ควร สอบโทเฟิล หรือ ไอเอลท ดี ? Choose TOEFL or IELTS?
Hello World!
Post 1 – ANALYSIS OF TOEFL & IELTS FOR THAIS AND OLDER TEST TAKERS ควรสอบ TOEFL หรือ IELTS และผู้สอบอายุมาก
ขออนุญาติเล่า เผื่อเป็นประโยชน์ สำหรับใครที่จะสอบโทเฟิล หรือ ไอเอลท โดยเฉพาะคนอายุเยอะๆ ที่อยากกลับไปสอบ เพื่อเรียนต่อ หรือ ย้ายถิ่นฐาน หรือเพื่อเอาไลเซนสทำงาน
ขอบอกก่อนว่าเมื่อต้นปี 2012 สอบโทเฟิลได้ 104/120 เตรียมตัวประมาณเดือนกว่าๆ แต่ไม่ทุกวันและไม่ทั้งวัน แต่ก็หืดขึ้นคอ สำหรับคนอายุ35up คราวนี้ต้องมาสอบใหม่เพราะคะแนนหมดอายุภายใน2ปี แต่คราวนี้สังขารไม่ไหว นั่ง 4.5 ชั่วโมงไม่ได้ เลยสอบ IELTS เพราะนั่งแค่ประมาณไม่เกิน 3 ชม ก็ได้มา 7.5/9 ตอนนี้ก็ใกล้ 40แล้ว แต่คิดว่ายังไม่เหนื่อยมากเท่าสอบTOEFL 3ปีที่แล้ว
เอาเป็นสรุป วิเคราะห์ให้ฟัง ระหว่าง TOEFL กับ IELTS แบบที่ไม่เหมือนใครนะ เผื่อจะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง
1) ค่าสอบ TOEFL $185 เหรียญ สมัคร online รับทุกบัตร ส่วน IELTS ก็ online 6,440บาท หรือ สมัคร British Council ก็ได้ แพงกว่าออนไลน์นิดหน่อย 6,750 บาท รับบัตร visa/MC ที่ BC เท่านั้น ก็ลองเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเอาละกัน ถ้าอีกแบบของ IELTS แบบมีกล้องก็เป็นหมื่นกว่าๆ ลองเช็คมหาลัยดูว่าเอาแบบไหน จ่ายเป็น USD เช็คกับธนาคารอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์
2) ถนัดอ่านจากคอมพ์ จดโน้ตกระดาษ หรือ อ่านกระดาษ ถ้าถนัดอ่านทุกอย่างจากคอมพ์ พิมพ์คอม ก็TOEFL แต่ถ้าทำจากถนัดกระดาษ ก็ IELTS
3) การฟังเหมือนกัน ถ้าภาษาดีมาก ไม่ต่างกัน แต่ถ้าปานกลางถึงดี คิดว่า IELTS ง่ายกว่าพอควร เพราะมีโครงเรื่องให้ คีย์เวิร์ดจำนวนมาก ฟังไป ตาดูอ่านไป และเรื่องความลึกของศาตรที่ออกไม่ลึกเท่าTOEFL พวกวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ธรณี ศิลปะ ดนตรี ส่วน TOEFL ฟังเยอะ จดเยอะ แทบจะปวดมือเหมือนกัน ส่วน IELTS หลอกเยอะ เรียกว่า distractions พอควร และห้ามใจลอย เพราะคิดว่าพูดเร็วกว่า TOEFL ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมชาติของวิชาการเท่าไหร่นัก เหมือนทั่วๆไปมากกว่าที่จะพูดเร็วๆ
