เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง จากชีวิตผม
นี่เป็นกระทู้แรกของผม หากผิดพลาดประการไหน ขอโทษด้วยนะครับ
ผมขอบอกก่อนว่าผมเป็นเกย์ครับ ถ้าไม่รังเกียจกัน เชิญอ่านต่อได้ครับ
ก่อนอื่นผมของเกริ่นถึงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเรื่องของความรัก ผมคิดว่าความรักสำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ดีนะ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีกำลังใจทันทีที่ได้คิดถึงในช่วงที่กำลังท้อกับชีวิตในช่วงโสด ผมก็จะชอบนึกถึงคนรักเก่าๆ ที่ผมฝังใจ มันก็แอบทำให้ผมยิ้มได้ แต่ถ้านึกถึงช่วงที่เฮิร์ทหนักๆแล้วดันมาคิดถึงเรื่องนี้ มันจะยิ่งทำให้ผมซ้ำอาการเดิมมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าช่วงได้คบใครแล้วท้อ/ผิดหวังมากๆซ้ำๆซากๆ (ผมไม่คิดอยากจะหาใครมาแทนที่ หรือคบใครซ้อน) แต่ผมมักจะยิ่งเสียใจ ยิ่งท้อมากขึ้นไปอีก (จะว่าผมเอาไปเปรียบกับคนเก่า ก็ไม่เชิงนะ ผมเชื่อว่ามีอีกหลายคน ที่อยากมีความรักจริงๆ เขาก็อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขกับคู่ของตัวเองแน่ๆ) อย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้....
ขอเกริ่นอีกเรื่องนะครับเพราะมันเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ผมต้องออกมาโพสต์ระบาย...
ผมอยู่ในครอบครัวที่มีปัญหา แม่เล่นพนัน พ่อกินเหล้า ดื่มเบียร์ ดีที่ว่ายาเสพติด ไม่เคยเห็นเขาเล่นมานานมากแล้ว.... ตอนนี้ผมอายุ 30 ครับ ยังไม่มีงานการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ อายุ 14-15 สมัยนั้นกฎหมายเรื่องอายุ ยังไม่ได้มีบัญญัติขึ้นมั้ง ผมถึงได้มีงานทำ ช่วงนั้น ผมจะได้ทำงาน หลังจากเลิกเรียนทุกวัน พอเลิกเรียนเสร็จ ก็นั่งรถเมล์มาลงหน้าห้างที่ทำงานพอดี (แต่พอได้งานทำ แน่นอนครับ หลายคนต้องคิดเหมือนผมแน่นอน ว่ามีเงิน ก็อยากกิน อยากใช้ อยากเที่ยว ส่วนนึงก็แบ่งให้ครอบครัว.... แต่ชีวิตผม ไม่ได้เป็นอย่างนั้น) สมัยนั้น ผมได้เงินจากแม่ไปเรียน 40-50 เท่านั้น ค่ารถเมล์(ทั้งวัน) 20 ค่าข้าวที่เรียน อีก 20-30 วันไหนทำเงินหล่นหาย คงไม่ต้องเดา ว่าผมจะใช้ชีวิตยังไง แต่ต่างจากเพื่อน ที่ได้ 100-300 ต่อวัน เรื่องเที่ยวเรื่องกินวันหยุด ไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยขอได้เลยสักครั้ง บางครั้งโดนตีเป็นของแถมด้วย แต่ผมไม่เคยน้อยใจพ่อแม่ผมในเรื่องนี้นะ ผมถึงได้มีความคิดอยากจะหางานหลังเลิกเรียนทำ ตอนนั้นค่าจ้างอยู่ราวๆ ชม.ละ 20-25 นี่ละมั้งครับจำไม่ได้ แต่ที่จำได้แม่นคือ หลังจากเลิกงาน 4 ทุ่ม ถึงบ้าน 5 ทุ่ม ผมต้องเปิดตู้ทำกับข้าวกินเอง จะทอดไข่ ผัดหมู ก็ตามอาการล้าในแต่ละวัน แต่!!... จะมีกับข้าววางในตู้รอผม ช่วง 2-3 วัน ก่อนเงินเดือนออก เป็นแบบนี้ประจำทุกครั้ง (ผมไม่ได้อยากจะคิดไม่ดีกับคนที่บ้านนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ มันเห็นแบบนี้หลายครั้งเกิน)
