อยเล่มไปขน
เอาเงินเอาทองของเศรษฐีไปใส่ยุ้งใส่ฉางของหลวง
เสร็จแล้วก็ไปเฝ้าทูลถาม
"คติภพ" ของอปุตตกเศรษฐี
พระศาสดาก็ทรงตรัสว่า
อปุตตกเศรษฐีไม่ได้ทำบุญอะไรมาแต่ก่อนเลย
ได้สั่งให้ภรรยาใส่บาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ชาตินู้น
ต่อจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้ทำบุญทำทานอะไร
เขามีแต่เสียดายแต่หวงแหนทรัพย์สมบัติ
จนมาถึงชาตินี้ก็ไม่ได้ทำบุญทำทาน "บุญเก่า" ที่เขาทำมา
แต่คราวสั่งให้ภรรยาให้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมดลงแล้ว
ไม่มีเลยว่างั้น แล้วเขาตายเขาไปเกิดที่ไหน ทรงตรัสว่า
ตายแล้วไปตกชื่อว่า มหาโรรุวนรก
แล้วเขาจะพ้นได้เมื่อไร ทรงตรัสตอบว่า
ไม่มีกำหนด ไม่ทราบว่าจะพ้นได้เมื่อไร
เพราะว่าบุญกุศลไม่ได้ติดตัวเขาไปแม้แต่น้อยเดียว
นั่นแสดงว่า
คนเรานี้ถ้าไม่มีบุญแล้วถ้าไปตกนรกก็ไม่มีวันพ้นนะ
เพราะไม่มีบุญกุศลช่วยเหลือ ไม่มีวันพ้น กำหนดไม่ได้ซ้ำเลย
แต่ผู้ที่ตกนรกอื่นๆแล้วพระพุทธเจ้าทรงกำหนดได้ว่า
ตกนรกไปเท่านั้นกัปเท่านี้กัลป์เขาก็จะพ้นไป ทรงกำหนดได้
แต่อปุตตกเศรษฐีนี่กำหนดไม่ได้เลย
เพราะว่า
เขาไม่มีบุญติดตัวไปแม้แต่น้อยเดียว
ไอ้เรื่องนี้มันควรคิดควรพิจารณาให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจของคนเรา
ว่าคนเรานี่จะมีความสุขความเจริญได้ในขั้นไหนๆนั้น
มันขึ้นอยู่กับบุญวาสนา ขึ้นอยู่กับบุญกุศลคุณความดี
ที่แต่ละบุคคลกระทำสั่งสมเอามานั่นแหละ
ถ้าผู้ใดหมดบุญไม่ทำบุญเสียแล้ว "บุญเก่าก็หมด บุญใหม่ก็ไม่ทำ"
แล้วก็ชีวิตนี้ก็มีแต่จะตกทุกข์ได้ยากลำบาก
เรียกว่า ไปตกนรกลูกเดียวก็ว่าแล้ว ก็ว่าได้ล่ะ พูดง่ายๆ
ดังนั้นน่ะไม่ควรปฏิเสธเรื่องบุญสำหรับผู้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว
มันต้องเชื่อบุญเชื่อบาปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องบุญเรื่องบาปแล้ว
ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"รักษาสัจจะความจริงใจ"
*อ่านเรื่อง อปุตตกเศรษฐีในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2927&Z=2986
เมื่อบุญเก่าหมด บุญใหม่ก็ไม่มี (เรื่อง อปุตตกเศรษฐี) : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เหมือนอย่างเรื่องของ “อปุตตกเศรษฐี”* นั่น
ตั้งแต่ชาติก่อนหนหลังโน่นได้เป็นเศรษฐี เป็นคนร่ำรวย แต่ตระหนี่
วันนั้น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ออกจากนิโรธสมาบัติมาแล้ว
ท่านก็มายืนอยู่หน้าบ้านนั้น เศรษฐีเห็นเข้าได้เกิดศรัทธาขึ้นอย่างแรง
เป็นครั้งแรกเลยสั่งให้ภรรยานั้นเอาอาหารอันประณีต
มาใส่บาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
พอภรรยาเอาอาหารเตรียมมาใส่บาตร เศรษฐีก็ออกไปนอกบ้าน
เสร็จแล้วก็กลับเข้ามา ไปเจอพระปัจเจกองค์นั้น
เข้าไปขอดูบาตรท่าน ท่านเปิดบาตรให้ดู
นึกเสียดายอาหารที่ภรรยาใส่บาตรให้พระปัจเจกนั้น
แหม่อาหารนี่มีแต่อันประณีตบรรจง
สมณะนี่เอาไปบริโภคแล้วก็จะนอนหลับ
ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เราเล้ย
ถ้าเอาอาหารนี้ไปให้คนใช้ของเรากิน
เขายังจะได้ทำงานให้เรา ผลประโยชน์จะเกิดมีแก่เรา
ให้ทานแล้วสอดแคล้วกินแหนงในภายหลัง
ให้ทานแล้วนึกเสียดายในภายหลัง กรรมมันก็ตามสนองบาดนี่
เกิดไปชาติใดก็ร่ำรวยเงินทอง ได้เป็นเศรษฐีทุกชาติ
แต่ว่าตระหนี่หวงแหนทรัพย์เหลือล้นพ้นประมาณ ให้ทานไม่ได้
แม้แต่จะบริโภคใช้สอยในบ้านนั้นก็ฝืดเคืองเต็มที
