เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ผ้าฟันคุดของเรานะคะ เราไปผ่าฟันคุดกับคลินิกแห่งหนึ่งที่เราไว้ใจ และทำฟันกับที่นี่มานาน ตอนแรกผ่าซี่ล่างซ้าย ก็โอเค ไม่ปวด มีบวมบ้าง แต่ไม่กี่วันก็หายบวมกลับเป็นปกติ สรุปผ่านไปด้วยดี
ปัญหาคือ พอมาซี่ล่างขวา คุณหมอเจ้าของไข้ (และเจ้าของคลินิก) บอกว่าเคสนี้ยาก เพราะฟันอยู่ลึก จะให้ทันตแพทย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้มารับเคส เขาจะมาวันเดียว เพื่อมารักษาเคสที่ คุณหมอจขคน. ไม่ถนัด
ตอนแรกเราก็สองจิตสองใจ ว่าจะผ่าหรือรอให้ฟันขึ้นมาตื้นกว่านี้อีกนิด แต่เพราะคุณหมอบอกว่าช่วงอายุเท่าเราเหมาะกับการผ่าฟันคุดมากที่สุด และเราก็กลัวว่าปล่อยไปนานฟันคุดจะไปดันฟันซี่อื่น บวกกับคุณหมอ จขคน. ให้เครดิตหมออีกท่านไว้ดีมาก เราก็เลยโอเค ผ่าก็ผ่า..
พอมาถึงวันผ่า เจอคุณหมอที่รับเคสผ่า กับคุณหมอผู้หญิงอีกคน ที่เป็นผู้ช่วย แล้วก็เริ่มผ่าปกติ แต่พอมาถึงตอนที่ผ่าฟันแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 2-4 ซี่ (เพื่อให้ดึงฟันออกได้) เราก็เริ่มเจ็บๆบริเวณข้างริมฝีปากขวาที่อุปกรณ์ทำฟันกดแนบลงไป แล้วจากที่คุณหมอบอกให้หุบปากลงเล็กน้อย ไม่ต้องอ้ากว้าง อุปกรณ์เลยยิ่งแนบแน่นเข้าไปใหญ่ แต่ฤทธ์ยาชา ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ก็คิดไปว่า เพราะหมอกดแรงมั้ง มันเลยเจ็บๆ
การทำฟันดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่อุปกรณ์อันนั้นแนบปากเรานานมาก แล้วตอนที่เย็บแผลเราก็ได้ยินคุณหมอกับหมอผญ.คุยกัน ประมาณว่า
อุปกรณ์มันร้อน ไม่ได้หล่อน้ำก่อน มันเลยทำให้เป็นเป็นแบบนี้รึเปล่า ไอ้เราก็คิดในใจว่า เกิดอะไรขึ้น? แต่ก็ไม่ได้เข้าใจหรือสงสัยมาก เพราะยังไม่ได้เจ็บอะไร แล้วหมอผู้หญิงก็ถามหมอที่ผ่าว่า
เอาวาสลีนทาก็คงได้มั้ง แล้วเขาก็เออๆ ออๆ กันไป
จนกระทั่งทำฟันเสร็จ คุณหมอผญ.ก็บอกเราว่า กลับไปให้ประคบร้อนประคบเย็น แล้วก็เอาวาสลีนทาข้างๆปาก โดยที่ไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร เราก็ได้แค่พยักหน้าหงึกๆ เพราะปากยังชา แล้วก็กัดผ้าก็อซอยู่ หมอที่เป็นคนผ่าเขาก็เฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรซักคำ พอออกมาส่องกระจกที่ห้องน้ำ แล้วเห็นแผลตัวเองนั่นแหละถึงได้ ‘ตกใจ’
คือเนื้อมันหลุดไปบางๆ เห็นเป็นผิวชมพูๆ เราก็เริ่มกังวลเพราะแผลก็ไม่ได้เล็กนะสำหรับเรา แล้วก็คงไม่มีใครอยากให้หน้าตัวเองเป็นแผล ไม่ว่าแผลเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
เราเดินออกมาตรงเคาน์เตอร์ที่แม่เรายืนรับยาให้อยู่ แล้วคุณหมอเจ้าของคลินิกก็เดินออกมาจากห้องที่เราผ่าฟัน แล้วก็มาคุยกับแม่เรา คือเขาไม่ค่อยมองหน้าเราเท่าไหร่ เขาบอกว่า
ปากน้องจะเป็นแผลแล้วก็เจ็บๆ นิดนึง เพราะว่าน้อง ‘อ้าปากกว้างๆ นาน’ ตอนนั้นเราเริ่มงงแล้ว อะไรอ้าปากนาน?
