ปมรัก รอยอดีต Book II ปมรัก บทที่ 27 ติดเกาะ

กระทู้สนทนา


27
ติดเกาะ


โดย ฮาร์โมนิก้า

เรือประมงแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอออกนอกอ่าวมิลอสอ้อมมาทางขวาเพื่อขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสู่เกาะซิฟนอส

อนาสเตเซียเดินไปนั่งอยู่ด้านหัวเรือ เฝ้ามองไปยังท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มท่ามกลางแดดยามเย็นที่ยังสว่างจ้าของฤดูร้อนซึ่งกว่า
พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าก็เกือบสามทุ่มและกว่าท้องฟ้าจะมืดมิดก็เกือบสามทุ่มครึ่ง เธอครุ่นคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมด
นับแต่ที่ค้นพบความจริงเกี่ยวกับสามีจนถึงตอนที่เธอสูญเสียความจำและได้รับความช่วยเหลือจากอิสวาน จนตอนนี้ที่เธอ
จำความได้แล้วและต้องระหกระเหินหนีต่อไปอีก

เธอไม่อยากหนี แต่จะทำอย่างไร เธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอ เธนอสไม่ได้บอกอะไรมาก นอกจากว่าตำรวจ
กำลังตามล่าเธออยู่ เนื่องจากเธอเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมบิดาและมารดาเลี้ยงของเธอ แต่ทำไมล่ะ ทำไมตำรวจถึง
แทงบัญชีว่าเธอเป็นผู้ต้องสงสัย

ไม่น่าแปลกใจเลย สามีจอมโฉดของเธอเป็นคนวางแผนใส่ร้ายเธอมาโดยตลอด และเธอก็โง่งมเดินตามแผนการของเขา
ด้วยสิ เธอไม่รู้ว่านิโคลาโยสทำได้อย่างไร แต่เขาก็ได้ทำไปแล้ว และคงได้ผลด้วยเพราะตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ที่กำลังหนีคดีอาญา เธออยากจะกลับไปเผชิญหน้า และจัดการกับสามีให้หายแค้น แต่จะทำได้อย่างไรในเมื่อเธอในตอนนี้
ไม่อาจเปิดเผยตัวเองได้ เธอไม่อยากถูกจับ และเธอแน่ใจว่านิโคลาโยสคงต้องเตรียมหลักฐานแน่นหนาเพื่อมัดเธอ
จนดิ้นไม่หลุด

เรือแล่นมาจนถึงครึ่งทางจะถึงซิฟนอส ทิ้งมิลอสไว้แต่เพียงภาพเกาะเล็กๆ ไกลสุดตา เธอยังไม่ได้ร่ำลาอิสวาน แม้เขาจะ
ปิดบังความจริงเกี่ยวกับตัวเธอในขณะที่เธอสูญเสียความทรงจำ แต่เขาก็ได้ช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ใช่หรือ และอาจเป็นการดีที่เ
ขาไม่บอกว่าเธอเป็นใครในตอนนั้น ตอนที่ร่างกายและสภาพจิตใจเธอกำลังย่ำแย่ เธออาจสติขาดผึงและเป็นบ้าไปได้ คงจะ
เป็นการดีกว่าที่เธอเลือกที่จะลืมตัวเองและเรื่องราวที่น่าอดสูและเลวร้ายในชีวิตตัวเองไปชั่วระยะหนึ่ง ระยะเวลาสั้นๆ ที่เธอ
มีโอกาสมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายอย่างผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง

เรือแล่นต่อมาอีกสี่ชั่วโมงก็เข้าสู่น่านน้ำของเกาะซิฟนอสในเวลาสี่ทุ่ม ความมืดมิดได้ปกคลุมท้องทะเลอีเจียนมาร่วมครึ่ง
ชั่วโมงแล้ว เรือประมงลำขนาดกลางแล่นด้วยความเร็วที่ลดลงห่างจากชายฝั่งไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร ก่อนที่จะเหเรือเข้าเทียบท่า
เรือลำหนึ่งก็กระพริบไฟส่งให้ อนาสเตเซียตัวแข็งเมื่อเห็นว่าเป็นเรือสายตรวจตำรวจน้ำ