4) การอ่าน คนที่ทำการอ่านได้ดี จะได้เปรียบในการTOEFL มากกว่า ในแง่ การออกข้อสอบมาตรฐาน จำนวนกับเวลาพอจะสัมพันธ์กัน คือ พอทำทัน หรือ ถ้าไม่ทันก็นิดหน่อย แต่ IELTS ขนาดได้ TOEFL 28/30 ทำIELTS ไม่ทันครั้งละ 7ข้อ เป็นอย่างนี้ทั้งสองครั้ง คือ IELTS ทำให้ถูกหมดแต่ไม่ทัน 7 ข้อ ก็ได้ 7/9 (33ข้อถูก หรือ ทำครึ่ง20ข้อ เดาครึ่งๅ 20ข้อ แต่เดาทันเวลาขอให้เดาถูกแค่ 50% ของ 20 ข้อที่เหลือ ก็ได้ 7/9 (30ข้อถูก) จะเห็นว่าข้อสอบพาร์ทนี้ไม่ได้วัดความสามารถในการทำถูกอย่างแท้จริง แต่คุณเดาเก่งในเวลาที่กำหนดคุณก็ได้เท่ากัน แต่เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหามากกับ TOEFL พาร์ทนี้ความสามารถที่จะทำคะแนนได้ดีสำหรับคนไทยในการสอบ TOEFL ถ้าฝึกฝนการอ่านมาก็จะพอทำได้ ถามศัพท์ รู้บริบทรอบๆ อนุมานอาจจะยากแต่ฝึกๆได้
5) การเขียน คิดว่ายากง่าย ไม่ต่างกันนัก หากภาษาคุณดี ไม่ดี ไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ความต่างกันคือ ข้อดี IELTS มีอธิบายกราฟ เด็กไทยฝึกจำแพทเทิร์นการอธิบายได้ จำเป็นวลี หรือ ประโยค อันนี้ก็ได้คะแนนเห็นๆ แต่ Task2 นี่จะได้คะแนนยาก เพราะเขียนแบบ IELTS กึ่งๆเขียนGMAT/GRE วิธีการให้คะแนนจะยากกว่าTOEFL ส่วนTOEFL คุณต้องฟังเข้าใจ อ่านเรื่องเข้าใจ ถึงเขียนได้ เพราะ เป็นintegrated writing ส่วนอีกเรื่องที่ให้เขียนตามความเห็น เกณฑ์การให้คะแนนง่ายกว่า เราได้ 28/30 แต่ครั้งแรก ได้ 6.5 เพราะไม่ชินไม่เคยสอบเขียนกราฟ แต่พอครั้งที่สองได้ 7/9.
6) การพูด คิดว่า การพูด IELTS ง่ายกว่า มีเวลาเกือบ15 นาที พูดกับคน ดูปาก ดูท่า เข้าใจกันง่ายกว่า พูดกับไมโครโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์ สั้นมากๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ทุกคนพูดพร้อมๆกัน อาจรบกวนสมาธิ หรือเสียงแทรกได้
7) แต่ถ้าคุณมีข้อจำกัด ทางสายตาเช่น มอง 2Ds หรือ 3Ds ไม่ชัด เช่น ให้ดู process diagram อธิบายภาษาไทยยังดูภาพไม่ออกอย่างเรา พูดภาษาไทยยังอธิบายไม่ได้ แล้วจะเขียนอังกฤษได้ไง นี่ก็ถือว่า IELTS ไม่มาตรฐานตรงนี้ แต่ TOEFL ถ้าอ่านไม่เก่ง ฟังไม่เก่ง ก็จะกระทบเขียน สรุป คือ IELTS ลืมตัดเรื่อง ข้อได้เปรียบเสียเปรียบทาง spatial limitation แต่ TOEFLอาจไม่เที่ยงในแง่เขียนได้ดี แต่ฟังไม่เก่ง เพราะอยู่ไทย หรืออ่านเก่ง เขียนเก่ง แต่ฟังไม่คล่อง เพราะหูวันนั้นมีปัญหา ไม่สบายติดเชื้อ ก็จะวัดการเขียน การพูดไม่ได้เต็มที่ บอกกับหน้าจอไม่ได้ว่าชั้นไม่สบาย ได้ยินไม่ชัด แต่บอกกับกรรมการ IELTS ให้พูดซ้ำได้
8)ถ้าภาษาคุณดีมาก เช่น 620 หรือ 100+ หรือ 7 up จริงๆ สอบอะไรก็เหมือนกัน อยู่ที่ความอึดเลย เอาจริงๆนะ สำหรับเราคิดว่าไม่ต่างเรื่องคะแนน ไม่เกิน 3 ชม หรือ เอา 4.5ชม ส่วนเตรียมตัว สอบไอเอลเตรียม2 อาทิตย์ได้ 7/9 TOEFL ก็อย่างที่บอกเดือนกว่าๆ
