....... ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค ตอนที่ 5 (พุกาม)
จันทร์ 9 มีนาคม 2558 เวลา 10.00 น. ออกจากจากมัณฑะเลย์สู่พุกาม รถต้องวิ่งบนถนนที่ลาดยางเฉพาะกลางถนน เวลารถสวนจะอยู่บนถนนลาดยางคันละล้อ แต่รถของเราไม่หลบใคร ทำให้รถคันอื่นต้องหลบจนชิดขอบทาง ฝุ่นตลบ คนขับรถสวมโสร่ง ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางสีอ่อน แขนสั้น สวมรองเท้าแตะแบบคีบ เคี้ยวหมากและบ้วนน้ำหมากลงถนนตลอดเส้นทาง
ระหว่างทาง คนขับแวะพักที่ศูนย์ของบริษัท 1 ครั้ง ผู้โดยสารต่างก็กรูกันไปเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ห้องเดียว ลงไปยืนรอกันอยู่หน้าห้องน้ำ แม้อากาศจะร้อนแต่การนั่งนานๆ ก็ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง
วันนั้นแดดจ้าและเรานั่งด้านที่มีแดด จึงร้อน แม้รถจะเปิดแอร์ ทำให้ลุงต้องใช้ผ้าพันคอของป้าเป็นม่าน แต่พอลงจากรถลุงก็ทิ้งผ้าพันคอที่มีประวัติของมัน คือ คุณแม่ลูกศิษย์ที่เป็นเพื่อนในวงเก่าของลูกที่ไปใช้บริการที่บ้านเป็นประจำเป็นเวลาหลายปีฝากไปให้ ป้าเสียดายมาก แต่ก็สุดวิสัยที่จะได้คืน
เวลา 14.30 น. รถจอดที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง โดยที่คนขับไม่พูดอะไร แต่เขาเปิดประตูลงจากรถ แล้วก็เดินไปเปิดประตูทำท่าให้ผู้โดยสารลงจากรถ ผู้โดยสารต่างก็มองหน้ากัน แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มะงุมมะงาหราแบกเป้ลงรถกัน กว่าจะรู้ว่า ถึงพุกามแล้วก็ตอนที่ มีนายหน้ามาถามเรื่องที่พักและปลายทางต่อไป พร้อมกับเสนอขายตั๋วรถบัสไปอินเลในราคา คนละ 18,000 จั๊ท
นายหน้าชื่อ Zaw zaw เขาถามเราว่า ต้องการที่พักราคาประมาณเท่าไร เมื่อเราบอกว่า ไม่เกินคืนละ 25 ดอลลาร์ เขาก็รีบติดต่อให้ทันที แล้วให้ป้าคุยกับโรงแรมเอง ว่าเราจะเข้าพักเวลาเท่าใด ทางโรงแรมบอกว่า เขาเปิดจนถึงดึก แล้วแต่เราจะเข้าพักเวลาไหนก็ได้ เขาจะสำรองห้องไว้ให้
เมื่อ Zaw zaw จัดการส่งผู้โดยสารคนอื่นๆ ขึ้นรถเพื่อไปส่งตามโรงแรมที่จองไว้แล้ว เขาก็เรียกคนขับ รถม้าให้เรา เขาเรียกค่าบริการ 25,000 จั๊ท แพงกว่าที่เราค้นไป 15,000 จั๊ท เราพยายามต่อรองจนได้ในราคา 24,000 จั๊ท คนขับรถม้าชื่อเซย์เซย์ (Zay zay) ม้าชื่อฟอร์พีเพิล (For People) คนเมียนม่าร์ ไม่ออกเสียง ”ฟ” เราขอให้เขาไปส่งเราซื้ออาหารเย็นก่อนกลับเข้าที่พักด้วย ซึ่งเขาก็ตอบรับ ที่พุกามมีการผูกถุงไว้ใต้หางม้าเพื่อเก็บขี้ม้าด้วย
เซย์เซย์ เป็นหนุ่มรูปหล่อ สูงสมส่วน ผิวคล้ำ หน้าตาดี เขาสวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว สวมโสร่งสีเข้ม รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ เคี้ยวหมากและบ้วนน้ำหมากลงถนนที่เป็นฝุ่นตลอดเส้นทาง เซเซ พูดภาษาอังกฤษแบบที่เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เขาใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดีทีเดียว เขาบอกชื่อเจดีย์ที่ผ่าน และแวะเข้าไป