เจ้าของเรือกระโดดลงมาจากห้องบังคับเรือ วิ่งมาหาอนาสเตเซีย

“มาดาม ตำรวจน้ำดักรออยู่ผมต้องจอดให้ตรวจไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่” ชาวประมงพูดสีหน้าจริงจัง

อนาสเตเซียพูดไม่ออก มือเท้าเย็นชืดด้วยความตกใจกลัว ตำรวจน้ำอยู่ตรงหน้า และเธอจะหลบหนีหรือซุกซ่อนตัวอย่างไรได้
ในเรือประมงลำขนาดกลางเพียงเท่านี้

“มาดามว่ายน้ำเป็นใช่ไหม” ชาวประมงเจ้าของเรือถาม มองดูใบหน้าที่ซีดไม่มีสีเลือดของเธออย่างเห็นใจ

อนาสเตเซียมองตอบอย่างงงๆ เขาจะให้เธอว่ายน้ำหนีเข้าฝั่งหรืออย่างไร

“ผมมีเรือเล็กมาด้วย คุณพอจะพายเรือเข้าฝั่งเองได้ไหม ไม่ไกลหรอกครับอีกแค่ประมาณสามสี่ร้อยเมตร”

อนาสเตเซียนิ่งฟัง ทำอะไรไม่ถูก เธอไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องพยักหน้ารับ

“ผมขอโทษด้วยที่ส่งมาดามไม่ได้ถึงท่าเรือ แต่นี่ก็ไม่ไกลแล้ว มาดามพายเข้าฝั่งด้านนี้อาจดีกว่า แล้วหารถต่อเข้าไปที่ท่าเรือ
ก็ได้” เขาพูดขณะสั่งลูกน้องบนเรือให้เอาเรือเล็กลงให้เธอ ตัวเขาเดินมาส่งอนาสเตเซียให้ปีนลงไป

“โชคดีนะครับมาดาม พยายามเลี่ยงแสงไฟไว้ ช่วงนี้มืดพอควรผมจะล่อตำรวจไว้ มาดามอาศัยเงามืดรีบพายเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด
แล้วกัน”

อนาสเตเซียพยักหน้าพลางกล่าวขอบคุณ เธอปีนลงเรือเล็ก ความตกใจกลัวทำให้มือที่สั่นและชื้นเหงื่อของเธอลื่นจนเกือบพลาด
ตกลงไประหว่างปีนถึงสองครั้ง ทุกอย่างถูกกระทำอย่างรีบเร่งจนหญิงสาวไม่มีโอกาสหยุดคิดไคร่ครวญอะไรทั้งสิน และเมื่อเรือ
ถูกปลดเชือกจากเรือใหญ่เธอก็รู้สึกเคว้งคว้างทันที

เธอพยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้สั่นทั้งที่หัวใจเต้นแรงและรัวจนแทบจะกลบเสียงคลื่นลมในทะเลจนหมดสิ้น อนาสเตเซียรู้สึก
หูตาพร่าพรายด้วยความกลัว เธอพยายามยึดพายในมือแน่นและออกแรงพายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอลอบหันกลับไปมอง
เรือประมงด้านหลัง และพยายามก้มตัวต่ำเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น

แขนทั้งสองข้างปวดไปหมดแต่หญิงสาวไม่อาจหยุดได้ เธอรีบจ้วงพายอย่างรวดเร็วทั้งที่ใจยังเต้นโครมครามด้วยความกลัว โชคดี
ที่ฝั่งอยู่ห่างไปไม่มาก คลื่นที่ซัดอยู่ตอนนี้ก็กำลังซัดเข้าฝั่งทำให้เธอไม่ต้องออกแรงพายมากนัก ปัญหาอยู่ที่ตำรวจจะสังเกตเห็น
เรือพายเล็กๆ ที่ลอยลำอยู่ริมชายฝั่งของเธอหรือไม่

