[SR] รีวิว – นาฬิกา Omega Seamaster 300 “SPECTRE”

รีวิวนี้ผมนำบางส่วนมาจากบทความเต็มที่บล็อกของผมที่ www.lwt.club นะครับ ถ้าใครอยากอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับนาฬิกาในอีกมุมมอง ลองเข้ามาอ่านได้ครับ


บทนำ
ทาง LWT ได้จับกระแสของ “เจมส์ บอนด์” สายลับหนุ่มเมืองผู้ดีผู้มีรหัสประจำตัว 007 มานำเสนอในช่วงภาพยนตร์เรื่อง SPECTRE เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงตัวความผูกพันธ์ระหว่าง Omega กับสายลับ ซึ่งเป็นเวลามากกว่า 50 ปี ที่ เจมส์ บอนด์ ได้ออกมาโลดแล่นในจอเงินพร้อมกับสร้างฐานแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น นอกจากความเก่งกาจแล้ว ด้านการแต่งตัว ไลฟ์สไตล์ และที่ขาดไม่ได้คือ “นาฬิกา Omega ที่อยู่บนข้อมือ” ของ 007 ที่เป็นเครื่องมือพิเศษที่คอยช่วยเหลือเขาในยามคับขันได้เสมอ เป็นทั้งตัวจุดชนวน ระเบิดขนาดเล็ก ไฟส่องสว่าง หรือแม้กระทั่งยิงเลเซอร์ได้ แม้ว่าจุดเริ่มต้นของนาฬิกาข้อมือเจมส์ บอนด์ จะไม่ใช่นาฬิกา Omega แต่เป็นนาฬิกา Rolex ที่ผุ้เขียนได้กำหนดไว้ ในบทความนี้ LWT ได้นำนาฬิกา Omega รุ่น Seamaster 300M “SPECTRE” สำหรับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ภาคล่าสุดที่จะเข้าโรงวันที่ 6 พฤษจิกายน 2558 มาให้ผู้อ่านได้สัมผัสทุกมิติของนาฬิกา Omega รุ่นนี้กันครับ

พื้นฐานประวัติศาสตร์
ผู้แต่ง เอียน เฟลมมิ่ง (Ian Flemming) ได้สร้างตัวละครสายลับที่มีชื่อว่า เจมส์ บอนด์ ในปี ค.ศ. 1953 ซึ่งโดย เจมส์ บอนด์ เป็นหนุ่มนาวาโทสังกัดกองกำลังพลสำรองแห่งกองทัพเรืออังกฤษ ที่มาเป็นสายลับให้กับ Secret Intelligence Service (SIS) หรือ MI6 (Military Intelligence, Section 6) และมีรหัสประจำตัวคือ 007 ซึ่งตามผู้เขียน “นาฬิกา“ ของเจมส์บอนด์จะต้องเป็นนาฬิกา Rolex 1016 Explorer ตามที่เฟลมมิ่งใส่อยู่บนข้อมือของเขา


[Rolex 1016 Explorer ที่เหมือนกับของเฟลมมิ่ง – เครดิตภาพ www.rolexforum.com]


ทำไมต้อง Omega?
ลินดี้ เฮมมิ่ง (Lindy Hemming) นักออกแบบเครื่องแต่งกายที่มีรางวัลออสการ์เป็นประกัน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของนาฬิกาพยัคฆ์ร้าย ลินดี้ได้กล่าวว่า

"I was convinced that Commander Bond, a naval man, a diver and a discreet gentleman of the world would wear the Seamaster with the blue dial."

แปลได้ว่า “ฉันเชื่อว่านาวาโทบอนด์, นาวิกโยธินนัก, ทำลายใต้น้ำ และสุภาพบุรุษแสนสุขุมรอบคอบ ควรจะต้องใส่ Seamaster ที่มีหน้าปัดสีฟ้า”


[ลินดี้ เฮมมิ่ง – เครดิตภาพ www.heromachine.com]

ด้วยเหตุผลนี้ Omega จึงเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของสุดยอดจารชนตั้งแต่ภาค GoldenEye ในปี ค.ศ. 1995 ที่มี เพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) ในบท เจมส์ บอนด์ พร้อมนาฬิกา Omega Seamaster Diver 300M ถึงปัจจุบัน


[โฆษณาของ Omega กับ James Bond]

SPECTRE Limited Edition
จากฉากในภาพยนต์ Carino Royale 007 (2006) เรื่องแรกของ Craig น่าจะตอบคำถามของ ลินดี้ เฮมมิ่ง ได้อย่างดี