เซย์เซย์ บอกเราว่า ซอว์ ซอว์ เป็นลุงของเขาเอง เขาเป็นเจ้าของรถม้า และคอกม้า เซย์เซย์ เป็นแค่ลูกจ้าง เขาอายุ 21 ปี เคยมีแฟนที่เขารักมาก แต่ผู้หญิงอยากแต่งงานเร็ว ในขณะที่เซย์เซย์ต้องการเก็บเงินและรอให้พร้อมก่อน แฟนเขาจึงแต่งงานกับหนุ่มอื่นไปก่อน แล้วก็เลิกกันไปแล้ว เขายังรักผู้หญิงคนนั้นมาก แต่พ่อแม่ของเซย์เซย์ อยากให้เซย์เซย์แต่งงานกับสาวอื่นที่ไม่ใช่สาวแม่หม้าย เขาจึงยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับการที่จะมีชีวิตคู่ ขอทำงานเก็บเงินไปก่อนดีกว่า
พุกามสมฉายาว่าเป็นทะเลเจดีย์จริงๆ ตามข้างถนน และบริเวณที่เป็นที่โล่ง และป่าโปร่ง มีเจดีย์อยู่มากมาย ทั้งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผุกร่อน และพังทลาย รูปทรงของเจดีย์ก็มักจะคล้ายๆ กัน เจดีย์ที่สวยที่สุดในพุกาม ชื่อ อะนันดา (Ananda) ที่เจดีย์อะนันดา เราได้พบกับ อ. เผ่าทอง ทองเจือ เจ้าของรายการ “คลายฉงน” ช่องไทยรัฐทีวี ซึ่งพาคณะทัวร์ไปเที่ยวที่นั่นในวัน เวลาเดียวกับเรา ตอนที่เราไปเที่ยวกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์ เราก็เจอท่านที่นั่นด้วย
แสงแดดที่ร้อนจัดจ้า และฝุ่นทั้งบนถนน และทุกๆ ที่ที่ผ่าน ทำให้เราไม่มีความเพลิดเพลินและรื่นรมย์ที่จะชมให้ทั่วบริเวณทะเลเจดีย์ เราให้เซเซพาไปเฉพาะที่เด่นๆ แล้วเขาก็ พาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่เจดีย์แห่งหนึ่ง ไม่ได้จดชื่อไว้ แต่ไม่ว่าใครไปเที่ยวก็มักจะถูกต้อนขึ้นไปข้างบน เดาเอาว่า คงเป็นการหากินร่วมกันเพราะเขาพาเราไปที่นั่น แล้วจอดรถม้า บอกให้เราลง แล้วเขาจะรอเราอยู่ใกล้ๆ เจดีย์
ข้างบนเจดีย์ที่ดูพระอาทิตย์ตกดินมีคนผมดำอยู่ 6 คน เป็นคนไทย 2 พม่า 2 อีก 2 เป็นเกาหลี นอกนั้นเป็นชาวตะวันตก เซเซไม่ได้บอกว่ามีค่าใช้จ่าย และ ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่าต้องจ่าย พอคนขึ้นเต็มเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซด์ไปถึง ก็เดินขึ้นพร้อมกระบองแล้วบอกว่าทุกคนต้องซื้อตั๋วคนละ 20 ดอลลาร์
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหลังทะเลเจดีย์ แล้ว เราก็กลับไปขึ้นรถม้า เซเซบอกเราว่า ถ้าจะเข้าไปซื้ออาหารในเมือง จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 3,000 จั๊ท เราไม่ตกลงเพราะไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ เราเห็นว่าแถวๆ ที่พักมีร้านอาหารเรียงรายอยู่หลายร้าน เราจึงไม่ง้อ คนที่พูดจาสับปลับ
