--------------------
ตลอดเวลากว่าห้านาทีที่สองสาวเล่าเรื่องการใช้เวลาด้วยกันในวันหยุด จึงกลายเป็นความตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินที่ทั้งสองมอบให้แก่ผมในวันหยุดประจำสัปดาห์เช่นนี้
น้ำ “ส่วนมากจะไปกินข้าวกัน ช่วงหลังเค้าก็จะมีกิจกรรมเยอะ เวลาว่างอาจจะไม่ตรงกัน”
เอม “เคยคุยกันในรุ่นว่าอยากไปทะเล”
น้ำ “แต่คนอื่นไม่เห็นอยากไปกับเราเลยอ่ะ”
เอม “ก็นั่นน่ะสิ! คุยไปคุยมาเหลือแค่เราสองคนได้ยังไงก็ไม่รู้ คนอื่นเขาก็อยากทำอันนู้นอันนี้อันนั้น ก็เลยยังไม่ได้ไปสักที แต่ก็ยังเป็นมิชชั่นที่เรายังรอพวกคุณอยู่นะคะ”
น้ำ “คือเราสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว แต่เราอยากให้คนอื่นมาร่วมกับเราด้วย”
อากาศช่วงบ่ายค่อนข้างร้อนอบอ้าว น้ำเอื้อมไปหยิบน้ำอัดลมแก้วโตที่วางอยู่ ประกบขอบแก้วด้วยริมฝีปากก่อนจะซดดื่ม เอมและน้ำยังคงคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน สองสาวทำให้ผมแปลกใจอยู่บ่อยครั้งกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด ดอมดมเส้นผม หรือแม้กระทั่งสัมผัสริมฝีปาก ผมละสายตาจากภาพที่เห็นเบื้องหน้าเพื่อให้ความคิดกลับเข้าสู่ข้อคำถามอีกครั้ง
“ต้องเรียกว่าเผชิญกับความเป็นจริงเนอะ” น้ำบอกกับผมหลังจากที่ผมป้อนคำถามไปว่า ออกจากบ้านมาร่วมปีแล้วเหนื่อยขึ้นไหม “อยู่ข้างในเหมือนเราเรียนอยู่ เราเจออยู่แค่นั้น แต่พอออกมาแล้ว ถามว่ามันหนักกว่าไหม มันน่าจะหนักกว่าในการรับผิดชอบ ไม่มีใครมาคอยอุ้มเราเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิ่งที่ต้องการันตีก็คือชื่อของเรา ถ้าเราทำพลาดมันก็พังเลย” น้ำเสริม
“ตั้งแต่ในบ้าน AF รุ่นพี่ก็จะบอกว่า น้องๆ เหนื่อยในบ้าน แต่พอออกมาน้องจะรู้ว่าในบ้านมันเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่เชื่อ เราคิดว่าในบ้านมันเหนื่อยที่สุดแล้ว เราร้องเพลงอาทิตย์ละหนึ่งเพลง แต่พอออกมาเจอโลกความจริง บางทีสามวันต้องร้องห้าเพลง อาทิตย์นึงร้องสิบกว่าเพลง มันเป็นอะไรที่เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาอยู่กับที่ไม่ได้ ในบ้านเป็นแค่บททดสอบหนึ่งเท่านั้น ออกมาชีวิตจริงยากกว่าเยอะเลยค่ะ” เอมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
-----------------------------
บทความตัวเต็ม
http://www.prsociety.net/141968/
1 วัน กับสองสาวสุดฮอต “เอม-น้ำ”
--------------------
ตลอดเวลากว่าห้านาทีที่สองสาวเล่าเรื่องการใช้เวลาด้วยกันในวันหยุด จึงกลายเป็นความตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินที่ทั้งสองมอบให้แก่ผมในวันหยุดประจำสัปดาห์เช่นนี้
น้ำ “ส่วนมากจะไปกินข้าวกัน ช่วงหลังเค้าก็จะมีกิจกรรมเยอะ เวลาว่างอาจจะไม่ตรงกัน”
เอม “เคยคุยกันในรุ่นว่าอยากไปทะเล”
น้ำ “แต่คนอื่นไม่เห็นอยากไปกับเราเลยอ่ะ”
เอม “ก็นั่นน่ะสิ! คุยไปคุยมาเหลือแค่เราสองคนได้ยังไงก็ไม่รู้ คนอื่นเขาก็อยากทำอันนู้นอันนี้อันนั้น ก็เลยยังไม่ได้ไปสักที แต่ก็ยังเป็นมิชชั่นที่เรายังรอพวกคุณอยู่นะคะ”
น้ำ “คือเราสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว แต่เราอยากให้คนอื่นมาร่วมกับเราด้วย”
อากาศช่วงบ่ายค่อนข้างร้อนอบอ้าว น้ำเอื้อมไปหยิบน้ำอัดลมแก้วโตที่วางอยู่ ประกบขอบแก้วด้วยริมฝีปากก่อนจะซดดื่ม เอมและน้ำยังคงคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน สองสาวทำให้ผมแปลกใจอยู่บ่อยครั้งกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด ดอมดมเส้นผม หรือแม้กระทั่งสัมผัสริมฝีปาก ผมละสายตาจากภาพที่เห็นเบื้องหน้าเพื่อให้ความคิดกลับเข้าสู่ข้อคำถามอีกครั้ง
“ต้องเรียกว่าเผชิญกับความเป็นจริงเนอะ” น้ำบอกกับผมหลังจากที่ผมป้อนคำถามไปว่า ออกจากบ้านมาร่วมปีแล้วเหนื่อยขึ้นไหม “อยู่ข้างในเหมือนเราเรียนอยู่ เราเจออยู่แค่นั้น แต่พอออกมาแล้ว ถามว่ามันหนักกว่าไหม มันน่าจะหนักกว่าในการรับผิดชอบ ไม่มีใครมาคอยอุ้มเราเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิ่งที่ต้องการันตีก็คือชื่อของเรา ถ้าเราทำพลาดมันก็พังเลย” น้ำเสริม
“ตั้งแต่ในบ้าน AF รุ่นพี่ก็จะบอกว่า น้องๆ เหนื่อยในบ้าน แต่พอออกมาน้องจะรู้ว่าในบ้านมันเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่เชื่อ เราคิดว่าในบ้านมันเหนื่อยที่สุดแล้ว เราร้องเพลงอาทิตย์ละหนึ่งเพลง แต่พอออกมาเจอโลกความจริง บางทีสามวันต้องร้องห้าเพลง อาทิตย์นึงร้องสิบกว่าเพลง มันเป็นอะไรที่เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาอยู่กับที่ไม่ได้ ในบ้านเป็นแค่บททดสอบหนึ่งเท่านั้น ออกมาชีวิตจริงยากกว่าเยอะเลยค่ะ” เอมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
-----------------------------
บทความตัวเต็ม http://www.prsociety.net/141968/