9)ถ้าภาษาคุณไม่ค่อยดี ต่ำกว่า 550 หรือ น้อยกว่าราวๆ 80 หนี TOEFL หรือ สอบ IELTS ก็พอๆกัน เพราะฉะนั้นขึ้นกับ ไปเมกาสอบ TOEFL เพื่อเรียนต่อ TOEFL อาจจะสัมพันธ์วิชาการมากกว่า โดยเฉพาะการฟัง เลคเชอร์
10)ส่วนคนกลางๆประมาณใกล้เคียง 550-620 หรือ ประมาณ 80-99 ส่วนตัวคิดว่า ทำคะแนน TOEFL ขึ้นง่ายกว่า เพราะ เทคนิคพอฝึกฝนได้ แต่IELTS เน้น comprehensionมากกว่า ซึ่ง comprehension ฝึกstrategies ยากกว่า
11) แต่อย่างที่บอก ขึ้นกับความอึดการนั่งสอบ การให้เวลาเตรียมตัว เวลาน้อยก็ IELTS เยอะหน่อยก็TOEFL ไปเรียนต่อที่ไหน หรือเอาไปใช้ประโยชน์เพื่ออะไร
12) ถ้าจะเอาแบบสรุป ไม่ต้องวิเคราะห์ภาษาง่ายๆ ตรรกะชาวบ้าน ไปร้านหนังสือ แล้วลองดูความหนาของตำรา เตรียม TOEFL และ IELTS อันไหน หนากว่ากัน นั่นแหละ ก็คือ ความอดทนที่ต้องเตรียมตัว เวลา พลังงาน แต่ถ้าจะเรียนเอก บางมหาหลัย Topๆ ของเมกา ไม่รับ IELTS เลย เพราะถือว่าไม่มาตราฐานพอสำหรับ ป เอก ก็ลองดูจะได้ ไม่ต้องสอบสองแบบ และ ป โท บางที ยื่น IELTS ได้ แต่ต้อง 7.5 ทุกแบนด์หรือ 7 ทุกแบนด์แล้วแต่คณะ
13) สอบโทเฟิล มีเวลาเบรก ให้พักเข้าห้องน้ำ ทานขนม แต่ IELTS ต้องเบรกเอง ที่นับในเวลาสอบ ช่วงเวลาที่ควรเบรกคือตอนสอบเขียน เพราะอ่านไม่ทัน และถ้าปวดตอน10นาทีสุดท้าย ต้องทน ไม่อนุญาตให้เข้าห้องน้ำ นี่คือดีไซน์ ตามตรรกะ ความคิด ระบบการศึกษา และการจัดการการสอบ คิดว่าอันไหนแฟร์กว่ากัน สอบโทเฟิล มีตู้ฝากของ เอาขนม น้ำได้ แต่ IELTS ฝากกองๆกันใส่ถุง ห้ามใส่นาฬิกาเรือนแสนมาสอบนะจ๊ะ หายไม่รับผิดชอบ
14) บรรยากาศสอบ TOEFL คุณ control คอมพ์ ไม่มีใครพูดไมโครโฟนให้วุ่นวาย หูฟังใคร หูฟังมัน สอบ IELTS เหมือนเด็ก ต้องวางดินสอ บอกให้ทำทีละstep ถ้ารำคาญเสียสมาธิไมโครโฟน ก็สอบคอมพ์ แต่ถ้าไม่ได้อะไรนั่งข้างอีกคนแบบไม่มีที่กั้น ก็IELTS และไฟห้องสอบ TOEFL สว่างสีขาว IELTS ไฟเหลือง รร Landmark invigilators เดินวุ่นวาย TOEFL เค้าดูกล้องห้องสอบเล็กๆ เล็กกว่าเยอะมาก
15) อย่างสุดท้าย เคยถามเพื่อนเป็นอาจารย์ 2-3 คน บอกว่าสอนTOEFL ยากกว่า เพราะต้องเตรียมตัว เช่น คำถาม infer imply และเป็น integrated แต่สำหรับ ผู้สอบ ความเห็นก็ตามข้อ 1-14 เลย
นี่คือ ความคิด เห็น ส่วนตัว ข้าพเจ้า ขอให้ทุกคนโชคดี สอบได้คะแนนเยอะๆ ไม่ว่าจะเลือกสอบอะไรก็ตามนะจ๊ะ ยิ้ม (104/120 and 7.5/9)
ควร สอบโทเฟิล หรือ ไอเอลท ดี ? Choose TOEFL or IELTS?
