การมาเที่ยวโตเกียวในครั้งนี้ผมเริ่มจากสวนสัตว์ อุเอะโนะ ครับ อยู่บริเวณข้างใน สวนสาธารณะ อุเอะโนะ เรียกได้ว่าเป็นปอดของคนเมือง ข้างในพื้นที่กว้างขวางมากๆ เเบ่งเป็นโซน สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ หรือเเต่ศาลเจ้า ล้วนเเต่เป็นที่พักผ่อนของผู้คนเท่าที่ผมสังเกตุคนที่นี้ ชอบมาเดินเที่ยวสวนสาธารณะ อุเอะโนะ มากๆคนเเน่น ตั้งเเต่เช้าจรดเย็น
สวนสัตว์ อุเอะโนะ
สารภาพก่อนว่าผมไม่ค่อยอินกับสวนสัตว์สักเท่าไหร่ อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยเข้าไปชม เเต่คราวนี้มาถึงญี่ปุ่นเลยลองมาเข้าชมดูสักที อยากจะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นคนเข้าอินกับสวนสัตว์เเค่ไหนนะผมเสียค่าเข้าไป 600 เยน ในสวนสัตว์ อุเอะโนะ มีพื้นที่กว้างมากๆ ตอนเเรกผมคิดว่าจะเดินไม่ถึง 2 ชม. เเต่ที่ไหนได้ผมใช้เวลาอยู่กับที่สวนสัตว์ อุเอะโนะ ไปเกือบทั้งวันเลยละครับ “ การเดินทางที่ไม่ต้องเร่งรีบ ผมว่ามันคือ ความสุขอีกรูปเเบบนึงนะ “ เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาในความคิดของผม ขณะที่ผมเดินชมอยู่ในบริเวณสวนสัตว์ ผมเเอบคิดว่า ถ้าผมมากับทัวร์คงไม่มีโอกาส ได้เดินชิลๆ ในสวนสัตว์เเบบนี้เเน่ๆ
ในสวนสัตว์ อุเอะโนะ มีสัตว์ที่เรียกได้ว่า ถ้าไม่มาดู ถือว่ามาไม่ถึง อุเอะโนะ ไม่ว่าจะเป็น เจ้า Shin Shin เเละ Ri Ri สองเเพนด้าขวัญใจเด็กๆญี่ปุ่น ทั้งเด็กเเละผู้ใหญ่มาต่อคิวดูเป็นจำนวนมาก
ผมเดินชมไปเรื่อยๆ เห็นคุณครูพานักเรียนมาทัศนศึกษา จุดนี้น่าชื่นชทถึงการปลูกฝัง ระเบียบวินัยของเด็กญี่ปุ่นเขานะครับ ไม่มีการออกนอกเเถว มีการจับคู่ บัดดี้ กุมมือกันอย่างมีระเบียบ ผมว่าการปลูกฝังค่านิยม การมีระเบียบ รู้จักพึ่งพาตนเอง น่าสนใจมากๆ
การมาเดินเที่ยวสวนสัตว์ อุเอะโนะ ทำให้ผมได้มีโอกาสสังเกตุ พฤติกรรมของคนญี่ปุ่นอีกอย่างนั้นก็คือ สาวๆที่นี้เเพ้ทางสัตว์ทุกชนิดมากๆ เจอสัตว์อะไรก็ชมว่า “ คาวาอี้ “ ไปหมด ขนาดสัตว์ประเภท ตัวซาลามานเดอร์ ที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครชมมันเเน่ๆ เเต่ทั้งเด็กเเละสาวญี่ปุ่น พุ่งเข้ามาดูใกล้ๆ ชมกันใหญ่ว่า “ คาวาอี้ คาวาอี้ คาวาอี้ “ผมนี่เข้าใจเลยละครับ ว่าเรื่องนี้ป็นจริง ฮา
ผมพยายามเดินหาช้างไทย อยู่ตรงไหนเเต่ด้วยสวนสัตว์ อุเอะโนะ กว้างมากๆเลยหาไม่เจอ เจอเเต่รูปปั้นช้าง ที่เด็กญี่ปุ่นต่อคิวขึ้นมาเล่นกันอย่างสนุกสนาน
สวนสัตว์ อุเอะโนะ เรียกได้ว่า รวมสัตว์ไว้เยอะมากๆเลยละครับ ไม่ว่าจะเป็น เเพนด้า สิงโต กอริล่า ยีราฟ เต่ามาดากัสการ์ ช้าง หมีขาว เพนกวิ้น ลีเมอร์ เเละสัตว์สายพันธ์ุที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นอย่าง japanese Macaqves หรือ ลิงหน้าเเดง ลิงหิมะ คนญี่ปุ่นเเท้ๆยังมามุงดูกันตรึม ผมเคยเห็นเเต่ในวิดิโอวันนี้ได้มีโอกาสมาเจอเจ้าลิงหิมะ ตัวเป็นๆปลื้มไม่น้อยครับ