ช่วงนั้นผมทำงาน "ถ้าจำไม่ผิด" เงินเดือนจะได้เป็นวีค เดือนละ 2 ครั้ง วันที่ 7 กับ 21 ของแต่ละเดือน "วีคนึงก็ได้ราวๆ 1000-1500" แต่เชื่อไหม ว่าผมไม่เคยได้เงินพวกนี้ใช้เลย.... ผมจะโดนแม่บังคับเอาเงินแบบนี้ ทุกครั้ง ทันทีที่กลับถึงบ้าน คืนของวันที่เงินออก ถ้าไม่ให้ ก็จะโดนทุบตี และมีปัญหาทุกครั้ง ผมจึงต้องให้ไปแบบน้อยใจ ว่าทำไม ตอนขอแกไม่เคยให้ เราก็ไม่ว่า แต่พอเงินที่เราทำได้มา เขาถึงตัดโอกาสที่เราอยากทำอีก แต่ตอนนั้นจำได้แม่น ว่าผมให้กำลังใจตัวเองว่ายังไง เราก็จะทนต่อไปจนกว่าจะเรียนจบ มันคงจะดีขึ้น
ผมเรียนจบแค่ชั้น ปวช.3 แค่นั้นครับ เพราะที่บ้านไม่ส่งต่อ ช่วงนั้นมันมีงานอยู่ที่นึง แต่เขาเปิดรับแค่ คนทำชั่วคราวเท่านั้น... ซึ่งแม่อยากให้ผมทำมาก และแกคงคิดไปเองว่ามันจะมีต่อยอดและอนาคตที่กว้างไกลเป็นพนง.ประจำได้ แกก็เลยไม่ส่งผมเรียน แต่ผมดื้อจะเรียนต่อให้ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมแม่ ทำไปได้ แค่ 7-8 เดือน เรื่องการเงินผมเหรอ... ไม่ต่างอะไรจากตอนทำงานหลังเลิกเรียนเลย แต่จะต่างตรงที่ งานที่แม่ผมอยากให้ทำ เขาได้อัตราจ้างพนง.ประจำที่เขาสอบได้เข้ามาเรื่อยๆ จนคัดมาถึงคิวผมที่ต้องออก (จะไม่ให้ออกได้ไง เพราะงานที่แม่อยากให้ทำ ต้องให้สอบเข้า แล้วในการสอบเข้า วุฒิ ป.ตรี ขั้นต่ำ // แต่สุดท้ายพอถึงจุดที่ออกจากงาน แม่ก็เอาไปพูดกับคนอื่น ว่าผมดื้องาน ออกมา ทำงานไม่ทน เสียอนาคตหมด "ทั้งๆที่ก็บอกไปแล้วว่าเพราะอะไร แต่แกไม่ฟังผมเลย") จนต้องออกมาอยู่บ้านเฉยๆ ช่วงนั้นว่างงานยาวนานมากยากออกไปหางานสมัครทำ แต่ไม่มีเงินไป ขอแม่ แม่ก็ไม่ให้ มันทรมานกว่าเดิมอีก เพราะกินตามกำลังที่แม่จะทำวันละ 1-2 มื้อ แค่นั้น... เอาเป็นว่า ชีวิตผมมันแย่มากครับ ถ้าพิมพ์ยาวมากกว่านี้ คิดว่า 3 วันคงอ่านไม่จบ ก็เอาเป็นโดยสรุปว่า "ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรดีเลย" หลังๆมานี้อาจจะมีช่วงดีบ้างผสมทุกข์บ้าง แต่หลังๆมานี้ ก็มีแอบเก็บเงินได้ 3-4 หมื่น แต่ก็โดนหลอกให้หมดกับรักไปหมด (ถ้าจะถามว่าทำไม ผมถึงยอมโง่ให้คนรัก ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมี... ตอบง่ายๆตามความคิดผมเลยนะ... เพราะช่วงที่ผมไม่มี ผมทั้งอยากมี อยากกิน อยากเที่ยวตลอด ผมเลยเข้าใจเวลาคบใครสักคน ผมพยายามทำให้ชีวิตตัวเองและคนรักมีความสุขมากที่สุด!) แต่ก็อย่างว่าครับ ว่ารัก ยอมได้ทุกอย่าง...
