BY THE SEA
(Angelina Jolie Pitt, 2015)
พูดตรงๆคือ 'ชอบ' นะฮะ แต่ไม่ใช่ชอบหนัง เพราะว่ากันตามจริง หนังออกจะเนิบเนือย เอื่อยๆ เรื่อยๆ ชวนให้รู้สึกน่าเบื่อนิดๆ ค่าที่มันไม่ค่อยจะมีฉากดราม่าเร้าอารมณ์ให้รู้สึกตื่นเต้นเสียเลย แถมหนังก็ยาวเกินสองชั่วโมงอีกต่างหาก นั่งๆดูไปพอถึงตอนท้ายๆก็มีอาการวูบหลับแบบไม่ทันตั้งตัวเลย...555+ ต้องโทษว่าเปนเพราะเบาะที่นั่งในโรงมันนุ่มนิ่มเกิ๊น! นอกจากปรับเอนลงนอนได้แล้ว ยังมีหมอนและผ้าห่มบริการให้พร้อมอีกต่างหาก อีกทั้งแอร์ในโรงก็เย๊นเย็น...
(จนอยากให้ BTS มีผ้าห่มให้บริการบ้างจุง เพราะขึ้นทีไร ไม่วายสงสัยทุกทีว่านี่มันรถขนส่งมวลชนหรือตู้แช่ปลากันแน่!) ก็เลยมีเผลอบ้างอะไรบ้างไปตามระเบียบ อิอิ
ยิ่งพูดยิ่งเรื่อยเปื่อยเนาะ งั้นเข้าประเด็นละกัน ที่บอกไปว่า
'ชอบ' นั้น จริงๆคือชอบการแสดงของ
แองเจลิน่า โจลี่ มากๆ มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้แองจี้เล่นดีสุดๆ ส่วนหนึ่งอาจเปนเพราะนางเขียนบทเอง เลยมีความเข้าอกเข้าใจสภาวะอารมณ์ของตัวละครอย่างลึกซึ้งเปนพิเศษ ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งยวดกว่า คือการที่แองจี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันแหลกสลาย รันทด ร้าวราน ผ่านสีหน้าแววตาแลอากัปกิริยาท่าทีต่างๆออกมาให้คนดูสัมผัสได้อย่างจะแจ้งแจ่มชัด ชวนให้รู้สึกสงสารเห็นใจ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าตาม อย่างฉากที่
วาเนสซ่า นั่งซึมอยู่บนเตียงเพียงเดียวดาย โดยมีน้ำตาไหลพรากอาบแก้มนั้น ดูแล้วโศกสุดๆ เผยให้เห็นถึงคนที่ตกอยู่ในภาวะมืดมนอับจนความสุข มองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ท้อแท้ล้อมรอบชีวิตอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆคือเธอกำลังตกอยู่ในอาการซึมเศร้ารุนแรง
อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ แม้ว่าจะชอบน้อยกว่าแองจี้ก็ตาม คือ
แบรด พิทท์ ที่มารับบท
โรแลนด์ สามีนักเขียนที่กำลังตกอยู่ในภาวะตีบตันทางความคิด หรือ writer's block อันเปนสภาวะร้ายกาจสุดทรมานของคนมีอาชีพนักเขียนอย่างที่สุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ด้วยหลากสาเหตุ แต่สำหรับโรแลนด์นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิดขึ้นเพราะได้รับอิทธิพลจากอาการซึมเศร้าของภรรยาสุดที่รัก พลอยให้เขาจำต้องทนเผชิญหน้าเพื่อรับมือกับเหตุการณ์จุกจิกวุ่นวาย กวนใจกวนอารมณ์และสมาธิอยู่มิได้หยุดหย่อน กลายเป็นเหตุให้เขาต้องหันเข้าหาเหล้า เพื่อให้ช่วยนำพาตัวเองหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ แม้จะเพียงแค่ชั่วคราวก็ยังดี
เช่นเดียวกับวาเนสซ่าที่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการนอนไม่หลับคุกคามอย่างต่อเนื่อง จนต้องใช้ยาเปนเครื่องช่วยบรรเทาเสมอมา
เห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตคู่ของทั้งสองกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติ จวนเจียนจะล่มสลายอยู่รอมร่อ เพราะแทนที่จะยอมหันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยปรับความเข้าใจ ช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ต่างฝ่ายต่างหันไปหาสิ่งปลอบประโลมใจอย่างอื่น ซึ่งมีแต่จะยิ่งทำให้อะไรๆมันเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หนังออกจะให้ความเปนธรรมแก่ฝ่ายสามีอยู่พอสมควร อย่างน้อยก็ให้เห็นว่าเขาได้พยายามที่จะพูดคุยปรับความเข้าใจกับภรรยา แต่กลับเปนเธอ ที่ปฏิเสธไม่ยอมเปิดใจให้แก่สามี จนเขาต้องไปแสวงหาความสุขด้วยการดื่มเหล้า เพื่อให้เมาหลับไป ทั้งนี้จะหมายความว่าเขาจะหมดรักหรือสิ้นเยื่อใยต่อภรรยาก็หาไม่ กลายเปนโรแลนด์เองก็ต้องทุกข์ทรมานที่ได้แต่มองดูวาเนสซ่าปล่อยตนเองจมลงสู่ห้วงทุกข์ด้วยความเต็มใจ โดยที่ไม่อาจช่วยอะไรได้