แล้วเขาก็อธิบายมาอีกมากมายว่า
ปากคนเราต่างกัน บางคนพออ้าปากกว้างๆนานไป ปากมันจะเป็นแผล มีอาการเบิร์น แต่...ไม่ใช่เพราะอุปกรณ์ไปโดนนะ คือตอนนั่นเราเริ่มหน้าตึงแล้ว แต่ปากก็ตึงไง พูดอะไรไม่ได้ เขาบอกให้เรามาดูแผลอีกทีพรุ่งนี้เย็น เรากับแม่ก็โอเค จ่ายตังค์ไป 3,000 ไม่นับรวมค่าเอ็กซเรย์ก่อนหน้าที่ถูกส่งตัวไปที่รพ.เอกชนอีก 500
พอกลับบ้านเราก็หายาอะไรทาเอง เอาเจลว่านหางจรเข้มาทา เพราะแน่ใจมากๆว่าตัวเองไม่ได้ ‘ปากลอก เพราะอ้าปากนาน’ แล้วพอยาชาเริ่มหมดฤทธ์เท่านั้นแหละ รู้เลย…
อาการแสบร้อนมันเริ่มมา ข้างในก็ปวดข้างนอกก็แสบ ตอนนั้นแหละที่เริ่มรู้สึกแย่จริงๆ คือรู้สึกแย่กับหมอคนที่ผ่า เพราะเขาไม่อะไรเลย ไม่แสดงความรับผิดชอบ ไม่หาทางแก้ ไม่ขอโทษ คือง่ายๆ ไม่พูดกับเราสักคำ
แล้วก็รู้สึกแย่กับคุณหมอเจ้าของคลินิก เพราะเราเคารพและเชื่อถือเขามานาน แต่เขากลับพูดแก้ต่าง ไม่หาทางแก้ให้เรา แล้วยังทำให้เราสับสนและหาวิธีแก้ที่ถูกต้องไม่ได้ คือเราเข้าใจว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ยอมรับว่าก็ห่วงหน้าตัวเอง แต่เราไม่ได้คิดจะเรียกร้อง หรือโวยวายอะไรเลย ก็แค่ให้หมออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้เราฟัง เพื่อที่เราจะได้ดูแลแผลตัวเองได้ถูกวิธี
พอมาอีกวันเราไม่ได้ไปหาหมอตามที่นัด เพราะไม่ว่าง และรู้สึกว่า ‘ไม่อยากไป’ เรารู้ตัวว่าถ้าไปอารมณ์เราคงเหวี่ยงแน่ๆ คือมันผ่านมาวันนึงเต็มๆ แผลเริ่มเข้ม อาการพุพองเริ่มเห็นชัด เรารู้สึกว่าถ้าเชื่อหมอแต่แรก แล้วไม่หายาอะไรทาเอง แผลมันคงแย่กว่านี้ไปแล้ว เจ็บแสบกว่านี้ไปแล้ว
ที่เราเอาประสบการณ์นี้มาแชร์ แค่อยากให้ทุกคนระวังนะคะ ทั้งคุณหมอและคนไข้ ไม่ได้อยากให้กลัวการผ่าฟัน หรือรักษาฟัน เราเองก็รักษาฟันมาเยอะมาก เพราะสุขภาพฟันไม่ค่อยแข็งแรง เจอมาตั้งแต่นักศึกษาทันตะ จนถึงอาจารย์หมอ ทำฟันแบบซี่เดียว นาน 3ชม. นัด 3วันก็ผ่านมาแล้ว เราไม่เคยซีเรียสเลยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าคนที่รักษามีความใส่ใจและระมัดระวังมากเพียงพอ แต่ถ้าเกิดเรารู้สึกเจ็บหรือคิดว่ามีอะไรผิดปกติ แนะนำให้บอกหมอเลย เพราะอย่างเราจะทนตลอดจนสุดท้ายมันเกิดความผิดพลาดขึ้น โดยที่หมอเองเขาอาจไม่ทันสังเกต