ในเรื่องการจะคบใครสักคนนึง...ผมเป็นคนที่ถ้าจะคบใครแล้วก็ไม่เคยยึดติดเรื่องของอายุ ฐานะ และหน้าตา แม้แต่รสนิยมทางเพศ...เขาก็รุกเหมือนผม"เพียงแต่แค่ผมไม่รับแค่นั้น"
การที่ผมออกมาโพสต์เรื่องนี้... มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น หรือไม่ใช่เรื่องของใครๆเลย เพียงแต่ส่วนนึง ผมแค่อยากจะมีที่ระบาย มีที่คอยรับฟังผมบ้าง เพราะเพื่อนผม มีเหลือหลักๆตอนนี้ แค่ 2 คนก็ยังคุยปรึกษาระบายไม่ได้มาก เพราะเขาก็มีชีวิตครอบครัว และอะไรส่วนตัวของเขามากมาย.... คุณกำลังนึกว่าผมทำไม ไม่ไปปรึกษาหรือระบายให้พ่อ แม่ ญาติอยู่ใช่ไหม? ผมบอกเลย ว่าที่บ้านผม เป็นครอบครัวที่มีปัญหา ผมพยายามมาหลายครั้งอยู่ แต่พูดได้ไม่เกิน 3 นาที "ย้ำ แค่ 3 นาที" ผมก็โดนว่า ด่า สารพัด // ส่วนเพื่อน สมัยเรียนผมมีเพื่อนเยอะนะ แต่คงไม่มาก ประมาณ 20-30 คนได้ แต่ด้วยความที่ ผมเป็นคนติดแฟน รักแฟน เชื่อแฟนจนเกินไป การติดต่อ สื่อสารของเพื่อนแต่ละคนเลยหายสาปสูญกันไปโดยปริยาย
ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบาย หรือระบายจากตรงไหนก่อนดี ถ้ายังไง ผู้ที่อ่านโพสต์ผม ถ้าเรียบเรียงได้ ผมขอบคุณมา ณ ตรงนี้เลยครับ
ผมตัดสินใจคบกับเขามา ตอนนี้ 4 "เดือน" แล้วครับ ถามว่าทำไมผมต้องมีเครื่องหมาย " " ด้วย เพราะผมอยากย้ำให้ได้เห็นชัดๆครับ เพราะช่วงเวลาแค่นี้ทำไมผมรู้สึกเหมือนความอึดอัด ความทุกข์ที่อัดอั้นไว้ เปรียบหน่วย "เดือน" เป็นหน่วย "ปี" ยังไงก็ไม่รู้...
ผมอายุ 30 ครับ ส่วนคู่ของผม 41 ผมขออนุญาติใช้นามคู่ของผมว่า T นะครับ...