อีกจุดที่ต้องชมของสวนสัตว์ที่ญี่ปุ่นก็คือ มาตรฐานด้านความปลอดภัยของเขาครับ ที่นี้มีกระจกหนามากครับ เเถมยังเป็นกระจกสองชั้นอีกต่างหาก ปลอดภัยเเน่นอน เหมาะพาลูกหลานมาเที่ยวครับ
ความประทับใจที่ผมเจอในสวนสัตว์ อุเอะโนะ ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปในวันเด็กอีกครั้ง ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบไป ชีวิตที่มีอิสระ คงเป็นสุดยอดของความปรารถนาของวัยผู้ใหญ่อย่างเราๆครับการที่ผมได้มีโอกาสเดินชมสวนสัตว์ อุเอะโนะ ในครั้งนี้ผมเห็นเเต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีใครที่ดูเคร่งเครียดเลยสักคนบางครั้งคนเราถ้าได้มีเวลาคิดถึงอดีต คิดถึงวัยเยาว์ที่ผ่านมา คงจะมีความสุข ขึ้นมาไม่น้อยเลยละถ้าใครได้มีโอกาสเเละไม่เร่งรีบผมอยากจะให้มาลองใช้เวลาสักวันกับ สวนสัตว์ อุเอะโนะ ครับ รับรองว่าเพื่อนๆจะไม่ผิดหวังเลยละ
อาซาคุสะ
เช้าวันที่สอง ผมตื่นเวลา 9.00 โมงนิดๆ ถ้าเทียบกับเวลาที่ต้องทำงานต้องถือว่า ได้มีโอกาสตื่นสายมากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีที่ Backpack มาเที่ยวเอง ถ้าผมมากับทัวร์คงต้องตื่นเเต่เช้าเป็นเเน่
สายๆผมนั่งรถไฟสาย Yamoto Line มาที่ อาซาคุสะ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ผมเลือกที่จะเดินขึ้นไปฝั่งตรงข้าม อาซาคุสะ ที่ชั้น 8 ของตึกนี้มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวมุมสูงของวัด อาซาคุสะ โตเกียวสกายทรี เเละตึกฟองเบียร์ ของอาซาฮี เลยละ จุดนี้นักท่องเที่ยวอีกหลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่ามี
จุดชมวิวดีๆเเละฟรีเเบบนี้อยู่ด้วย
ผมมานั่งที่ Miharashi - Cafe จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ เราสามารถทานอาหารพร้อมกับชมวิว วัดเซ็นโซจิ พร้อมมองโคมยักษ์จากจุดนี้ได้อีกด้วยครับ
ผมเลยถือโอกาสทานข้าวเช้าที่ร้านนี้เสียเลย ผมสั่งเซ็ทข้าวหน้าปลาไหลมาทาน ราคาอยู่ที่ 1200 เยน รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ เสริฟพร้อมซุปมิโสะร้อนๆ เเละก็คอนยัคหนึบๆ ที่ร้านนี้ เราสามารถเติมน้ำฟรีไม่อั้น เป้นน้ำเปล่ากลิ่นมินท์หอมๆดีนะ
ผมนั่งทานข้าวหน้าปลาไหลเเละชมวิวความงามของวัดเซ็นโซจิ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาเที่ยว วัดที่เก่าเเก่ที่สุดอีกวัดหนึ่งของญี่ปุ่นใครที่มีโอกาสมาเที่ยว วัดเซ็นโซจิ ผมขอเเนะนำให้ลองมานั่งชิบๆที่ Miharashi - Cafe ชมวิว อาซาคุสะ จากมุมสูงดูนะครับ น่าจะได้บรรยากาศอีกมุมที่ดีไม่น้อยเลยละ
เมื่ออิ่มท้องเเล้ว ถึงเวลาที่จะเดินไปชมวัดเซ็นโซจิ เเล้วละครับจุดเด่นที่สำคัญคงหนีไม่พ้น โคมยักษ์สีเเดง ที่มีความสูงถึง 4.5 เมตรเรียกได้ว่าเป็นโคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยละครับ
ความประทับใจที่ผมเห็นคือ พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นที่จูงลูกบ้าง อุ้มลูกมาเที่ยวที่วัดเซ็นโซจิ นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข ผมรู้สึกดีนะ เวลาที่เห็นพ่อเเม่ใ้ห้ความสำคัญพาลูกมาเที่ยวตั้งเเต่ยังเด็ก ผมว่าการได้มีโอกาสเที่ยวตั้งเเต่วัยเด็ก ทำให้เด็กมีจินตนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กๆอีกด้วย
วัดเซ็นโซจิ หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อวัดโคมเเดง นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 628 โดยจักรพรรดิ ซุยโกะ ของญี่ปุ่นถือว่าเป็นอีกวัดที่เก่าเเก่ของญี่ปุ่นเลยละครับ ความเชื่อของคนที่มาวัดนี้จะต้องปัดควันธูปออกจากกระถางธูป เข้าหาตัวเองเพื่อรับความโชคดี
ผมเเอบสังเกตุเห็นเด็กญี่ปุ่นใส่ชุดมัธยมปลายเข้ามาไหว้กันเยอะ สงสัยคงจะขอพรให้สอบเข้ามหาลัยชื่อดังให้ได้เป็นเเน่
ก่อนผมจะกลับจาก วัดเซ็นโซจิ ผมได้มีโอกาสลองนั่งรถลากชมเมือง ที่มีอยู่หลายเจ้ารอให้บริการอยู่บริเวณหน้าวัด ค่าบริการมีหลายเรทราคา ผมเลือกเเบบเริ่มต้นที่ 15 นาที 2000 เยน เพื่อชมวิวอาซาคุสะ ในอีกมุมมองผ่านรถลากที่ใช้เเรงคนหนุ่มญี่ปุ่นผู้เป็นคนลากรถให้ผม อัธยศัยดีมากๆครับ ขนาดเข้าออกตัวว่าพูดอังกฤษไม่เก่ง เขาก็พยายามพูดเเนะนำ สถานต่างๆให้ผมฟัง
ตอนเเรกผมคิดว่าการเดินชมด้วยขาเปล่ากับนั่งบนรถลากคงจะไม่เเตกต่างกัน เเต่เอาเขาจริงเเล้วบนรถลากกลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกครับเหมือนกับว่า เวลาค่อยเดินไปช้าๆ ใครที่มาอย่าลืมลองนั่งดูนะครับ ถ้าเทียบราคากับการบริการเเล้วผมว่าน่าประทับใจมากๆครับ
[CR] Tokyo Backpack ไดอารี่เรื่องราวความทรงจำดีๆเมื่อหมีหนุ่มเเบ็คเเพ็คเที่ยวญี่ปุ่น
สวนสัตว์ อุเอะโนะ
สารภาพก่อนว่าผมไม่ค่อยอินกับสวนสัตว์สักเท่าไหร่ อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยเข้าไปชม เเต่คราวนี้มาถึงญี่ปุ่นเลยลองมาเข้าชมดูสักที อยากจะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นคนเข้าอินกับสวนสัตว์เเค่ไหนนะผมเสียค่าเข้าไป 600 เยน ในสวนสัตว์ อุเอะโนะ มีพื้นที่กว้างมากๆ ตอนเเรกผมคิดว่าจะเดินไม่ถึง 2 ชม. เเต่ที่ไหนได้ผมใช้เวลาอยู่กับที่สวนสัตว์ อุเอะโนะ ไปเกือบทั้งวันเลยละครับ “ การเดินทางที่ไม่ต้องเร่งรีบ ผมว่ามันคือ ความสุขอีกรูปเเบบนึงนะ “ เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาในความคิดของผม ขณะที่ผมเดินชมอยู่ในบริเวณสวนสัตว์ ผมเเอบคิดว่า ถ้าผมมากับทัวร์คงไม่มีโอกาส ได้เดินชิลๆ ในสวนสัตว์เเบบนี้เเน่ๆ
ในสวนสัตว์ อุเอะโนะ มีสัตว์ที่เรียกได้ว่า ถ้าไม่มาดู ถือว่ามาไม่ถึง อุเอะโนะ ไม่ว่าจะเป็น เจ้า Shin Shin เเละ Ri Ri สองเเพนด้าขวัญใจเด็กๆญี่ปุ่น ทั้งเด็กเเละผู้ใหญ่มาต่อคิวดูเป็นจำนวนมาก
