กัมพูชา บูชากรรม (ภาคผนวก) สงครามทำกู Sino-Vietnamese conflicts 1979–1990

*ข้อมูลต่อไปนี้มีภาพและเนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญานในการรับชมด้วยครับ

       อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/


"พระอาทิตย์ส่องสว่างขึ้น อยู่ ณ ขอบฟ้าใดของโลก นั่นหมายถึงว่า อีกมุมหนึ่งของมันย่อมมืดสนิท"
        วันนี้ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ผ่านบทความยาวๆในมุมหนึ่งของสงคราม ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ด้วยไม่ค่อยมีใครได้เอ่ยถึงเท่าไรนัก
ส่วนใหญ่เรามักจะมองสงครามครั้งนี้ เป็นเรื่องของการทุ่มสรรพกำลังทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน การดำเนินกลยุทธที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ของฝ่ายจีน ด้วยยุทธวิธีคลื่นมนุษย์ที่เก่าคร่ำครึ หรือการใช้ปืนใหญ่สนามและจรวดท่อถล่มเนินที่หมายต่างๆ และข้อมูลส่วนนั้นที่หลายๆท่านเคยอ่านมา ก็ไม่เคยทำให้เราท่านได้รับรู้ถึงความน่าสลดสังเวชใจเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้เรามองสงครามเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เป็นเรื่องน่าสะใจ แล้วคล้อยตามอารมณ์ของผู้เขียนแต่ละท่าน ที่ใส่เข้าไปในบทความนั้นๆด้วย หรือบางที เราอาจรู้สึกอยากเชิดชูวีรกรรมทหารจีน ที่ยกทัพมากดดันเวียดนาม ให้ถอนทหารออกไปพ้นชายแดนไทยก็เป็นได้

แต่...มีอยู่สิ่งหนึ่งครับ ที่ใครหลายๆคนกลับมองผ่านเลยไป นั่นคือ ผู้หญิงที่เข้าร่วมรณรงค์สงคราม


        จากกรณีพิพาทตามแนวชายแดน และความซับซ้อนตามปัญหาของสังคมโลกในยุคนั้น นำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ ระหว่างจีนกับเวียดนาม ในวันที่ 17 กุมพาพันธ์ ถึง 16 มีนาคม ปี 1979 จากประวัติการรบที่ติดต่อกันอย่างยาวนานของประเทศเวียดนาม ทางการจีนมองว่า เวียดนามนั่นคืออีกหนึ่งในสาธารณรัฐสังคมนิยมสงคราม ซึ่งการรบในห้วงนี้ ฝ่ายจีนส่งกำลังเข้ารุกรานเวียดนามมากถึง 200,000 นาย และฝ่ายเวียดนามส่งกำลังเข้าต่อต้านมากถึง 100,000 นาย ถึงแม้สงครามครั้งนี้จะกินระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่มันกลับกลืนกินชีวิตมนุษย์และสัตว์ไปเฉียดล้าน แม้กองทัพจีนได้ถอนกำลังรบออกจากเวียดนามไปแล้วก็ตาม แต่การรบไม่ได้สิ้นสุดลงเสียทีเดียว ทั้งสองฝ่ายยังคงส่งกำลังเข้าประชิดชายแดน และยังมีการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 1990 ในห้วงการรบที่ต่อเนื่องระหว่างปี 1980 - 1989 ฝ่ายจีนส่งทหารเข้าประชิดชายแดนมากถึง 12 ล้านนาย เวียดนามเองก็ส่งทหารและอาสาสมัครเข้าประชิดชายแดนทางภาคเหนือถึง 10 ล้านนาย และที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายมีทหารและอาสาสมัครที่เป็นหญิงร่วมทัพอยู่จำนวนมาก คาดว่าอาจมีกำลังรบทหารหญิงเกือบครึ่งหนึ่งของกำลังรบทั้งหมด สิ่งที่น่าเหลือเชื่อของเรื่องนี้ คือ ทหารหญิงทั้งจีนและเวียดนามถูกรุมข่มขืนและฆ่าทิ้งอย่างทารุณ ภายหลังจากการตกเป็นเชลยศึกของอีกฝ่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