ผมรู้จักกับคนนี้ ได้ยังไง (เอาคร่าวๆเลยนะครับ) ผมเคยไปโพสต์หาเพื่อน หาแฟนตามเว็บไซต์ครับ T ก็เลยแอดไอดีไลน์มาคุย แต่ตอนแรกที่แอดมา โต้ตอบกันอยู่แค่ 2 ประโยค เขาก็หายไปโดยปริยาย ผมก็ไม่ได้คิดไรมากครับ พอเข้าใจอยู่ ว่าความรักของเพศแบบนี้ สังคมส่วนใหญ่ ก็คล้ายๆกันกับที่ผมเจอ แต่เขากลับมาทักผมอีกในช่วง 15 - 30 วันต่อมา เข้ามาปรึกษาเรื่องคนของเขา(ขออนุญาติแทนคนที่ T คุยนามว่า A นะครับ) ที่เคยคุย ทำนองว่า... ย้อนมาตอนที่ T ทักผมมาครั้งแรก เขากำลังคุยกับ A นี้อยู่ แต่เพราะด้วยความไม่ชัดเจน เขาก็เลยแอดมาคุยกับผม แล้ว T กับ A ดันมาตกลงปลงใจคบกันตอนที่แอดผมพอดี นี่เลยเป็นสาเหตุที่ T เงียบจากผมไป
การทักมาของ T ในรอบที่ 2 เขามาแบบว่าอยากปรึกษา ว่า...T กับ A ตกลงคบกัน A เขาเป็นรุก อยู่แถวสนามหลวง และ T เขาสามารถยอมเป็นรับให้ได้ ถ้าคู่ของเขารักเขาจริง เขาเล่าต่อว่า... คุยกับ A มาได้ประมาณเดือนนึง แต่ในช่วง 1 เดือนนี้ ไม่เคยเจอกันเลยเพราะ T ไม่พร้อม แต่ A ได้แต่ขยั้นขยอให้ T ไปหาเขาตลอด แต่ T ได้แต่ไลน์หากัน พอไลน์หากัน T จะติดปัญหาที่ว่า ไม่มีเงินสมัครเน็ตมือถือ เพราะเงินเดือนไม่เหลือ โดนหักจากหนี้ที่แฟนเก่า 2 คนของเขาหลอก เกือบ 5 ล้าน ต้องอาศัยเน็ตเล่น ช่วงที่อยู่ทำงาน ซึ่งมันก็แค่ช่วงเช้า เท่านั้น...
T เล่าให้ฟังต่อ ว่า... ช่วง 1 เดือนที่คุยกัน เขาทักข้อความไปแทบจะไม่ได้ตอบกลับมาด้วยซ้ำ T เลยขอแลกเบอร์กับ A พอผ่านไป ... หลายครั้งที่ T โทรหา A เสียงของ A จะมีพิรุจทุกครั้ง จนมาเกิดเรื่องเอาทีหลัง (เป็นสาเหตุที่ต้องมาปรึกษาผม) ว่า A บอก T ว่า ช่วงประมาณวันที่ 17-19 สิงหา A อ้างว่า ไม่ต้องโทรมา 3 วัน เพราะ A จะไป ตจว. ไปเข้าป่าไปปฏิบัติธรรม จะติดต่อไม่ได้ตลอดที่ A ไปเพราะไม่มีเน็ต/ ปิดเครื่อง จะติดต่อได้อีกครั้ง ช่วงที่มาถึงบ้านแล้วเท่านั้น...
แต่คืนของวันที่ 18 A มีการติดต่อมาทางไลน์ ซึ่ง T มาเห็นอีกครั้งคือตอนมาทำงานของเช้าที่ 19 T เกิดข้อสงสัยว่าทำไม A เป็นคนบอกเองว่าจะติดต่อได้ คือช่วงเย็นวันที่ 19 สาเหตุนี้ T เลยลองโทรไปหา A ทันที ที่ได้เห็นข้อความ A รับสายคุยกันอยู่สักพัก แรกๆ A พยายามโกหก กลบเกลื่อน จนมีเสียงชายดังแทรกมา A เลยยอมรับ ว่า ที่บอกไปว่าไม่อยู่ 3 วัน คือ A นัดคนมาหมู่กันมานอนกินอยู่กันที่บ้าน และเสียงที่ได้ยินแทรกมา นั่นก็คือเสียงที่มีคนมาชวน A ไปหมู่กันต่อ A เลยขอวางสาย โดยไม่สนใจคำพูดอะไรจาก T...
จากนั้น... T เลยเข้ามาปรึกษาปัญหากับผม
**** เดี๋ยวจะมาต่อให้ใหม่นะครับ ขออนุญาติพักมือ/ สายตาก่อน (พิมจากโทรศัพท์) มันล้าครับ ****
รักแล้วต้องทน ผิดมากไหม?