Hello World!
Post 1 – ANALYSIS OF TOEFL & IELTS FOR THAIS AND OLDER TEST TAKERS ควรสอบ TOEFL หรือ IELTS และผู้สอบอายุมาก
ขออนุญาติเล่า เผื่อเป็นประโยชน์ สำหรับใครที่จะสอบโทเฟิล หรือ ไอเอลท โดยเฉพาะคนอายุเยอะๆ ที่อยากกลับไปสอบ เพื่อเรียนต่อ หรือ ย้ายถิ่นฐาน หรือเพื่อเอาไลเซนสทำงาน
ขอบอกก่อนว่าเมื่อต้นปี 2012 สอบโทเฟิลได้ 104/120 เตรียมตัวประมาณเดือนกว่าๆ แต่ไม่ทุกวันและไม่ทั้งวัน แต่ก็หืดขึ้นคอ สำหรับคนอายุ35up คราวนี้ต้องมาสอบใหม่เพราะคะแนนหมดอายุภายใน2ปี แต่คราวนี้สังขารไม่ไหว นั่ง 4.5 ชั่วโมงไม่ได้ เลยสอบ IELTS เพราะนั่งแค่ประมาณไม่เกิน 3 ชม ก็ได้มา 7.5/9 ตอนนี้ก็ใกล้ 40แล้ว แต่คิดว่ายังไม่เหนื่อยมากเท่าสอบTOEFL 3ปีที่แล้ว
เอาเป็นสรุป วิเคราะห์ให้ฟัง ระหว่าง TOEFL กับ IELTS แบบที่ไม่เหมือนใครนะ เผื่อจะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง
1) ค่าสอบ TOEFL $185 เหรียญ สมัคร online รับทุกบัตร ส่วน IELTS ก็ online 6,440บาท หรือ สมัคร British Council ก็ได้ แพงกว่าออนไลน์นิดหน่อย 6,750 บาท รับบัตร visa/MC ที่ BC เท่านั้น ก็ลองเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเอาละกัน ถ้าอีกแบบของ IELTS แบบมีกล้องก็เป็นหมื่นกว่าๆ ลองเช็คมหาลัยดูว่าเอาแบบไหน จ่ายเป็น USD เช็คกับธนาคารอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์
2) ถนัดอ่านจากคอมพ์ จดโน้ตกระดาษ หรือ อ่านกระดาษ ถ้าถนัดอ่านทุกอย่างจากคอมพ์ พิมพ์คอม ก็TOEFL แต่ถ้าทำจากถนัดกระดาษ ก็ IELTS
3) การฟังเหมือนกัน ถ้าภาษาดีมาก ไม่ต่างกัน แต่ถ้าปานกลางถึงดี คิดว่า IELTS ง่ายกว่าพอควร เพราะมีโครงเรื่องให้ คีย์เวิร์ดจำนวนมาก ฟังไป ตาดูอ่านไป และเรื่องความลึกของศาตรที่ออกไม่ลึกเท่าTOEFL พวกวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ธรณี ศิลปะ ดนตรี ส่วน TOEFL ฟังเยอะ จดเยอะ แทบจะปวดมือเหมือนกัน ส่วน IELTS หลอกเยอะ เรียกว่า distractions พอควร และห้ามใจลอย เพราะคิดว่าพูดเร็วกว่า TOEFL ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมชาติของวิชาการเท่าไหร่นัก เหมือนทั่วๆไปมากกว่าที่จะพูดเร็วๆ