หลังจากเช็คอินเข้าที่พักที่ The Winner Guest House ในราคา คืนละ 25 ดอลลาร์ เป็นห้องเดี่ยวเตียงคู่ มีห้องน้ำในตัว พร้อมฟรีไวไฟ แล้ว เราก็เดินออกไปหาอาหารค่ำทานกัน เราเลือกร้านที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่มีระดับเข้าเพื่อดูความแตกต่าง แต่อาหารของเราไม่แตกต่างเพราะเราสั่งปลานิลย่าง กับ ผักต้มผัก ปลาย่างของเมียนม่าร์ เขาทาน้ำมันตอนย่างด้วย ทำให้เนื้อนุ่ม แต่ก็ฉ่ำไปด้วยน้ำมันและเกลือ ข้าวสวยคนละ 1 จาน ปลา 1 ตัว ผัก 1 จาน เรามีน้ำพริกที่เตรียมไปจากบ้านแก้เลี่ยน น้ำส้มสแปลชคนละ 1 ขวด เป็นเงิน 3,600 จั๊ท ประมาณ 120 บาท
ค่ำคืนที่ The Winner Guest house พุกาม ถือว่า ใช้ได้ทีเดียวทุกอย่างเป็นเป็นด้วยดี ตอนเช้า
บริการอาหารเช้าแค่พอดีอิ่มขนมปังปิ้ง 2 แผ่นกับเนยและแยมเล็กน้อยไข่คนละครึ่งฟองแตงโมจานเล็กๆ ความจริงเขามีชาหรือกาแฟดำให้เลือกฟรี แต่เราไม่ดื่มทั้ง 2 อย่าง ส่วนดื่มน้ำเปล่าต้องจ่ายเพิ่มขวดละ 300 จั๊ท มันแปลกจริงนะ!
08.00 น. รถไมโครบัสที่จะไปอินเลก็มาจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามกับที่พัก ตรงเวลาดีจริงๆ
ลาก่อนพุกาม พบกันใหม่ที่อินเล ติดตามลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลกได้ที่ ได้ที่
https://www.facebook.com/Backpacking-With-Uncle-Auntie-749593508502221/
และภาคภาษาอังกฤษที่
https://www.facebook.com/uncleandauntiearoundtheworld/
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็คตะลุยเมียนม่าร์ 14 วัน ตอนที่ 5 พุกาม
จันทร์ 9 มีนาคม 2558 เวลา 10.00 น. ออกจากจากมัณฑะเลย์สู่พุกาม รถต้องวิ่งบนถนนที่ลาดยางเฉพาะกลางถนน เวลารถสวนจะอยู่บนถนนลาดยางคันละล้อ แต่รถของเราไม่หลบใคร ทำให้รถคันอื่นต้องหลบจนชิดขอบทาง ฝุ่นตลบ คนขับรถสวมโสร่ง ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางสีอ่อน แขนสั้น สวมรองเท้าแตะแบบคีบ เคี้ยวหมากและบ้วนน้ำหมากลงถนนตลอดเส้นทาง
ระหว่างทาง คนขับแวะพักที่ศูนย์ของบริษัท 1 ครั้ง ผู้โดยสารต่างก็กรูกันไปเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ห้องเดียว ลงไปยืนรอกันอยู่หน้าห้องน้ำ แม้อากาศจะร้อนแต่การนั่งนานๆ ก็ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง
วันนั้นแดดจ้าและเรานั่งด้านที่มีแดด จึงร้อน แม้รถจะเปิดแอร์ ทำให้ลุงต้องใช้ผ้าพันคอของป้าเป็นม่าน แต่พอลงจากรถลุงก็ทิ้งผ้าพันคอที่มีประวัติของมัน คือ คุณแม่ลูกศิษย์ที่เป็นเพื่อนในวงเก่าของลูกที่ไปใช้บริการที่บ้านเป็นประจำเป็นเวลาหลายปีฝากไปให้ ป้าเสียดายมาก แต่ก็สุดวิสัยที่จะได้คืน
เวลา 14.30 น. รถจอดที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง โดยที่คนขับไม่พูดอะไร แต่เขาเปิดประตูลงจากรถ แล้วก็เดินไปเปิดประตูทำท่าให้ผู้โดยสารลงจากรถ ผู้โดยสารต่างก็มองหน้ากัน แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มะงุมมะงาหราแบกเป้ลงรถกัน กว่าจะรู้ว่า ถึงพุกามแล้วก็ตอนที่ มีนายหน้ามาถามเรื่องที่พักและปลายทางต่อไป พร้อมกับเสนอขายตั๋วรถบัสไปอินเลในราคา คนละ 18,000 จั๊ท