นี่เป็นกระทู้แรกของผม หากผิดพลาดประการไหน ขอโทษด้วยนะครับ
ผมขอบอกก่อนว่าผมเป็นเกย์ครับ ถ้าไม่รังเกียจกัน เชิญอ่านต่อได้ครับ
ก่อนอื่นผมของเกริ่นถึงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเรื่องของความรัก ผมคิดว่าความรักสำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ดีนะ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีกำลังใจทันทีที่ได้คิดถึงในช่วงที่กำลังท้อกับชีวิตในช่วงโสด ผมก็จะชอบนึกถึงคนรักเก่าๆ ที่ผมฝังใจ มันก็แอบทำให้ผมยิ้มได้ แต่ถ้านึกถึงช่วงที่เฮิร์ทหนักๆแล้วดันมาคิดถึงเรื่องนี้ มันจะยิ่งทำให้ผมซ้ำอาการเดิมมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าช่วงได้คบใครแล้วท้อ/ผิดหวังมากๆซ้ำๆซากๆ (ผมไม่คิดอยากจะหาใครมาแทนที่ หรือคบใครซ้อน) แต่ผมมักจะยิ่งเสียใจ ยิ่งท้อมากขึ้นไปอีก (จะว่าผมเอาไปเปรียบกับคนเก่า ก็ไม่เชิงนะ ผมเชื่อว่ามีอีกหลายคน ที่อยากมีความรักจริงๆ เขาก็อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขกับคู่ของตัวเองแน่ๆ) อย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้....
ขอเกริ่นอีกเรื่องนะครับเพราะมันเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ผมต้องออกมาโพสต์ระบาย...
ผมอยู่ในครอบครัวที่มีปัญหา แม่เล่นพนัน พ่อกินเหล้า ดื่มเบียร์ ดีที่ว่ายาเสพติด ไม่เคยเห็นเขาเล่นมานานมากแล้ว.... ตอนนี้ผมอายุ 30 ครับ ยังไม่มีงานการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ อายุ 14-15 สมัยนั้นกฎหมายเรื่องอายุ ยังไม่ได้มีบัญญัติขึ้นมั้ง ผมถึงได้มีงานทำ ช่วงนั้น ผมจะได้ทำงาน หลังจากเลิกเรียนทุกวัน พอเลิกเรียนเสร็จ ก็นั่งรถเมล์มาลงหน้าห้างที่ทำงานพอดี (แต่พอได้งานทำ แน่นอนครับ หลายคนต้องคิดเหมือนผมแน่นอน ว่ามีเงิน ก็อยากกิน อยากใช้ อยากเที่ยว ส่วนนึงก็แบ่งให้ครอบครัว.... แต่ชีวิตผม ไม่ได้เป็นอย่างนั้น) สมัยนั้น ผมได้เงินจากแม่ไปเรียน 40-50 เท่านั้น ค่ารถเมล์(ทั้งวัน) 20 ค่าข้าวที่เรียน อีก 20-30 วันไหนทำเงินหล่นหาย คงไม่ต้องเดา ว่าผมจะใช้ชีวิตยังไง แต่ต่างจากเพื่อน ที่ได้ 100-300 ต่อวัน เรื่องเที่ยวเรื่องกินวันหยุด ไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยขอได้เลยสักครั้ง บางครั้งโดนตีเป็นของแถมด้วย แต่ผมไม่เคยน้อยใจพ่อแม่ผมในเรื่องนี้นะ ผมถึงได้มีความคิดอยากจะหางานหลังเลิกเรียนทำ ตอนนั้นค่าจ้างอยู่ราวๆ ชม.ละ 20-25 นี่ละมั้งครับจำไม่ได้ แต่ที่จำได้แม่นคือ หลังจากเลิกงาน 4 ทุ่ม ถึงบ้าน 5 ทุ่ม ผมต้องเปิดตู้ทำกับข้าวกินเอง จะทอดไข่ ผัดหมู ก็ตามอาการล้าในแต่ละวัน แต่!!... จะมีกับข้าววางในตู้รอผม ช่วง 2-3 วัน ก่อนเงินเดือนออก เป็นแบบนี้ประจำทุกครั้ง (ผมไม่ได้อยากจะคิดไม่ดีกับคนที่บ้านนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ มันเห็นแบบนี้หลายครั้งเกิน)