เลยอดคิดไม่ได้ว่า เทียบกันแล้วโรแลนด์น่าจะทนทุกข์สาหัสกว่าภรรยา เพราะเขาต้องเจอปัญหาพร้อมกันถึงสองเด้ง คือแค่ writer's block ที่ทำให้เขาเขียนงานไม่ออก ก็ถือว่าแย่จนเกินทนอยู่แล้ว การต้องมาเห็นภรรยาสุดที่รักมัวแต่จมกองทุกข์แบบไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเปนการตั้งหน้าตั้งตาทำลายตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังลุกลามมาทำลายชีวิตเขาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยนั้น มันยิ่งเลวร้ายกว่าอะไรทั้งปวง นั่นเปนเพราะว่าเขา
'รัก' ภรรยาอย่างมากมายเหลือเกิน ฉากหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือฉากที่โรแลนด์เกิดความไม่พอใจพฤติกรรมบางอย่างของภรรยา จนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ตรงเข้าประชิดตัวเธอพร้อมกับจับมือเธอขึ้นฟาดใบหน้าเขาแบบไม่ยั้ง ปากก็พูดในทำนองว่า ถ้าต้องการทำร้ายเขาให้เจ็บปวด ทำแบบนี้เลยเถอะ จะได้จบๆ! พูดง่ายๆคือตบหน้ากันเลยดีกว่า เพราะเจ็บกายแค่ไม่นานก็หาย แต่เจ็บใจนั้นมันจดจำตลอดไป และอาจลุกลามกลายเปนความเกลียดชัดกันในที่สุด
เข้าใจว่าการที่หนังต้องย้อนกลับไปสู่ยุคทศวรรษ 60-70 นอกเหนือจากเปนความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศในยุคนั้นออกมา ก็น่าจะเปนเพราะต้องการเก็บงำปมปัญหาอันเปนต้นเหตุแห่งหายนะในชีวิตคู่ของสองสามีภรรยาเอาไว้เปนความลับสำคัญของหนัง ซึ่งว่ากันตามจริง มันก็แลดูเปนปัญหาที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คอขาดบาดตายอีกแล้วในยุคนี้ เพราะมีหนทางและวิธีการอันหลากหลายมากมายในการช่วยแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับทัศนคติของสังคมในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงก็เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร จึงถือเปนเรื่องยอมรับได้ที่หนังจะย้อนยุค แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับการถูกวิจารณ์ว่าเอาเรื่องเก่า เชย มาสร้างก็ตาม
(แต่พูดกันตรงๆ ตอน Unbroken ก็มิได้นำเสนอประเด็นใดที่ใหม่ถอดด้ามไปกว่าที่หนังแนวกันเรื่องอื่นๆเคยนำเสนอมาก่อน เพียงแต่สเกลโปรดักชั่นมันดูอลังฯ น่าตื่นตาตื่นใจกว่าเรื่องนี้ก็เท่านั้น)
แม้ว่า By the Sea จะดูเปนหนังที่มีสเกลโปรดักชั่นเล็กกว่า แถมสโคปของเรื่องก็มิได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเชิดชูจิตวิญญาณนักสู้ในตัวมนุษย์เหมือน Unbroken ก็จริงๆ พูดให้ชัดๆคือเปนแค่หนัง