“ใส่ Rolex รึเปล่า?” เวสเปอร์ ลินด์ ชะเง้อมองบนข้อมือสายลับเจ้าของรหัส 007 พร้อมเอ่ยถาม

“เปล่า ผมใส่ Omega”

รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนมุมปากของเจ้าหน้าที่การคลังหรือสายลับสาวสองหน้าตัวฉกาจ เธออดที่จะชมในรสนิยมของจารชนอังกฤษไม่ได้ว่า

“มันสวยมาก”



น่าเสียดายที่ทาง Rolex ไม่ได้ร่วมมือกับทางหนังสายลับที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลซีรีส์นี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ได้ Omega เข้ามานั่งแท่นเป็นผู้สนับสนุนถึงเรือนเวลาที่คงทั้งความดุดันและเยือกเย็นภายในเรือน ๆ เดียวกัน ปีนี้เป็นอีกครั้งที่มีภาคต่อของ 007 เข้าโรงให้ชมกันในชื่อ “SPECTRE” ซึ่งทาง Omega เองก็ได้เปิดตัวนาฬิกามาในชื่อรุ่น Omega Seamaster 300 SPECTRE เช่นเดียวกับชื่อหนังโดยผลิตในจำนวนจำกัด 7,007 เรือนทั่วโลก


[Daniel Craig สวมบทบาท James Bond – เครดิตภาพ OMEGA]

ตัวเลข 7,007 เรือนนี้มีความพิเศษอย่างไรกัน? อย่างแรก ต้องบอกว่าจำนวนตัวเลขการผลิตนั้นดูเหมือนจะเยอะ แต่ทว่าเมื่อนับรวมทั้งเหล่านักสะสมเข้ากับแฟนหนังแล้ว จำนวนขนาดนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการที่สูงปรี๊ด จนแม้แต่ทาง LWT ยังเกือบจะไม่ทันได้จับจอง อย่างที่สองคือ โดยปกตินาฬิกาที่เป็น limited edition เกี่ยวกับ เจมส์ บอนด์ ทุกรุ่นนั้นผลิตออกมาจะต้องลงท้ายด้วย 007 เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับรหัสของสายลับขวัญใจของเรานั่นเอง ตรงนี้เป็นจุดที่ Omega ยังคงรักษาธรรมเนียมไว้เสมอเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (หลายคนอาจจะไม่ทราบ ตามจักรวาลของนิยายเรื่องนี้ ผู้ที่มีรหัสนำหน้าด้วย 00 จะแปลได้ว่า “อนุญาตให้สังหารเป้าหมายได้” นั่นเอง)


[หลังจากเปิดกล่องที่มาพร้อมรหัสแล้วกดสัญลักษณ์ Ω ก็จะพบกับเรือนเวลาที่ด้านใน]

อะไรคือความพิเศษของ Omega ตัวนี้? ทาง LWT สะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นถึงความ Vintage ที่แบรนด์ตั้งใจจะย้อนยุคให้เข้ากับหนุ่มบอนด์ตามเนื้อเรื่องของภาพยนต์ที่ทำให้ 007 กลับมาย้อนนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ภาค Casino Royale สายนาโต้ (อังกฤษ: NATO Strap) ที่แถมให้มาเป็นสีดำสลับกับเทา ล้อกับสายไนล่อนที่ ฌอน คอนเนอรี่ (Sean Connery) สวมใส่ในภาพยนต์ Dr.NO (1964) นับว่ากล้าที่จะท้าทายกับ Rolex Submarine Ref.6538 ในตำนานที่เปรียบเสมือน “จอกศักดิ์สิทธิ์” มาก หรือนี่อาจจะเป็นการส่งสัญญาณว่าตอนนี้ทาง Omega คือผู้ที่กำลังจะมาทาบกลบรัศมีของ Rolex ในอนาคตอันใกล้


[Rolex Submariner กับสายนาโต้ ในหนังเรื่อง Dr.No – เครดิตภาพ http://regattasandreppties.tumblr.com]



แต่ถ้าหากอยากเปลี่ยนสไตล์ให้ดูเคร่งขรึมมากขึ้นก็ทำได้ไม่ยาก ทาง Omega SPECTRE ได้แถมสายโลหะขนาด 21 มม. สลัก  007 ที่หัวสายมาให้อีก 1 เส้นพร้อมไขควงเปลี่ยนสายในกล่องอย่างครบครัน โดยตรงนี้ Omega ฉลาดเลือกที่จะใช้สายโลหะขัดด้านเพื่อลบความรู้สึกหรูหราที่ติดมาตั้งแต่ยุค เพียร์ซ บรอสแนน ให้น้อยลง เน้นความรู้สึกของนาฬิกาสำหรับเจ้าหน้าที่ MI6 ภาคสนามให้มากขึ้น ตามบุคลิกของ 007 คนปัจจุบันที่จะเป็น เจมส์ บอนด์ แบบโลกสีเทาหม่นจนเกือบดำสนิท