ช่วงนั้นผมทำงาน "ถ้าจำไม่ผิด" เงินเดือนจะได้เป็นวีค เดือนละ 2 ครั้ง วันที่ 7 กับ 21 ของแต่ละเดือน "วีคนึงก็ได้ราวๆ 1000-1500" แต่เชื่อไหม ว่าผมไม่เคยได้เงินพวกนี้ใช้เลย.... ผมจะโดนแม่บังคับเอาเงินแบบนี้ ทุกครั้ง ทันทีที่กลับถึงบ้าน คืนของวันที่เงินออก ถ้าไม่ให้ ก็จะโดนทุบตี และมีปัญหาทุกครั้ง ผมจึงต้องให้ไปแบบน้อยใจ ว่าทำไม ตอนขอแกไม่เคยให้ เราก็ไม่ว่า แต่พอเงินที่เราทำได้มา เขาถึงตัดโอกาสที่เราอยากทำอีก แต่ตอนนั้นจำได้แม่น ว่าผมให้กำลังใจตัวเองว่ายังไง เราก็จะทนต่อไปจนกว่าจะเรียนจบ มันคงจะดีขึ้น
ผมเรียนจบแค่ชั้น ปวช.3 แค่นั้นครับ เพราะที่บ้านไม่ส่งต่อ ช่วงนั้นมันมีงานอยู่ที่นึง แต่เขาเปิดรับแค่ คนทำชั่วคราวเท่านั้น... ซึ่งแม่อยากให้ผมทำมาก และแกคงคิดไปเองว่ามันจะมีต่อยอดและอนาคตที่กว้างไกลเป็นพนง.ประจำได้ แกก็เลยไม่ส่งผมเรียน แต่ผมดื้อจะเรียนต่อให้ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมแม่ ทำไปได้ แค่ 7-8 เดือน เรื่องการเงินผมเหรอ... ไม่ต่างอะไรจากตอนทำงานหลังเลิกเรียนเลย แต่จะต่างตรงที่ งานที่แม่ผมอยากให้ทำ เขาได้อัตราจ้างพนง.ประจำที่เขาสอบได้เข้ามาเรื่อยๆ จนคัดมาถึงคิวผมที่ต้องออก (จะไม่ให้ออกได้ไง เพราะงานที่แม่อยากให้ทำ ต้องให้สอบเข้า แล้วในการสอบเข้า วุฒิ ป.ตรี ขั้นต่ำ // แต่สุดท้ายพอถึงจุดที่ออกจากงาน แม่ก็เอาไปพูดกับคนอื่น ว่าผมดื้องาน ออกมา ทำงานไม่ทน เสียอนาคตหมด "ทั้งๆที่ก็บอกไปแล้วว่าเพราะอะไร แต่แกไม่ฟังผมเลย") จนต้องออกมาอยู่บ้านเฉยๆ ช่วงนั้นว่างงานยาวนานมากยากออกไปหางานสมัครทำ แต่ไม่มีเงินไป ขอแม่ แม่ก็ไม่ให้ มันทรมานกว่าเดิมอีก เพราะกินตามกำลังที่แม่จะทำวันละ 1-2 มื้อ แค่นั้น... เอาเป็นว่า ชีวิตผมมันแย่มากครับ ถ้าพิมพ์ยาวมากกว่านี้ คิดว่า 3 วันคงอ่านไม่จบ ก็เอาเป็นโดยสรุปว่า "ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรดีเลย" หลังๆมานี้อาจจะมีช่วงดีบ้างผสมทุกข์บ้าง แต่หลังๆมานี้ ก็มีแอบเก็บเงินได้ 3-4 หมื่น แต่ก็โดนหลอกให้หมดกับรักไปหมด (ถ้าจะถามว่าทำไม ผมถึงยอมโง่ให้คนรัก ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมี... ตอบง่ายๆตามความคิดผมเลยนะ... เพราะช่วงที่ผมไม่มี ผมทั้งอยากมี อยากกิน อยากเที่ยวตลอด ผมเลยเข้าใจเวลาคบใครสักคน ผมพยายามทำให้ชีวิตตัวเองและคนรักมีความสุขมากที่สุด!) แต่ก็อย่างว่าครับ ว่ารัก ยอมได้ทุกอย่าง...