ผมเดินชมไปเรื่อยๆ เห็นคุณครูพานักเรียนมาทัศนศึกษา จุดนี้น่าชื่นชทถึงการปลูกฝัง ระเบียบวินัยของเด็กญี่ปุ่นเขานะครับ ไม่มีการออกนอกเเถว มีการจับคู่ บัดดี้ กุมมือกันอย่างมีระเบียบ ผมว่าการปลูกฝังค่านิยม การมีระเบียบ รู้จักพึ่งพาตนเอง น่าสนใจมากๆ
การมาเดินเที่ยวสวนสัตว์ อุเอะโนะ ทำให้ผมได้มีโอกาสสังเกตุ พฤติกรรมของคนญี่ปุ่นอีกอย่างนั้นก็คือ สาวๆที่นี้เเพ้ทางสัตว์ทุกชนิดมากๆ เจอสัตว์อะไรก็ชมว่า “ คาวาอี้ “ ไปหมด ขนาดสัตว์ประเภท ตัวซาลามานเดอร์ ที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครชมมันเเน่ๆ เเต่ทั้งเด็กเเละสาวญี่ปุ่น พุ่งเข้ามาดูใกล้ๆ ชมกันใหญ่ว่า “ คาวาอี้ คาวาอี้ คาวาอี้ “ผมนี่เข้าใจเลยละครับ ว่าเรื่องนี้ป็นจริง ฮา
ผมพยายามเดินหาช้างไทย อยู่ตรงไหนเเต่ด้วยสวนสัตว์ อุเอะโนะ กว้างมากๆเลยหาไม่เจอ เจอเเต่รูปปั้นช้าง ที่เด็กญี่ปุ่นต่อคิวขึ้นมาเล่นกันอย่างสนุกสนาน
สวนสัตว์ อุเอะโนะ เรียกได้ว่า รวมสัตว์ไว้เยอะมากๆเลยละครับ ไม่ว่าจะเป็น เเพนด้า สิงโต กอริล่า ยีราฟ เต่ามาดากัสการ์ ช้าง หมีขาว เพนกวิ้น ลีเมอร์ เเละสัตว์สายพันธ์ุที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นอย่าง japanese Macaqves หรือ ลิงหน้าเเดง ลิงหิมะ คนญี่ปุ่นเเท้ๆยังมามุงดูกันตรึม ผมเคยเห็นเเต่ในวิดิโอวันนี้ได้มีโอกาสมาเจอเจ้าลิงหิมะ ตัวเป็นๆปลื้มไม่น้อยครับ
อีกจุดที่ต้องชมของสวนสัตว์ที่ญี่ปุ่นก็คือ มาตรฐานด้านความปลอดภัยของเขาครับ ที่นี้มีกระจกหนามากครับ เเถมยังเป็นกระจกสองชั้นอีกต่างหาก ปลอดภัยเเน่นอน เหมาะพาลูกหลานมาเที่ยวครับ
ความประทับใจที่ผมเจอในสวนสัตว์ อุเอะโนะ ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปในวันเด็กอีกครั้ง ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบไป ชีวิตที่มีอิสระ คงเป็นสุดยอดของความปรารถนาของวัยผู้ใหญ่อย่างเราๆครับการที่ผมได้มีโอกาสเดินชมสวนสัตว์ อุเอะโนะ ในครั้งนี้ผมเห็นเเต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีใครที่ดูเคร่งเครียดเลยสักคนบางครั้งคนเราถ้าได้มีเวลาคิดถึงอดีต คิดถึงวัยเยาว์ที่ผ่านมา คงจะมีความสุข ขึ้นมาไม่น้อยเลยละถ้าใครได้มีโอกาสเเละไม่เร่งรีบผมอยากจะให้มาลองใช้เวลาสักวันกับ สวนสัตว์ อุเอะโนะ ครับ รับรองว่าเพื่อนๆจะไม่ผิดหวังเลยละ
อาซาคุสะ
เช้าวันที่สอง ผมตื่นเวลา 9.00 โมงนิดๆ ถ้าเทียบกับเวลาที่ต้องทำงานต้องถือว่า ได้มีโอกาสตื่นสายมากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีที่ Backpack มาเที่ยวเอง ถ้าผมมากับทัวร์คงต้องตื่นเเต่เช้าเป็นเเน่
สายๆผมนั่งรถไฟสาย Yamoto Line มาที่ อาซาคุสะ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ผมเลือกที่จะเดินขึ้นไปฝั่งตรงข้าม อาซาคุสะ ที่ชั้น 8 ของตึกนี้มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวมุมสูงของวัด อาซาคุสะ โตเกียวสกายทรี เเละตึกฟองเบียร์ ของอาซาฮี เลยละ จุดนี้นักท่องเที่ยวอีกหลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่ามี