และฝากถึงทันตแพทย์ หรือแพทย์ และคนที่กำลังก้าวสู่อาชีพนี้นะคะ ว่าขอให้ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นการตรวจเช็คอุปกรณ์ ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย คนที่รู้จักสิ่งเหล่านี้ดีที่สุดก็คือคุณ คนที่ให้คุณรักษาเขาเชื่อมั่นในตัวคุณเต็มเปี่ยม และหากเกิดความผิดพลาดขึ้นการบอกคนไข้ตรงๆ ช่วยกันหาทางแก้ไข และให้เขาได้ดูแลตัวเองถูกวิธี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด คือตอนแรกคนไข้บางคนอาจโวยวาย หรืออะไรก็ตาม แต่ก็ดีกว่าให้เขาสังเกตถึงความผิดปกติได้เองทีหลัง แบบนั้นเรื่องจะยิ่งแย่ เพราะคนไข้ยิ่งเสียความรู้สึก มีบางคนที่คิดว่าตัวเองเก่งจนไม่ระวัง #ย้ำว่าบางคนนะคะ แต่คุณหมอหลายท่านดีมากๆ ก็ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ
อันนี้เป็นรูปแผลค่ะ ตอนที่ยังไม่คล้ำมาก (ถ่ายกล้องหน้ารูปไม่ค่อยชัดนะคะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** สุดท้าย… ใครรู้จักยาทาแผลแบบนี้ หรือยาลบรอยแผลเป็นดีๆ ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ กราบบบ.. 555 กลัวเป็นแผลเป็น
ผ่าฟันคุดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่กลับได้รอยแผลพุพองแถมมา
ปัญหาคือ พอมาซี่ล่างขวา คุณหมอเจ้าของไข้ (และเจ้าของคลินิก) บอกว่าเคสนี้ยาก เพราะฟันอยู่ลึก จะให้ทันตแพทย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้มารับเคส เขาจะมาวันเดียว เพื่อมารักษาเคสที่ คุณหมอจขคน. ไม่ถนัด
ตอนแรกเราก็สองจิตสองใจ ว่าจะผ่าหรือรอให้ฟันขึ้นมาตื้นกว่านี้อีกนิด แต่เพราะคุณหมอบอกว่าช่วงอายุเท่าเราเหมาะกับการผ่าฟันคุดมากที่สุด และเราก็กลัวว่าปล่อยไปนานฟันคุดจะไปดันฟันซี่อื่น บวกกับคุณหมอ จขคน. ให้เครดิตหมออีกท่านไว้ดีมาก เราก็เลยโอเค ผ่าก็ผ่า..