4) การอ่าน คนที่ทำการอ่านได้ดี จะได้เปรียบในการTOEFL มากกว่า ในแง่ การออกข้อสอบมาตรฐาน จำนวนกับเวลาพอจะสัมพันธ์กัน คือ พอทำทัน หรือ ถ้าไม่ทันก็นิดหน่อย แต่ IELTS ขนาดได้ TOEFL 28/30 ทำIELTS ไม่ทันครั้งละ 7ข้อ เป็นอย่างนี้ทั้งสองครั้ง คือ IELTS ทำให้ถูกหมดแต่ไม่ทัน 7 ข้อ ก็ได้ 7/9 (33ข้อถูก หรือ ทำครึ่ง20ข้อ เดาครึ่งๅ 20ข้อ แต่เดาทันเวลาขอให้เดาถูกแค่ 50% ของ 20 ข้อที่เหลือ ก็ได้ 7/9 (30ข้อถูก) จะเห็นว่าข้อสอบพาร์ทนี้ไม่ได้วัดความสามารถในการทำถูกอย่างแท้จริง แต่คุณเดาเก่งในเวลาที่กำหนดคุณก็ได้เท่ากัน แต่เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหามากกับ TOEFL พาร์ทนี้ความสามารถที่จะทำคะแนนได้ดีสำหรับคนไทยในการสอบ TOEFL ถ้าฝึกฝนการอ่านมาก็จะพอทำได้ ถามศัพท์ รู้บริบทรอบๆ อนุมานอาจจะยากแต่ฝึกๆได้
5) การเขียน คิดว่ายากง่าย ไม่ต่างกันนัก หากภาษาคุณดี ไม่ดี ไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ความต่างกันคือ ข้อดี IELTS มีอธิบายกราฟ เด็กไทยฝึกจำแพทเทิร์นการอธิบายได้ จำเป็นวลี หรือ ประโยค อันนี้ก็ได้คะแนนเห็นๆ แต่ Task2 นี่จะได้คะแนนยาก เพราะเขียนแบบ IELTS กึ่งๆเขียนGMAT/GRE วิธีการให้คะแนนจะยากกว่าTOEFL ส่วนTOEFL คุณต้องฟังเข้าใจ อ่านเรื่องเข้าใจ ถึงเขียนได้ เพราะ เป็นintegrated writing ส่วนอีกเรื่องที่ให้เขียนตามความเห็น เกณฑ์การให้คะแนนง่ายกว่า เราได้ 28/30 แต่ครั้งแรก ได้ 6.5 เพราะไม่ชินไม่เคยสอบเขียนกราฟ แต่พอครั้งที่สองได้ 7/9.
6) การพูด คิดว่า การพูด IELTS ง่ายกว่า มีเวลาเกือบ15 นาที พูดกับคน ดูปาก ดูท่า เข้าใจกันง่ายกว่า พูดกับไมโครโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์ สั้นมากๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ทุกคนพูดพร้อมๆกัน อาจรบกวนสมาธิ หรือเสียงแทรกได้
7) แต่ถ้าคุณมีข้อจำกัด ทางสายตาเช่น มอง 2Ds หรือ 3Ds ไม่ชัด เช่น ให้ดู process diagram อธิบายภาษาไทยยังดูภาพไม่ออกอย่างเรา พูดภาษาไทยยังอธิบายไม่ได้ แล้วจะเขียนอังกฤษได้ไง นี่ก็ถือว่า IELTS ไม่มาตรฐานตรงนี้ แต่ TOEFL ถ้าอ่านไม่เก่ง ฟังไม่เก่ง ก็จะกระทบเขียน สรุป คือ IELTS ลืมตัดเรื่อง ข้อได้เปรียบเสียเปรียบทาง spatial limitation แต่ TOEFLอาจไม่เที่ยงในแง่เขียนได้ดี แต่ฟังไม่เก่ง เพราะอยู่ไทย หรืออ่านเก่ง เขียนเก่ง แต่ฟังไม่คล่อง เพราะหูวันนั้นมีปัญหา ไม่สบายติดเชื้อ ก็จะวัดการเขียน การพูดไม่ได้เต็มที่ บอกกับหน้าจอไม่ได้ว่าชั้นไม่สบาย ได้ยินไม่ชัด แต่บอกกับกรรมการ IELTS ให้พูดซ้ำได้
8)ถ้าภาษาคุณดีมาก เช่น 620 หรือ 100+ หรือ 7 up จริงๆ สอบอะไรก็เหมือนกัน อยู่ที่ความอึดเลย เอาจริงๆนะ สำหรับเราคิดว่าไม่ต่างเรื่องคะแนน ไม่เกิน 3 ชม หรือ เอา 4.5ชม ส่วนเตรียมตัว สอบไอเอลเตรียม2 อาทิตย์ได้ 7/9 TOEFL ก็อย่างที่บอกเดือนกว่าๆ