ในเรื่องการจะคบใครสักคนนึง...ผมเป็นคนที่ถ้าจะคบใครแล้วก็ไม่เคยยึดติดเรื่องของอายุ ฐานะ และหน้าตา แม้แต่รสนิยมทางเพศ...เขาก็รุกเหมือนผม"เพียงแต่แค่ผมไม่รับแค่นั้น"
การที่ผมออกมาโพสต์เรื่องนี้... มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น หรือไม่ใช่เรื่องของใครๆเลย เพียงแต่ส่วนนึง ผมแค่อยากจะมีที่ระบาย มีที่คอยรับฟังผมบ้าง เพราะเพื่อนผม มีเหลือหลักๆตอนนี้ แค่ 2 คนก็ยังคุยปรึกษาระบายไม่ได้มาก เพราะเขาก็มีชีวิตครอบครัว และอะไรส่วนตัวของเขามากมาย.... คุณกำลังนึกว่าผมทำไม ไม่ไปปรึกษาหรือระบายให้พ่อ แม่ ญาติอยู่ใช่ไหม? ผมบอกเลย ว่าที่บ้านผม เป็นครอบครัวที่มีปัญหา ผมพยายามมาหลายครั้งอยู่ แต่พูดได้ไม่เกิน 3 นาที "ย้ำ แค่ 3 นาที" ผมก็โดนว่า ด่า สารพัด // ส่วนเพื่อน สมัยเรียนผมมีเพื่อนเยอะนะ แต่คงไม่มาก ประมาณ 20-30 คนได้ แต่ด้วยความที่ ผมเป็นคนติดแฟน รักแฟน เชื่อแฟนจนเกินไป การติดต่อ สื่อสารของเพื่อนแต่ละคนเลยหายสาปสูญกันไปโดยปริยาย
ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบาย หรือระบายจากตรงไหนก่อนดี ถ้ายังไง ผู้ที่อ่านโพสต์ผม ถ้าเรียบเรียงได้ ผมขอบคุณมา ณ ตรงนี้เลยครับ
ผมตัดสินใจคบกับเขามา ตอนนี้ 4 "เดือน" แล้วครับ ถามว่าทำไมผมต้องมีเครื่องหมาย " " ด้วย เพราะผมอยากย้ำให้ได้เห็นชัดๆครับ เพราะช่วงเวลาแค่นี้ทำไมผมรู้สึกเหมือนความอึดอัด ความทุกข์ที่อัดอั้นไว้ เปรียบหน่วย "เดือน" เป็นหน่วย "ปี" ยังไงก็ไม่รู้...
ผมอายุ 30 ครับ ส่วนคู่ของผม 41 ผมขออนุญาติใช้นามคู่ของผมว่า T นะครับ...