พอมาถึงวันผ่า เจอคุณหมอที่รับเคสผ่า กับคุณหมอผู้หญิงอีกคน ที่เป็นผู้ช่วย แล้วก็เริ่มผ่าปกติ แต่พอมาถึงตอนที่ผ่าฟันแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 2-4 ซี่ (เพื่อให้ดึงฟันออกได้) เราก็เริ่มเจ็บๆบริเวณข้างริมฝีปากขวาที่อุปกรณ์ทำฟันกดแนบลงไป แล้วจากที่คุณหมอบอกให้หุบปากลงเล็กน้อย ไม่ต้องอ้ากว้าง อุปกรณ์เลยยิ่งแนบแน่นเข้าไปใหญ่ แต่ฤทธ์ยาชา ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ก็คิดไปว่า เพราะหมอกดแรงมั้ง มันเลยเจ็บๆ
การทำฟันดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่อุปกรณ์อันนั้นแนบปากเรานานมาก แล้วตอนที่เย็บแผลเราก็ได้ยินคุณหมอกับหมอผญ.คุยกัน ประมาณว่า อุปกรณ์มันร้อน ไม่ได้หล่อน้ำก่อน มันเลยทำให้เป็นเป็นแบบนี้รึเปล่า ไอ้เราก็คิดในใจว่า เกิดอะไรขึ้น? แต่ก็ไม่ได้เข้าใจหรือสงสัยมาก เพราะยังไม่ได้เจ็บอะไร แล้วหมอผู้หญิงก็ถามหมอที่ผ่าว่า เอาวาสลีนทาก็คงได้มั้ง แล้วเขาก็เออๆ ออๆ กันไป
จนกระทั่งทำฟันเสร็จ คุณหมอผญ.ก็บอกเราว่า กลับไปให้ประคบร้อนประคบเย็น แล้วก็เอาวาสลีนทาข้างๆปาก โดยที่ไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร เราก็ได้แค่พยักหน้าหงึกๆ เพราะปากยังชา แล้วก็กัดผ้าก็อซอยู่ หมอที่เป็นคนผ่าเขาก็เฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรซักคำ พอออกมาส่องกระจกที่ห้องน้ำ แล้วเห็นแผลตัวเองนั่นแหละถึงได้ ‘ตกใจ’ คือเนื้อมันหลุดไปบางๆ เห็นเป็นผิวชมพูๆ เราก็เริ่มกังวลเพราะแผลก็ไม่ได้เล็กนะสำหรับเรา แล้วก็คงไม่มีใครอยากให้หน้าตัวเองเป็นแผล ไม่ว่าแผลเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
เราเดินออกมาตรงเคาน์เตอร์ที่แม่เรายืนรับยาให้อยู่ แล้วคุณหมอเจ้าของคลินิกก็เดินออกมาจากห้องที่เราผ่าฟัน แล้วก็มาคุยกับแม่เรา คือเขาไม่ค่อยมองหน้าเราเท่าไหร่ เขาบอกว่า ปากน้องจะเป็นแผลแล้วก็เจ็บๆ นิดนึง เพราะว่าน้อง ‘อ้าปากกว้างๆ นาน’ ตอนนั้นเราเริ่มงงแล้ว อะไรอ้าปากนาน?
แล้วเขาก็อธิบายมาอีกมากมายว่า ปากคนเราต่างกัน บางคนพออ้าปากกว้างๆนานไป ปากมันจะเป็นแผล มีอาการเบิร์น แต่...ไม่ใช่เพราะอุปกรณ์ไปโดนนะ คือตอนนั่นเราเริ่มหน้าตึงแล้ว แต่ปากก็ตึงไง พูดอะไรไม่ได้ เขาบอกให้เรามาดูแผลอีกทีพรุ่งนี้เย็น เรากับแม่ก็โอเค จ่ายตังค์ไป 3,000 ไม่นับรวมค่าเอ็กซเรย์ก่อนหน้าที่ถูกส่งตัวไปที่รพ.เอกชนอีก 500
พอกลับบ้านเราก็หายาอะไรทาเอง เอาเจลว่านหางจรเข้มาทา เพราะแน่ใจมากๆว่าตัวเองไม่ได้ ‘ปากลอก เพราะอ้าปากนาน’ แล้วพอยาชาเริ่มหมดฤทธ์เท่านั้นแหละ รู้เลย… อาการแสบร้อนมันเริ่มมา ข้างในก็ปวดข้างนอกก็แสบ ตอนนั้นแหละที่เริ่มรู้สึกแย่จริงๆ คือรู้สึกแย่กับหมอคนที่ผ่า เพราะเขาไม่อะไรเลย ไม่แสดงความรับผิดชอบ ไม่หาทางแก้ ไม่ขอโทษ คือง่ายๆ ไม่พูดกับเราสักคำ