[ใช้สายโลหะขัดด้านเพื่อลบความรู้สึกหรูหราให้น้อยลง เน้นความรู้สึกของนาฬิกาสำหรับภาคสนามให้มากขึ้น]


อุปกรณ์ที่น่าสนใจที่สุดคือเลนส์ขยายส่องนาฬิกาที่มีลูกเล่นตามขอบหน้าปัดนาฬิกา ที่มีสัญลักษณ์ Omega พร้อมรหัส 007 ของสายลับหนุ่ม ทำเราอมยิ้มทันทีที่ได้เห็นถึงความเอาใจใส่ของแบรนด์นี้


[Loupe ของ OMEGA พิเศษสำหรับสายลับ 007]


[อุปกรณ์สำหรับการเปลี่ยนสายสีดำที่เข้ากับนาฬิกา กล่อง และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ]

จุดที่เป็นจุดเด่นและน่าจะมีการพูดถึงกันมากที่สุดนั้นคือเข็มวินาทีที่มีหัวกลมแบบลูกกวาดหรือ “Lollipop Hand” ซึ่ง LWT เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องของเข็มวินาทีไว้ ซึ่งในบทความได้บอกถึงความสำคัญของหางของเข็มวินาที เพราะเข็มวินาทีนั้นจะต้องมีความสมดุลที่สุดเนื่องจากแรงบิดที่น้อยของกลไกที่ส่งถึงเข็มวินาที แต่ลักษณะของเข็มทรงอมยิ้มแบบนี้ทำให้ LWT นั้นต้องยอมรับถึงความ “ใจถึง” ของ Omega ที่สามารถออกแบบให้เข็มวินาทีมีหัวใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าทาง Omega ไม่ได้ออกแบบผิด เพียงแต่เป็นการใช้เทคนิคออกแบบการถ่วงน้ำหนักที่ทำให้เข็มวินาทีดู “ค้านสายตา” แต่จุดนี้กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ SPECTRE Limited Edition ต่างจากนาฬิกาสายลับที่ Omega เคยผลิตมาทั้งหมด


[เข็มแบบ lollipop]

รูปทรงเรือนเวลา SPECTRE นั้นก็เลือกที่จะนำ DNA ของ Seamaster ในช่วงยุค 50 – 70s มาใช้เพื่อดึงความเป็นตัวตนของบอนด์ออกมาจนถึงหยดสุดท้าย นับว่าเป็นการทำตามนิยายต้นฉบับอย่างหนึ่ง สังเกตได้ง่าย ๆ ซึ่งตั้งแต่หนุ่ม Daniel Craig มารับบทบาทนั้นเราจะสังเกตได้ทันทีว่าบุคลิกของหนุ่มบอนด์เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากยุคเน้นอุปกรณ์ไฮเทคของที่ไม่เหมือนกับตัวตนของ 007 ในนิยายที่บอนด์เคยเป็นทหารเรือราชนาวีเก่า มาเป็นยุคที่ซัดกันด้วยมือเท้าเข่าศอก ดังนั้นการที่ Omega SPECTRE เลือกโมเดล Vintage และเน้นความดิบมากขึ้นนั้น ทาง LWT จึงนับว่าเป็นการเคารพตัวตนของบอนด์อย่างแท้จริง


[Omega Spectre บนข้อมือผมตอนออกปฏบัติการต่างประเทศ เค้าล้อเล่น]



อ้างอิง
1. Starpics Special Edition Everything About James Bond.กรุงเทพมหานครฯ: หสน. ห้องภาพกรุงเทพ; 2012

2. Jake Ehrlich. The Complete History Of James Bond Watches[Internet]. 2005 [cited 2015 Oct 25]

3.http://rolexblog.blogspot.com/2005/06/chapter-11-pierce-brosnanthe-omega-man.html

4.Robert Ryan. Q Lab Delights. OMEGA LIFETIME 2015; (15)



"Time is the most valuable thing a man can spend." - Theophrastus (372 BC-287 BC)

ถ้าชอบฝากกดไลค์ - Luxury Watches Thailand - Facebook
ชื่อสินค้า:   Omega Seamaster 300 "SPECTRE"
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่