9)ถ้าภาษาคุณไม่ค่อยดี ต่ำกว่า 550 หรือ น้อยกว่าราวๆ 80 หนี TOEFL หรือ สอบ IELTS ก็พอๆกัน เพราะฉะนั้นขึ้นกับ ไปเมกาสอบ TOEFL เพื่อเรียนต่อ TOEFL อาจจะสัมพันธ์วิชาการมากกว่า โดยเฉพาะการฟัง เลคเชอร์
10)ส่วนคนกลางๆประมาณใกล้เคียง 550-620 หรือ ประมาณ 80-99 ส่วนตัวคิดว่า ทำคะแนน TOEFL ขึ้นง่ายกว่า เพราะ เทคนิคพอฝึกฝนได้ แต่IELTS เน้น comprehensionมากกว่า ซึ่ง comprehension ฝึกstrategies ยากกว่า
11) แต่อย่างที่บอก ขึ้นกับความอึดการนั่งสอบ การให้เวลาเตรียมตัว เวลาน้อยก็ IELTS เยอะหน่อยก็TOEFL ไปเรียนต่อที่ไหน หรือเอาไปใช้ประโยชน์เพื่ออะไร
12) ถ้าจะเอาแบบสรุป ไม่ต้องวิเคราะห์ภาษาง่ายๆ ตรรกะชาวบ้าน ไปร้านหนังสือ แล้วลองดูความหนาของตำรา เตรียม TOEFL และ IELTS อันไหน หนากว่ากัน นั่นแหละ ก็คือ ความอดทนที่ต้องเตรียมตัว เวลา พลังงาน แต่ถ้าจะเรียนเอก บางมหาหลัย Topๆ ของเมกา ไม่รับ IELTS เลย เพราะถือว่าไม่มาตราฐานพอสำหรับ ป เอก ก็ลองดูจะได้ ไม่ต้องสอบสองแบบ และ ป โท บางที ยื่น IELTS ได้ แต่ต้อง 7.5 ทุกแบนด์หรือ 7 ทุกแบนด์แล้วแต่คณะ
13) สอบโทเฟิล มีเวลาเบรก ให้พักเข้าห้องน้ำ ทานขนม แต่ IELTS ต้องเบรกเอง ที่นับในเวลาสอบ ช่วงเวลาที่ควรเบรกคือตอนสอบเขียน เพราะอ่านไม่ทัน และถ้าปวดตอน10นาทีสุดท้าย ต้องทน ไม่อนุญาตให้เข้าห้องน้ำ นี่คือดีไซน์ ตามตรรกะ ความคิด ระบบการศึกษา และการจัดการการสอบ คิดว่าอันไหนแฟร์กว่ากัน สอบโทเฟิล มีตู้ฝากของ เอาขนม น้ำได้ แต่ IELTS ฝากกองๆกันใส่ถุง ห้ามใส่นาฬิกาเรือนแสนมาสอบนะจ๊ะ หายไม่รับผิดชอบ
14) บรรยากาศสอบ TOEFL คุณ control คอมพ์ ไม่มีใครพูดไมโครโฟนให้วุ่นวาย หูฟังใคร หูฟังมัน สอบ IELTS เหมือนเด็ก ต้องวางดินสอ บอกให้ทำทีละstep ถ้ารำคาญเสียสมาธิไมโครโฟน ก็สอบคอมพ์ แต่ถ้าไม่ได้อะไรนั่งข้างอีกคนแบบไม่มีที่กั้น ก็IELTS และไฟห้องสอบ TOEFL สว่างสีขาว IELTS ไฟเหลือง รร Landmark invigilators เดินวุ่นวาย TOEFL เค้าดูกล้องห้องสอบเล็กๆ เล็กกว่าเยอะมาก
15) อย่างสุดท้าย เคยถามเพื่อนเป็นอาจารย์ 2-3 คน บอกว่าสอนTOEFL ยากกว่า เพราะต้องเตรียมตัว เช่น คำถาม infer imply และเป็น integrated แต่สำหรับ ผู้สอบ ความเห็นก็ตามข้อ 1-14 เลย
นี่คือ ความคิด เห็น ส่วนตัว ข้าพเจ้า ขอให้ทุกคนโชคดี สอบได้คะแนนเยอะๆ ไม่ว่าจะเลือกสอบอะไรก็ตามนะจ๊ะ ยิ้ม (104/120 and 7.5/9)