ชาวประมงทำตามคำพูด เขาหันเหความสนใจของเรือตำรวจด้วยการแล่นตรงไปหา ทิ้งเงามืดไว้เบื้องหลังเพื่อให้เธอได้อำพรางตน
อนาสเตเซียหันไปมองเห็นเรือประมงจอดเทียบกับเรือสายตรวจซึ่งลำเล็กกว่า เธอไม่ทราบว่าทั้งหมดเจรจากันเรื่องอะไร แต่ตำรวจ
สองนายบนเรือได้ข้ามไปยังเรือประมงเพื่อตรวจค้น โชคดีที่เธอลงจากเรือมาก่อน

ยี่สิบนาทีต่อมาอนาสเตเซียก็พาเรือเล็กขึ้นฝั่งสำเร็จ บริเวณนั้นเป็นหาดร้างไร้ผู้คน แต่เธอก็ไม่กล้าปล่อยเรือทิ้งไว้ด้วยเกรงว่าจะลอยลำ
ไปเจอเข้ากับเรือสายตรวจและอาจก่อให้เกิดความสงสัยได้ จึงตัดสินใจลากเรือขึ้นมาบนหาด และคว่ำไว้ตรงบริเวณที่คิดว่าน้ำ
คงท่วมไม่ถึง

หญิงสาวเดินขึ้นจากหาดมุ่งสู่ถนนสายเล็กด้านบน ไม่มีบ้านเรือนหรือร้านค้าอยู่บนถนนและที่หาด ทั่วบริเวณเงียบสนิทมีแต่แสงสว่าง
จากดวงจันทร์และแสงไฟของบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองกิโลเมตร อนาสเตเซียยืนตัวสั่นอยู่ริมถนน เฝ้าภาวนาขอให้มีรถราสัญจร
ผ่านมาให้เธอได้อาศัยโบกเพื่อเข้าไปยังท่าเรือ

รถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านมา หญิงสาวยกมือขึ้นโบกแต่เหมือนคนขับจะไม่เห็นเธอ รถแล่นผ่านไปอย่างเร็วจนเกือบเฉี่ยวเธอตกถนน
อนาสเตเซียมองตามอย่างสิ้นหวังบนถนนที่เงียบและมืดสนิทนั้น เวลาผ่านไปอีกสิบนาทีกว่าจะมีแสงไฟสว่างอีกครั้งจากระยะไกล
อนาสเตเซียดีใจเธอเดินออกมานอกถนนและยกมือขึ้นโบกอีกครั้ง

รถสกู๊ตเตอร์เห็นเธอและจอดลงห่างจากจุดที่เธอยืนไม่ไกลนัก นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันวัยกลางคนร่างใหญ่แต่งตัวราวกับนักดนตรี
ร็อคยินดีพาเธอไปส่งที่ท่าเรือเนื่องจากเป็นทางผ่าน ไม่ถึงห้านาทีทั้งคู่ก็มาถึงท่าเรือ

อนาสเตเซียลงจากสกู๊ตเตอร์กล่าวขอบคุณ และเดินต่อจากถนนสายหลักเข้าไปตามตึกรามบ้านเรือนสีขาวที่มีทั้งตรอกคนเดินและ
ถนนสายเล็กสำหรับรถวิ่งภายในหมู่บ้านที่ติดกับท่าเรือเฟอร์รี่แห่งนั้น หญิงสาวเดินผ่านร้านรวงที่ค่อนข้างคึกคักเนื่องจากเป็นฤดู
ท่องเที่ยว พยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สังเกตซึ่งค่อนข้างยาก บุคลิคและอะไรบางอย่างในตัวเธอทำให้เธอเป็นจุดสนใจอยู่แล้วโดย
ไม่ต้องพยายาม

ตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างทางสะดุดสายตาเธอ ด้วยความคิดถึงลูกชายทำให้เธอคิดโทรศัพท์หาอีเนียสเพื่อถามข่าวจูเลี่ยน และตอนนั้น
เองที่เธอรู้ตัวว่าเธอลืมกระเป๋าแบบถุงทะเลใบนั้นไว้บนเรือประมง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่