ผมรู้จักกับคนนี้ ได้ยังไง (เอาคร่าวๆเลยนะครับ) ผมเคยไปโพสต์หาเพื่อน หาแฟนตามเว็บไซต์ครับ T ก็เลยแอดไอดีไลน์มาคุย แต่ตอนแรกที่แอดมา โต้ตอบกันอยู่แค่ 2 ประโยค เขาก็หายไปโดยปริยาย ผมก็ไม่ได้คิดไรมากครับ พอเข้าใจอยู่ ว่าความรักของเพศแบบนี้ สังคมส่วนใหญ่ ก็คล้ายๆกันกับที่ผมเจอ แต่เขากลับมาทักผมอีกในช่วง 15 - 30 วันต่อมา เข้ามาปรึกษาเรื่องคนของเขา(ขออนุญาติแทนคนที่ T คุยนามว่า A นะครับ) ที่เคยคุย ทำนองว่า... ย้อนมาตอนที่ T ทักผมมาครั้งแรก เขากำลังคุยกับ A นี้อยู่ แต่เพราะด้วยความไม่ชัดเจน เขาก็เลยแอดมาคุยกับผม แล้ว T กับ A ดันมาตกลงปลงใจคบกันตอนที่แอดผมพอดี นี่เลยเป็นสาเหตุที่ T เงียบจากผมไป
การทักมาของ T ในรอบที่ 2 เขามาแบบว่าอยากปรึกษา ว่า...T กับ A ตกลงคบกัน A เขาเป็นรุก อยู่แถวสนามหลวง และ T เขาสามารถยอมเป็นรับให้ได้ ถ้าคู่ของเขารักเขาจริง เขาเล่าต่อว่า... คุยกับ A มาได้ประมาณเดือนนึง แต่ในช่วง 1 เดือนนี้ ไม่เคยเจอกันเลยเพราะ T ไม่พร้อม แต่ A ได้แต่ขยั้นขยอให้ T ไปหาเขาตลอด แต่ T ได้แต่ไลน์หากัน พอไลน์หากัน T จะติดปัญหาที่ว่า ไม่มีเงินสมัครเน็ตมือถือ เพราะเงินเดือนไม่เหลือ โดนหักจากหนี้ที่แฟนเก่า 2 คนของเขาหลอก เกือบ 5 ล้าน ต้องอาศัยเน็ตเล่น ช่วงที่อยู่ทำงาน ซึ่งมันก็แค่ช่วงเช้า เท่านั้น...
T เล่าให้ฟังต่อ ว่า... ช่วง 1 เดือนที่คุยกัน เขาทักข้อความไปแทบจะไม่ได้ตอบกลับมาด้วยซ้ำ T เลยขอแลกเบอร์กับ A พอผ่านไป ... หลายครั้งที่ T โทรหา A เสียงของ A จะมีพิรุจทุกครั้ง จนมาเกิดเรื่องเอาทีหลัง (เป็นสาเหตุที่ต้องมาปรึกษาผม) ว่า A บอก T ว่า ช่วงประมาณวันที่ 17-19 สิงหา A อ้างว่า ไม่ต้องโทรมา 3 วัน เพราะ A จะไป ตจว. ไปเข้าป่าไปปฏิบัติธรรม จะติดต่อไม่ได้ตลอดที่ A ไปเพราะไม่มีเน็ต/ ปิดเครื่อง จะติดต่อได้อีกครั้ง ช่วงที่มาถึงบ้านแล้วเท่านั้น...
แต่คืนของวันที่ 18 A มีการติดต่อมาทางไลน์ ซึ่ง T มาเห็นอีกครั้งคือตอนมาทำงานของเช้าที่ 19 T เกิดข้อสงสัยว่าทำไม A เป็นคนบอกเองว่าจะติดต่อได้ คือช่วงเย็นวันที่ 19 สาเหตุนี้ T เลยลองโทรไปหา A ทันที ที่ได้เห็นข้อความ A รับสายคุยกันอยู่สักพัก แรกๆ A พยายามโกหก กลบเกลื่อน จนมีเสียงชายดังแทรกมา A เลยยอมรับ ว่า ที่บอกไปว่าไม่อยู่ 3 วัน คือ A นัดคนมาหมู่กันมานอนกินอยู่กันที่บ้าน และเสียงที่ได้ยินแทรกมา นั่นก็คือเสียงที่มีคนมาชวน A ไปหมู่กันต่อ A เลยขอวางสาย โดยไม่สนใจคำพูดอะไรจาก T...
จากนั้น... T เลยเข้ามาปรึกษาปัญหากับผม
**** เดี๋ยวจะมาต่อให้ใหม่นะครับ ขออนุญาติพักมือ/ สายตาก่อน (พิมจากโทรศัพท์) มันล้าครับ ****