เศรษฐีไม่สั่งจ่ายก็จ่ายไม่ได้ ถ้าจ่ายมาก็มีแต่อาหารราคาถูกๆของเลวๆ
ผ้านุ่งผ้าห่มอะไรก็เหมือนกัน ยานพาหนะก็ของเก่าๆคร่ำ
ไม่มีล่ะจะใหม่เอี่ยมเหมือนอย่างคนอื่นเขาน่ะ
แล้วอปุตตกเศรษฐีนี่เกิดมาชาตินั้นก็ไม่มีลูกอีกด้วย
ตั้งแต่ชาติก่อนนู้นได้ฆ่าลูกพี่ชายตาย
กรรมนั้นเลยตามสนอง เกิดมาชาติใดก็ไม่มีบุตร
ถึงชาติสุดท้ายนี่เศรษฐีนั้นเกิดมาชาติใดก็มีแต่ตระหนี่
อานิสงส์ที่ได้ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้ามันแรง
ให้ผลมาถึงสามสิบชาติ ได้เกิดเป็นเศรษฐีสามสิบชาติ
ในสามสิบชาตินั้นไม่ได้ทำบุญทำทานอะไรเล้ย
มีแต่มาหวงสมบัติไว้อย่างนั้น ชาติสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้ทำบุญอะไรเลย
พอตายลงบาดนี่ หาผู้ที่จะมารับมรดกไม่ได้ เพราะไม่มีวงศาคณาญาติ
เข้าใจว่า เกิดมาแล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ตายกันไปหมด
เหลือแต่ตัวกับเมียเท่านั้นล่ะมั้งท่า พอตายลงแล้วบัดนี้ก็ประกาศ
หาญาติพี่น้องผู้รับมรดกไม่มีในตำราไม่ได้ระบุถึงภรรยา
ภรรยานั้นเข้าใจว่าคงตายไปก่อนแล้วมั้ง เมื่อไม่มีญาติพี่น้องมารับมรดก
สมบัตินั้นก็ตกเป็นของพระมหากษัตริย์
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้คนเอาเกวียนห้าร้อยเล่มไปขน
เอาเงินเอาทองของเศรษฐีไปใส่ยุ้งใส่ฉางของหลวง
เสร็จแล้วก็ไปเฝ้าทูลถาม "คติภพ" ของอปุตตกเศรษฐี
พระศาสดาก็ทรงตรัสว่า
อปุตตกเศรษฐีไม่ได้ทำบุญอะไรมาแต่ก่อนเลย
ได้สั่งให้ภรรยาใส่บาตรให้พระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ชาตินู้น
ต่อจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้ทำบุญทำทานอะไร
เขามีแต่เสียดายแต่หวงแหนทรัพย์สมบัติ
จนมาถึงชาตินี้ก็ไม่ได้ทำบุญทำทาน "บุญเก่า" ที่เขาทำมา
แต่คราวสั่งให้ภรรยาให้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมดลงแล้ว
ไม่มีเลยว่างั้น แล้วเขาตายเขาไปเกิดที่ไหน ทรงตรัสว่า
ตายแล้วไปตกชื่อว่า มหาโรรุวนรก
แล้วเขาจะพ้นได้เมื่อไร ทรงตรัสตอบว่า
ไม่มีกำหนด ไม่ทราบว่าจะพ้นได้เมื่อไร
เพราะว่าบุญกุศลไม่ได้ติดตัวเขาไปแม้แต่น้อยเดียว
นั่นแสดงว่า คนเรานี้ถ้าไม่มีบุญแล้วถ้าไปตกนรกก็ไม่มีวันพ้นนะ
เพราะไม่มีบุญกุศลช่วยเหลือ ไม่มีวันพ้น กำหนดไม่ได้ซ้ำเลย
แต่ผู้ที่ตกนรกอื่นๆแล้วพระพุทธเจ้าทรงกำหนดได้ว่า
ตกนรกไปเท่านั้นกัปเท่านี้กัลป์เขาก็จะพ้นไป ทรงกำหนดได้
แต่อปุตตกเศรษฐีนี่กำหนดไม่ได้เลย
เพราะว่า เขาไม่มีบุญติดตัวไปแม้แต่น้อยเดียว
ไอ้เรื่องนี้มันควรคิดควรพิจารณาให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจของคนเรา
ว่าคนเรานี่จะมีความสุขความเจริญได้ในขั้นไหนๆนั้น
มันขึ้นอยู่กับบุญวาสนา ขึ้นอยู่กับบุญกุศลคุณความดี
ที่แต่ละบุคคลกระทำสั่งสมเอามานั่นแหละ
ถ้าผู้ใดหมดบุญไม่ทำบุญเสียแล้ว "บุญเก่าก็หมด บุญใหม่ก็ไม่ทำ"
แล้วก็ชีวิตนี้ก็มีแต่จะตกทุกข์ได้ยากลำบาก
เรียกว่า ไปตกนรกลูกเดียวก็ว่าแล้ว ก็ว่าได้ล่ะ พูดง่ายๆ
ดังนั้นน่ะไม่ควรปฏิเสธเรื่องบุญสำหรับผู้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว
มันต้องเชื่อบุญเชื่อบาปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องบุญเรื่องบาปแล้ว
ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"รักษาสัจจะความจริงใจ"
*อ่านเรื่อง อปุตตกเศรษฐีในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2927&Z=2986