'ผัวเมียละเหี่ยใจ' ที่กำลังตกอยู่ในภาวะจวนอยู่จวนไปทุกขณะ เปนเหมือนแก้วร้าวที่ไม่อาจประสานได้ดังเดิม มีแต่รอความแตกเปนเสี่ยงๆเท่านั้น แต่ทว่าการต่อสู้ที่ตัวละครต้องเผชิญกลับมิได้ดูเล็กน้อยเบาบางกว่ากันแต่อย่างใด ด้วยมันเปนการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในจิตใจ อันเปนสมรภูมิที่ยากยิ่งในการจะเอาชนะอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ต่างๆที่วาเนสซ่าได้แสดงออกมา บอกให้รู้ชัดว่าเธอคือผู้ปราชัยในสงครามนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่จริง หนังยังมีรายละเอียดอีกเยอะนะฮะ แต่ไม่พูดต่อละ เพราะเท่าที่พูดแล้วก็แลดูว่าจะสปอยล์ เอ๊ย...พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้พูดก็เว้นไว้ให้คนที่ยังไม่ได้ดูหนังได้เข้าไปสัมผัสกันเอาเอง เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่บอกได้คำเดียวว่า 'แซ่บ' มาก รอบที่ดูมีคนหัวเราะลั่นโรง เมื่อได้เห็นหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤติชีวิตคู่ของสามีภรรยาคู่นี้
ก่อนจบการรีวิวนี้ ขอบอกอีกอย่างว่าชอบข้อสรุปของหนังในตอนท้ายที่ว่า ถึงที่สุดแล้ว เราก็แค่ปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างดำเนินไปตามวิถีทางตามที่มันควรจะเปน อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขอันใดมิได้ก็ต้องปล่อยวาง อย่ามัวแต่ยึดติด เพราะมีแต่จะทำให้ทุกข์ตรมหม่นใจเปล่าๆ เฉกเดียวกับชาวประมงที่ปล่อยให้เรือลอยตามกระแสน้ำออกสู่ทะเลเพื่อจับปลาในตอนเช้า และปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาเรือกลับเข้าสู่ฝั่งในตอนเย็น แม้ว่าบางวันก็แทบจะไม่ได้ปลาติดเรือกลับมาเลยสักตัว แต่เขาก็ยังคงออกทะเลเพื่อหาปลาอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมควร เราต่างมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อให้คุ้มค่า ดำเนินชีวิตด้วยการก้าวไปข้างหน้า โดยเชื่อมั่นว่าย่อมจะมีสิ่งใหม่ๆผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ...
อ่านรีวิวอื่นๆได้ที่เพจ -->
https://www.facebook.com/Nongmodkit-1455715884652777
[CR] [MOVIE REVIEW] - BY THE SEA
(Angelina Jolie Pitt, 2015)
พูดตรงๆคือ 'ชอบ' นะฮะ แต่ไม่ใช่ชอบหนัง เพราะว่ากันตามจริง หนังออกจะเนิบเนือย เอื่อยๆ เรื่อยๆ ชวนให้รู้สึกน่าเบื่อนิดๆ ค่าที่มันไม่ค่อยจะมีฉากดราม่าเร้าอารมณ์ให้รู้สึกตื่นเต้นเสียเลย แถมหนังก็ยาวเกินสองชั่วโมงอีกต่างหาก นั่งๆดูไปพอถึงตอนท้ายๆก็มีอาการวูบหลับแบบไม่ทันตั้งตัวเลย...555+ ต้องโทษว่าเปนเพราะเบาะที่นั่งในโรงมันนุ่มนิ่มเกิ๊น! นอกจากปรับเอนลงนอนได้แล้ว ยังมีหมอนและผ้าห่มบริการให้พร้อมอีกต่างหาก อีกทั้งแอร์ในโรงก็เย๊นเย็น... (จนอยากให้ BTS มีผ้าห่มให้บริการบ้างจุง เพราะขึ้นทีไร ไม่วายสงสัยทุกทีว่านี่มันรถขนส่งมวลชนหรือตู้แช่ปลากันแน่!) ก็เลยมีเผลอบ้างอะไรบ้างไปตามระเบียบ อิอิ
ยิ่งพูดยิ่งเรื่อยเปื่อยเนาะ งั้นเข้าประเด็นละกัน ที่บอกไปว่า 'ชอบ' นั้น จริงๆคือชอบการแสดงของ แองเจลิน่า โจลี่ มากๆ มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้แองจี้เล่นดีสุดๆ ส่วนหนึ่งอาจเปนเพราะนางเขียนบทเอง เลยมีความเข้าอกเข้าใจสภาวะอารมณ์ของตัวละครอย่างลึกซึ้งเปนพิเศษ ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งยวดกว่า คือการที่แองจี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันแหลกสลาย รันทด ร้าวราน ผ่านสีหน้าแววตาแลอากัปกิริยาท่าทีต่างๆออกมาให้คนดูสัมผัสได้อย่างจะแจ้งแจ่มชัด ชวนให้รู้สึกสงสารเห็นใจ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าตาม อย่างฉากที่ วาเนสซ่า นั่งซึมอยู่บนเตียงเพียงเดียวดาย โดยมีน้ำตาไหลพรากอาบแก้มนั้น ดูแล้วโศกสุดๆ เผยให้เห็นถึงคนที่ตกอยู่ในภาวะมืดมนอับจนความสุข มองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ท้อแท้ล้อมรอบชีวิตอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆคือเธอกำลังตกอยู่ในอาการซึมเศร้ารุนแรง
อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ แม้ว่าจะชอบน้อยกว่าแองจี้ก็ตาม คือ แบรด พิทท์ ที่มารับบท โรแลนด์ สามีนักเขียนที่กำลังตกอยู่ในภาวะตีบตันทางความคิด หรือ writer's block อันเปนสภาวะร้ายกาจสุดทรมานของคนมีอาชีพนักเขียนอย่างที่สุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ด้วยหลากสาเหตุ แต่สำหรับโรแลนด์นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิดขึ้นเพราะได้รับอิทธิพลจากอาการซึมเศร้าของภรรยาสุดที่รัก พลอยให้เขาจำต้องทนเผชิญหน้าเพื่อรับมือกับเหตุการณ์จุกจิกวุ่นวาย กวนใจกวนอารมณ์และสมาธิอยู่มิได้หยุดหย่อน กลายเป็นเหตุให้เขาต้องหันเข้าหาเหล้า เพื่อให้ช่วยนำพาตัวเองหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ แม้จะเพียงแค่ชั่วคราวก็ยังดี
เช่นเดียวกับวาเนสซ่าที่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการนอนไม่หลับคุกคามอย่างต่อเนื่อง จนต้องใช้ยาเปนเครื่องช่วยบรรเทาเสมอมา
เห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตคู่ของทั้งสองกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติ จวนเจียนจะล่มสลายอยู่รอมร่อ เพราะแทนที่จะยอมหันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยปรับความเข้าใจ ช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ต่างฝ่ายต่างหันไปหาสิ่งปลอบประโลมใจอย่างอื่น ซึ่งมีแต่จะยิ่งทำให้อะไรๆมันเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หนังออกจะให้ความเปนธรรมแก่ฝ่ายสามีอยู่พอสมควร อย่างน้อยก็ให้เห็นว่าเขาได้พยายามที่จะพูดคุยปรับความเข้าใจกับภรรยา แต่กลับเปนเธอ ที่ปฏิเสธไม่ยอมเปิดใจให้แก่สามี จนเขาต้องไปแสวงหาความสุขด้วยการดื่มเหล้า เพื่อให้เมาหลับไป ทั้งนี้จะหมายความว่าเขาจะหมดรักหรือสิ้นเยื่อใยต่อภรรยาก็หาไม่ กลายเปนโรแลนด์เองก็ต้องทุกข์ทรมานที่ได้แต่มองดูวาเนสซ่าปล่อยตนเองจมลงสู่ห้วงทุกข์ด้วยความเต็มใจ โดยที่ไม่อาจช่วยอะไรได้
เลยอดคิดไม่ได้ว่า เทียบกันแล้วโรแลนด์น่าจะทนทุกข์สาหัสกว่าภรรยา เพราะเขาต้องเจอปัญหาพร้อมกันถึงสองเด้ง คือแค่ writer's block ที่ทำให้เขาเขียนงานไม่ออก ก็ถือว่าแย่จนเกินทนอยู่แล้ว การต้องมาเห็นภรรยาสุดที่รักมัวแต่จมกองทุกข์แบบไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเปนการตั้งหน้าตั้งตาทำลายตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังลุกลามมาทำลายชีวิตเขาโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยนั้น มันยิ่งเลวร้ายกว่าอะไรทั้งปวง นั่นเปนเพราะว่าเขา 'รัก' ภรรยาอย่างมากมายเหลือเกิน ฉากหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือฉากที่โรแลนด์เกิดความไม่พอใจพฤติกรรมบางอย่างของภรรยา จนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ตรงเข้าประชิดตัวเธอพร้อมกับจับมือเธอขึ้นฟาดใบหน้าเขาแบบไม่ยั้ง ปากก็พูดในทำนองว่า ถ้าต้องการทำร้ายเขาให้เจ็บปวด ทำแบบนี้เลยเถอะ จะได้จบๆ! พูดง่ายๆคือตบหน้ากันเลยดีกว่า เพราะเจ็บกายแค่ไม่นานก็หาย แต่เจ็บใจนั้นมันจดจำตลอดไป และอาจลุกลามกลายเปนความเกลียดชัดกันในที่สุด