จุดชมวิวดีๆเเละฟรีเเบบนี้อยู่ด้วย
ผมมานั่งที่ Miharashi - Cafe จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ เราสามารถทานอาหารพร้อมกับชมวิว วัดเซ็นโซจิ พร้อมมองโคมยักษ์จากจุดนี้ได้อีกด้วยครับ
ผมเลยถือโอกาสทานข้าวเช้าที่ร้านนี้เสียเลย ผมสั่งเซ็ทข้าวหน้าปลาไหลมาทาน ราคาอยู่ที่ 1200 เยน รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ เสริฟพร้อมซุปมิโสะร้อนๆ เเละก็คอนยัคหนึบๆ ที่ร้านนี้ เราสามารถเติมน้ำฟรีไม่อั้น เป้นน้ำเปล่ากลิ่นมินท์หอมๆดีนะ
ผมนั่งทานข้าวหน้าปลาไหลเเละชมวิวความงามของวัดเซ็นโซจิ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาเที่ยว วัดที่เก่าเเก่ที่สุดอีกวัดหนึ่งของญี่ปุ่นใครที่มีโอกาสมาเที่ยว วัดเซ็นโซจิ ผมขอเเนะนำให้ลองมานั่งชิบๆที่ Miharashi - Cafe ชมวิว อาซาคุสะ จากมุมสูงดูนะครับ น่าจะได้บรรยากาศอีกมุมที่ดีไม่น้อยเลยละ
เมื่ออิ่มท้องเเล้ว ถึงเวลาที่จะเดินไปชมวัดเซ็นโซจิ เเล้วละครับจุดเด่นที่สำคัญคงหนีไม่พ้น โคมยักษ์สีเเดง ที่มีความสูงถึง 4.5 เมตรเรียกได้ว่าเป็นโคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยละครับ
ความประทับใจที่ผมเห็นคือ พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นที่จูงลูกบ้าง อุ้มลูกมาเที่ยวที่วัดเซ็นโซจิ นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข ผมรู้สึกดีนะ เวลาที่เห็นพ่อเเม่ใ้ห้ความสำคัญพาลูกมาเที่ยวตั้งเเต่ยังเด็ก ผมว่าการได้มีโอกาสเที่ยวตั้งเเต่วัยเด็ก ทำให้เด็กมีจินตนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กๆอีกด้วย
วัดเซ็นโซจิ หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อวัดโคมเเดง นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 628 โดยจักรพรรดิ ซุยโกะ ของญี่ปุ่นถือว่าเป็นอีกวัดที่เก่าเเก่ของญี่ปุ่นเลยละครับ ความเชื่อของคนที่มาวัดนี้จะต้องปัดควันธูปออกจากกระถางธูป เข้าหาตัวเองเพื่อรับความโชคดี
ก่อนผมจะกลับจาก วัดเซ็นโซจิ ผมได้มีโอกาสลองนั่งรถลากชมเมือง ที่มีอยู่หลายเจ้ารอให้บริการอยู่บริเวณหน้าวัด ค่าบริการมีหลายเรทราคา ผมเลือกเเบบเริ่มต้นที่ 15 นาที 2000 เยน เพื่อชมวิวอาซาคุสะ ในอีกมุมมองผ่านรถลากที่ใช้เเรงคนหนุ่มญี่ปุ่นผู้เป็นคนลากรถให้ผม อัธยศัยดีมากๆครับ ขนาดเข้าออกตัวว่าพูดอังกฤษไม่เก่ง เขาก็พยายามพูดเเนะนำ สถานต่างๆให้ผมฟัง
ตอนเเรกผมคิดว่าการเดินชมด้วยขาเปล่ากับนั่งบนรถลากคงจะไม่เเตกต่างกัน เเต่เอาเขาจริงเเล้วบนรถลากกลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกครับเหมือนกับว่า เวลาค่อยเดินไปช้าๆ ใครที่มาอย่าลืมลองนั่งดูนะครับ ถ้าเทียบราคากับการบริการเเล้วผมว่าน่าประทับใจมากๆครับ