แล้วก็รู้สึกแย่กับคุณหมอเจ้าของคลินิก เพราะเราเคารพและเชื่อถือเขามานาน แต่เขากลับพูดแก้ต่าง ไม่หาทางแก้ให้เรา แล้วยังทำให้เราสับสนและหาวิธีแก้ที่ถูกต้องไม่ได้ คือเราเข้าใจว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ยอมรับว่าก็ห่วงหน้าตัวเอง แต่เราไม่ได้คิดจะเรียกร้อง หรือโวยวายอะไรเลย ก็แค่ให้หมออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้เราฟัง เพื่อที่เราจะได้ดูแลแผลตัวเองได้ถูกวิธี
พอมาอีกวันเราไม่ได้ไปหาหมอตามที่นัด เพราะไม่ว่าง และรู้สึกว่า ‘ไม่อยากไป’ เรารู้ตัวว่าถ้าไปอารมณ์เราคงเหวี่ยงแน่ๆ คือมันผ่านมาวันนึงเต็มๆ แผลเริ่มเข้ม อาการพุพองเริ่มเห็นชัด เรารู้สึกว่าถ้าเชื่อหมอแต่แรก แล้วไม่หายาอะไรทาเอง แผลมันคงแย่กว่านี้ไปแล้ว เจ็บแสบกว่านี้ไปแล้ว
ที่เราเอาประสบการณ์นี้มาแชร์ แค่อยากให้ทุกคนระวังนะคะ ทั้งคุณหมอและคนไข้ ไม่ได้อยากให้กลัวการผ่าฟัน หรือรักษาฟัน เราเองก็รักษาฟันมาเยอะมาก เพราะสุขภาพฟันไม่ค่อยแข็งแรง เจอมาตั้งแต่นักศึกษาทันตะ จนถึงอาจารย์หมอ ทำฟันแบบซี่เดียว นาน 3ชม. นัด 3วันก็ผ่านมาแล้ว เราไม่เคยซีเรียสเลยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าคนที่รักษามีความใส่ใจและระมัดระวังมากเพียงพอ แต่ถ้าเกิดเรารู้สึกเจ็บหรือคิดว่ามีอะไรผิดปกติ แนะนำให้บอกหมอเลย เพราะอย่างเราจะทนตลอดจนสุดท้ายมันเกิดความผิดพลาดขึ้น โดยที่หมอเองเขาอาจไม่ทันสังเกต
และฝากถึงทันตแพทย์ หรือแพทย์ และคนที่กำลังก้าวสู่อาชีพนี้นะคะ ว่าขอให้ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นการตรวจเช็คอุปกรณ์ ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย คนที่รู้จักสิ่งเหล่านี้ดีที่สุดก็คือคุณ คนที่ให้คุณรักษาเขาเชื่อมั่นในตัวคุณเต็มเปี่ยม และหากเกิดความผิดพลาดขึ้นการบอกคนไข้ตรงๆ ช่วยกันหาทางแก้ไข และให้เขาได้ดูแลตัวเองถูกวิธี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด คือตอนแรกคนไข้บางคนอาจโวยวาย หรืออะไรก็ตาม แต่ก็ดีกว่าให้เขาสังเกตถึงความผิดปกติได้เองทีหลัง แบบนั้นเรื่องจะยิ่งแย่ เพราะคนไข้ยิ่งเสียความรู้สึก มีบางคนที่คิดว่าตัวเองเก่งจนไม่ระวัง #ย้ำว่าบางคนนะคะ แต่คุณหมอหลายท่านดีมากๆ ก็ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ
อันนี้เป็นรูปแผลค่ะ ตอนที่ยังไม่คล้ำมาก (ถ่ายกล้องหน้ารูปไม่ค่อยชัดนะคะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** สุดท้าย… ใครรู้จักยาทาแผลแบบนี้ หรือยาลบรอยแผลเป็นดีๆ ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ กราบบบ.. 555 กลัวเป็นแผลเป็น