เข้าใจว่าการที่หนังต้องย้อนกลับไปสู่ยุคทศวรรษ 60-70 นอกเหนือจากเปนความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศในยุคนั้นออกมา ก็น่าจะเปนเพราะต้องการเก็บงำปมปัญหาอันเปนต้นเหตุแห่งหายนะในชีวิตคู่ของสองสามีภรรยาเอาไว้เปนความลับสำคัญของหนัง ซึ่งว่ากันตามจริง มันก็แลดูเปนปัญหาที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คอขาดบาดตายอีกแล้วในยุคนี้ เพราะมีหนทางและวิธีการอันหลากหลายมากมายในการช่วยแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับทัศนคติของสังคมในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงก็เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร จึงถือเปนเรื่องยอมรับได้ที่หนังจะย้อนยุค แม้ว่ามันจะเสี่ยงกับการถูกวิจารณ์ว่าเอาเรื่องเก่า เชย มาสร้างก็ตาม (แต่พูดกันตรงๆ ตอน Unbroken ก็มิได้นำเสนอประเด็นใดที่ใหม่ถอดด้ามไปกว่าที่หนังแนวกันเรื่องอื่นๆเคยนำเสนอมาก่อน เพียงแต่สเกลโปรดักชั่นมันดูอลังฯ น่าตื่นตาตื่นใจกว่าเรื่องนี้ก็เท่านั้น)
แม้ว่า By the Sea จะดูเปนหนังที่มีสเกลโปรดักชั่นเล็กกว่า แถมสโคปของเรื่องก็มิได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเชิดชูจิตวิญญาณนักสู้ในตัวมนุษย์เหมือน Unbroken ก็จริงๆ พูดให้ชัดๆคือเปนแค่หนัง 'ผัวเมียละเหี่ยใจ' ที่กำลังตกอยู่ในภาวะจวนอยู่จวนไปทุกขณะ เปนเหมือนแก้วร้าวที่ไม่อาจประสานได้ดังเดิม มีแต่รอความแตกเปนเสี่ยงๆเท่านั้น แต่ทว่าการต่อสู้ที่ตัวละครต้องเผชิญกลับมิได้ดูเล็กน้อยเบาบางกว่ากันแต่อย่างใด ด้วยมันเปนการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในจิตใจ อันเปนสมรภูมิที่ยากยิ่งในการจะเอาชนะอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ต่างๆที่วาเนสซ่าได้แสดงออกมา บอกให้รู้ชัดว่าเธอคือผู้ปราชัยในสงครามนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่จริง หนังยังมีรายละเอียดอีกเยอะนะฮะ แต่ไม่พูดต่อละ เพราะเท่าที่พูดแล้วก็แลดูว่าจะสปอยล์ เอ๊ย...พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้ว ส่วนที่ยังไม่ได้พูดก็เว้นไว้ให้คนที่ยังไม่ได้ดูหนังได้เข้าไปสัมผัสกันเอาเอง เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่บอกได้คำเดียวว่า 'แซ่บ' มาก รอบที่ดูมีคนหัวเราะลั่นโรง เมื่อได้เห็นหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤติชีวิตคู่ของสามีภรรยาคู่นี้
ก่อนจบการรีวิวนี้ ขอบอกอีกอย่างว่าชอบข้อสรุปของหนังในตอนท้ายที่ว่า ถึงที่สุดแล้ว เราก็แค่ปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างดำเนินไปตามวิถีทางตามที่มันควรจะเปน อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงแก้ไขอันใดมิได้ก็ต้องปล่อยวาง อย่ามัวแต่ยึดติด เพราะมีแต่จะทำให้ทุกข์ตรมหม่นใจเปล่าๆ เฉกเดียวกับชาวประมงที่ปล่อยให้เรือลอยตามกระแสน้ำออกสู่ทะเลเพื่อจับปลาในตอนเช้า และปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาเรือกลับเข้าสู่ฝั่งในตอนเย็น แม้ว่าบางวันก็แทบจะไม่ได้ปลาติดเรือกลับมาเลยสักตัว แต่เขาก็ยังคงออกทะเลเพื่อหาปลาอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมควร เราต่างมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อให้คุ้มค่า ดำเนินชีวิตด้วยการก้าวไปข้างหน้า โดยเชื่อมั่นว่าย่อมจะมีสิ่งใหม่ๆผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ...
อ่านรีวิวอื่นๆได้ที่เพจ --> https://www.facebook.com/Nongmodkit-1455715884652777