นายหน้าชื่อ Zaw zaw เขาถามเราว่า ต้องการที่พักราคาประมาณเท่าไร เมื่อเราบอกว่า ไม่เกินคืนละ 25 ดอลลาร์ เขาก็รีบติดต่อให้ทันที แล้วให้ป้าคุยกับโรงแรมเอง ว่าเราจะเข้าพักเวลาเท่าใด ทางโรงแรมบอกว่า เขาเปิดจนถึงดึก แล้วแต่เราจะเข้าพักเวลาไหนก็ได้ เขาจะสำรองห้องไว้ให้
เมื่อ Zaw zaw จัดการส่งผู้โดยสารคนอื่นๆ ขึ้นรถเพื่อไปส่งตามโรงแรมที่จองไว้แล้ว เขาก็เรียกคนขับ รถม้าให้เรา เขาเรียกค่าบริการ 25,000 จั๊ท แพงกว่าที่เราค้นไป 15,000 จั๊ท เราพยายามต่อรองจนได้ในราคา 24,000 จั๊ท คนขับรถม้าชื่อเซย์เซย์ (Zay zay) ม้าชื่อฟอร์พีเพิล (For People) คนเมียนม่าร์ ไม่ออกเสียง ”ฟ” เราขอให้เขาไปส่งเราซื้ออาหารเย็นก่อนกลับเข้าที่พักด้วย ซึ่งเขาก็ตอบรับ ที่พุกามมีการผูกถุงไว้ใต้หางม้าเพื่อเก็บขี้ม้าด้วย
เซย์เซย์ เป็นหนุ่มรูปหล่อ สูงสมส่วน ผิวคล้ำ หน้าตาดี เขาสวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว สวมโสร่งสีเข้ม รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบ เคี้ยวหมากและบ้วนน้ำหมากลงถนนที่เป็นฝุ่นตลอดเส้นทาง เซเซ พูดภาษาอังกฤษแบบที่เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เขาใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดีทีเดียว เขาบอกชื่อเจดีย์ที่ผ่าน และแวะเข้าไป
เซย์เซย์ บอกเราว่า ซอว์ ซอว์ เป็นลุงของเขาเอง เขาเป็นเจ้าของรถม้า และคอกม้า เซย์เซย์ เป็นแค่ลูกจ้าง เขาอายุ 21 ปี เคยมีแฟนที่เขารักมาก แต่ผู้หญิงอยากแต่งงานเร็ว ในขณะที่เซย์เซย์ต้องการเก็บเงินและรอให้พร้อมก่อน แฟนเขาจึงแต่งงานกับหนุ่มอื่นไปก่อน แล้วก็เลิกกันไปแล้ว เขายังรักผู้หญิงคนนั้นมาก แต่พ่อแม่ของเซย์เซย์ อยากให้เซย์เซย์แต่งงานกับสาวอื่นที่ไม่ใช่สาวแม่หม้าย เขาจึงยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับการที่จะมีชีวิตคู่ ขอทำงานเก็บเงินไปก่อนดีกว่า
พุกามสมฉายาว่าเป็นทะเลเจดีย์จริงๆ ตามข้างถนน และบริเวณที่เป็นที่โล่ง และป่าโปร่ง มีเจดีย์อยู่มากมาย ทั้งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผุกร่อน และพังทลาย รูปทรงของเจดีย์ก็มักจะคล้ายๆ กัน เจดีย์ที่สวยที่สุดในพุกาม ชื่อ อะนันดา (Ananda) ที่เจดีย์อะนันดา เราได้พบกับ อ. เผ่าทอง ทองเจือ เจ้าของรายการ “คลายฉงน” ช่องไทยรัฐทีวี ซึ่งพาคณะทัวร์ไปเที่ยวที่นั่นในวัน เวลาเดียวกับเรา ตอนที่เราไปเที่ยวกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์ เราก็เจอท่านที่นั่นด้วย