        นักเขียนชาวจีนท่านหนึ่ง ใช้มุมมองวิเคราะห์ถึงความโหดร้าย ที่ทหารหญิงประเทศของตนถูกกระทำในสงครามครั้งนี้ ว่ามันเลวร้ายพอๆกับการกระทำของทหารญี่ปุ่นซี่งเคยก่อไว้ที่นานกิง เขาเล่าว่า มีทหารหญิงจีนหลายหมื่นคนที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยพยาบาล ส่งเสบียงไปยังแนวหน้า และเป็นหน่วยเข้าตีสมทบ พวกเธอเหล่านั้น มักถูกฆ่าตายด้วยกระสุนจากปืนใหญ่ หรือตายจากการเหยียบกับระเบิด ที่มีอยู่ทั่วเนินนรกในดินแดนญวน และอีกหลายพันคนที่หายสาบสูญไป คราวเมื่อถึงการกวาดล้างทหารเวียดนาม มักจะพบศพของพวกเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายบอบช้ำเพราะถูกทุบตีด้วยของแข็ง บางศพถูกตัดแขนขาออกและห้อยประจานไว้ เลือดของพวกเธอยังคงไหลชโลมตามต้นไม้นั้นอยู่ มันเป็นภาพที่น่าหดหู่ สร้างความสังเวชใจแก่ทหารหนุ่มชาวจีนเป็นอย่างมาก มีข้อมูลอีกอย่างหนึ่งคือ ทหารเวียดนามมักจับเชลยหญิงมาทำเป็นโล่ห์มนุษย์ โดยจับเชลยมัดมือเท้าห้อยอยู่ที่ปลายกระบอกปืนใหญ่รถถังลาดตระเวน เพื่อป้องกันการถูกซุ่มโจมตี เสียดายนะครับที่ลูกปืนไม่มีลูกตา แต่พฤติกรรมต่ำเดรัจฉานแบบนี้ หาใช่มีแต่การกระทำของทหารเวียดนามเพียงฝ่ายเดียวไม่ ทหารฝ่ายจีนเองก็ปฏิบัติต่อเชลยที่เป็นทหารหญิงชาวเวียดนามไม่แพ้กัน นักเขียนชาวเวียดนามท่านหนึ่ง ที่เคยร่วมรบในสงครามนี้ ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนพบเจอมา เกี่ยวกับสภาพศพทหารหญิงเวียดนาม ที่ถูกพบเจอในหลุมบังเกอร์ใต้ดินของฝ่ายจีน สภาพศพทหารหญิงเวียดนามรายนั้น ถูกหั่นเต้านมออกทั้งสองข้าง ต้นแขนและขาถูกเฉือนออก และเขามั่นใจว่า ทหารจีนพวกนั้นรุมข่มขืนเธอ ก่อนจะนำชิ้นส่วนของเธอไปปรุงเป็นอาหารด้วย เขายังอ้างอีกว่า ภายหลังสิ้นสุดสงครามไปแล้วนั้น ผู้บัญชาการทหารจีน แสร้งทำเป็นไม่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของทหารจีน ที่สร้างความอัปยศให้ทหารหญิงเวียดนามนับพันๆคนในสมรภูมินี้

        ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง ทางการจีนและเวียดนามมีความพยายามที่จะไม่พูดถึงกรณีพิพาทดังกล่าว เพื่อคงไว้ซึ่งสัมพันธไมตรีทั้งสองฝ่าย อีกทั้งเหตุการณ์การสู้รบนี้ ก็มิได้ถูกจารึกไว้ในตำราเรียนประวัติศาสตร์ ถึงมี ก็เป็นเพียงรายละเอียดเพียงปลีกย่อยเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ รัฐบาลจีนยังได้ลดงบประมาณที่ต้องจ่ายให้แก่อดีตทหารผ่านศึกในเวียดนาม ทั้งยังลดความสำคัญในพิธีรำลึกวีรกรรมของนักรบจีน ที่เอาชีวิตไปทิ้งไว้ยังชายแดนนั้นด้วย ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลเวียดนามที่ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด และที่น่าแปลกใจ คือ ถ้าหากเราตัดความเชื่อมโยงระหว่างการรบตามแนวชายแดนไทยออกไป ผลสรุปของสงครามระหว่างจีนและเวียดนามในครั้งนี้ เพียงยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนเพียงเล็กน้อย.....

..........เท่านั้นเองหรือ ? เราจะเห็นได้ทันทีนะครับว่า อัตตาในตัวมนุษย์นี่มันร้ายกาจเพียงใด สงครามมันไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นเลยนะ อย่างที่ผมได้บอกไว้ "พระอาทิตย์ส่องสว่างขึ้น อยู่ ณ ขอบฟ้าใดของโลก นั่นหมายถึงว่า อีกมุมหนึ่งของมันย่อมมืดสนิท"
ก่อนจะจบบทความนี้ ผมมีคำถามชวนสะกิดใจสักหน่อย

คุณสะใจกับสงครามระหว่างจีนกับเวียดนามมั้ย ?




อ้างอิง http://cachmanghoalai2012.blogspot.com/2014/02/tai-lieu-quy-gia-ve-cuoc-chien-viet.html?m=1

http://club.china.com/data/thread/12171906/2756/67/53/0_1.html

https://zh.wikipedia.org/wiki/1979%E5%B9%B4%E4%B8%AD%E8%B6%8A%E6%88%98%E4%BA%89
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่