แสงแดดที่ร้อนจัดจ้า และฝุ่นทั้งบนถนน และทุกๆ ที่ที่ผ่าน ทำให้เราไม่มีความเพลิดเพลินและรื่นรมย์ที่จะชมให้ทั่วบริเวณทะเลเจดีย์ เราให้เซเซพาไปเฉพาะที่เด่นๆ แล้วเขาก็ พาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่เจดีย์แห่งหนึ่ง ไม่ได้จดชื่อไว้ แต่ไม่ว่าใครไปเที่ยวก็มักจะถูกต้อนขึ้นไปข้างบน เดาเอาว่า คงเป็นการหากินร่วมกันเพราะเขาพาเราไปที่นั่น แล้วจอดรถม้า บอกให้เราลง แล้วเขาจะรอเราอยู่ใกล้ๆ เจดีย์
ข้างบนเจดีย์ที่ดูพระอาทิตย์ตกดินมีคนผมดำอยู่ 6 คน เป็นคนไทย 2 พม่า 2 อีก 2 เป็นเกาหลี นอกนั้นเป็นชาวตะวันตก เซเซไม่ได้บอกว่ามีค่าใช้จ่าย และ ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่าต้องจ่าย พอคนขึ้นเต็มเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซด์ไปถึง ก็เดินขึ้นพร้อมกระบองแล้วบอกว่าทุกคนต้องซื้อตั๋วคนละ 20 ดอลลาร์
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหลังทะเลเจดีย์ แล้ว เราก็กลับไปขึ้นรถม้า เซเซบอกเราว่า ถ้าจะเข้าไปซื้ออาหารในเมือง จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 3,000 จั๊ท เราไม่ตกลงเพราะไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ เราเห็นว่าแถวๆ ที่พักมีร้านอาหารเรียงรายอยู่หลายร้าน เราจึงไม่ง้อ คนที่พูดจาสับปลับ
หลังจากเช็คอินเข้าที่พักที่ The Winner Guest House ในราคา คืนละ 25 ดอลลาร์ เป็นห้องเดี่ยวเตียงคู่ มีห้องน้ำในตัว พร้อมฟรีไวไฟ แล้ว เราก็เดินออกไปหาอาหารค่ำทานกัน เราเลือกร้านที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่มีระดับเข้าเพื่อดูความแตกต่าง แต่อาหารของเราไม่แตกต่างเพราะเราสั่งปลานิลย่าง กับ ผักต้มผัก ปลาย่างของเมียนม่าร์ เขาทาน้ำมันตอนย่างด้วย ทำให้เนื้อนุ่ม แต่ก็ฉ่ำไปด้วยน้ำมันและเกลือ ข้าวสวยคนละ 1 จาน ปลา 1 ตัว ผัก 1 จาน เรามีน้ำพริกที่เตรียมไปจากบ้านแก้เลี่ยน น้ำส้มสแปลชคนละ 1 ขวด เป็นเงิน 3,600 จั๊ท ประมาณ 120 บาท
ค่ำคืนที่ The Winner Guest house พุกาม ถือว่า ใช้ได้ทีเดียวทุกอย่างเป็นเป็นด้วยดี ตอนเช้า
บริการอาหารเช้าแค่พอดีอิ่มขนมปังปิ้ง 2 แผ่นกับเนยและแยมเล็กน้อยไข่คนละครึ่งฟองแตงโมจานเล็กๆ ความจริงเขามีชาหรือกาแฟดำให้เลือกฟรี แต่เราไม่ดื่มทั้ง 2 อย่าง ส่วนดื่มน้ำเปล่าต้องจ่ายเพิ่มขวดละ 300 จั๊ท มันแปลกจริงนะ!
08.00 น. รถไมโครบัสที่จะไปอินเลก็มาจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามกับที่พัก ตรงเวลาดีจริงๆ
ลาก่อนพุกาม พบกันใหม่ที่อินเล ติดตามลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลกได้ที่ ได้ที่https://www.facebook.com/Backpacking-With-Uncle-Auntie-749593508502221/
และภาคภาษาอังกฤษที่ https://www.facebook.com/uncleandauntiearoundtheworld/
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น