คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าอาการไม่ดีควรพบแพทย์ก่อนนัดได้ครับ แพทย์จะได้ปรับยาให้ก่อนได้
การรักษา gout หลักๆง่ายๆก็
1) ยาบรรเทาอาการ ได้แก่ colchicine ยาแก้อักเสบคลายกล้ามเนื้อ หรือ ยาพ่น ยาทา
โดยถ้าอาการควบคุมการกำเริบได้ดีไม่มีกำเริบระยะนาน แพทย์อาจพิจารณาปรับลด colchicine หรือ หยุดยา แต่ควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ที่ดูแล เพราะคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
2)ลดกรดยูริก อันนี้ถือว่าสำคัญ ส่วนใหญ่ก็มักเริ่ม allopurinol เป็นตัวแรกๆ ถ้าไม่มีข้อห้าม
และยา allopurinol ไม่ควรกินๆหยุดๆเอง เพราะถ้ากินๆหยุดๆมักเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงได้ ซึ่งพบมากในเชื้อชาติเอเชียเพราะผลจากพันธุกรรมบางอย่าง เมื่อเทียบกับเชื้อชาติยุโรปอเมริกา ยกเว้นอาจพิจารณาหยุดในช่วงที่มีอาการปวดข้อกำเริบ และเริ่มรับประทานใหม่ตามแพทย์แนะนำ *** ส่วนการที่กินยา allopurinol แล้วจะทำให้ไตวาย ส่วนใหญ่แพทย์จะมีการตรวจผลเลือดค่าการทำงานของไตเป็นระยะ และปรับขนาดยาตามค่าการทำงานของไต ถ้าเทียบกับไม่กินแล้วปล่อยให้กรดยูริกสูง โอกาสไตวายและภาวะแทรกซ้อนอื่นเกิดขึ้นของ gout มากกว่ากินยา
ส่วนการรักษา gout ไม่ใช่มุ่งแต่ลดอาการปวดข้อ หรือ อาการไม่ให้ข้อเสียอย่างเดียว แต่ถ้าคุมไม่ได้ก็อาจทำให้อวัยวะหลายระบบแย่ ที่เจอบ่อยคือ ไตวาย โดยความเสี่ยงจะมากใน ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วน ( ความดัน, เบาหวาน,ไขมัน , นน. เกิน )
ดังนั้นนอกจากการคุมอาหาร ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง แล้วการลด นน. ก็สำคัญเช่นกันครับ
ส่วนหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับสมุนไพร เช่น ใบเตยกับใบรางจืด ช่วยลดผลึกแคสเซียม ลดยูริก
ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ส่วนสมุนไพรหลายตัวก็ไม่เหมาะกับคนทุกคน ดังนั้นควรแจ้งแพทย์ที่รักษาให้ทราบด้วยว่ามีการกินยาหรืออาหารเสริมร่วมด้วยครับ
ดีที่สุดก็พบแพทย์ตามนัด ถ้าอาการแย่ไปก่อนนัดได้ สงสัยควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาต่อเนื่อง
เพราะแพทย์มีข้อมูลทั้งประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจพิเศษครับ
การรักษา gout หลักๆง่ายๆก็
1) ยาบรรเทาอาการ ได้แก่ colchicine ยาแก้อักเสบคลายกล้ามเนื้อ หรือ ยาพ่น ยาทา
โดยถ้าอาการควบคุมการกำเริบได้ดีไม่มีกำเริบระยะนาน แพทย์อาจพิจารณาปรับลด colchicine หรือ หยุดยา แต่ควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ที่ดูแล เพราะคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
2)ลดกรดยูริก อันนี้ถือว่าสำคัญ ส่วนใหญ่ก็มักเริ่ม allopurinol เป็นตัวแรกๆ ถ้าไม่มีข้อห้าม
และยา allopurinol ไม่ควรกินๆหยุดๆเอง เพราะถ้ากินๆหยุดๆมักเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงได้ ซึ่งพบมากในเชื้อชาติเอเชียเพราะผลจากพันธุกรรมบางอย่าง เมื่อเทียบกับเชื้อชาติยุโรปอเมริกา ยกเว้นอาจพิจารณาหยุดในช่วงที่มีอาการปวดข้อกำเริบ และเริ่มรับประทานใหม่ตามแพทย์แนะนำ *** ส่วนการที่กินยา allopurinol แล้วจะทำให้ไตวาย ส่วนใหญ่แพทย์จะมีการตรวจผลเลือดค่าการทำงานของไตเป็นระยะ และปรับขนาดยาตามค่าการทำงานของไต ถ้าเทียบกับไม่กินแล้วปล่อยให้กรดยูริกสูง โอกาสไตวายและภาวะแทรกซ้อนอื่นเกิดขึ้นของ gout มากกว่ากินยา
ส่วนการรักษา gout ไม่ใช่มุ่งแต่ลดอาการปวดข้อ หรือ อาการไม่ให้ข้อเสียอย่างเดียว แต่ถ้าคุมไม่ได้ก็อาจทำให้อวัยวะหลายระบบแย่ ที่เจอบ่อยคือ ไตวาย โดยความเสี่ยงจะมากใน ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วน ( ความดัน, เบาหวาน,ไขมัน , นน. เกิน )
ดังนั้นนอกจากการคุมอาหาร ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง แล้วการลด นน. ก็สำคัญเช่นกันครับ
ส่วนหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับสมุนไพร เช่น ใบเตยกับใบรางจืด ช่วยลดผลึกแคสเซียม ลดยูริก
ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ส่วนสมุนไพรหลายตัวก็ไม่เหมาะกับคนทุกคน ดังนั้นควรแจ้งแพทย์ที่รักษาให้ทราบด้วยว่ามีการกินยาหรืออาหารเสริมร่วมด้วยครับ
ดีที่สุดก็พบแพทย์ตามนัด ถ้าอาการแย่ไปก่อนนัดได้ สงสัยควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาต่อเนื่อง
เพราะแพทย์มีข้อมูลทั้งประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจพิเศษครับ
แสดงความคิดเห็น
ขอสอบถามท่านที่เป็นโรคเก๊าท์ และ คุณหมอที่เฉพาะทางโรคนี้ครับ ผมปวดข้อนิ้วเท้าไม่หายซํกที
เคยปวดครั้งแรกเมื่อกลางปี 56 ตอนนั้นกระโดนเล่นกับเพื่อน แล้วปวดเท้าข้างซ้าย วันรุ่งขึ้นเดินแทบไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดว่าข้อแพลง ไป รพ หมอ ก็ไม่ได้เจาะเลือดตรวจ ให้ยามากิน ประมาณเดือนนึงก็หาย
พอมากลางปี 57 อยู่ๆก็ปวดขึ้นมาอีก แต่ปวดเท้าขวา ที่โคนนิ้วชี้บวมแดง ครั้งนี้เดินไม่ได้เลย ปวดมากครั้งนี้ผมไปหาหมออีก รพ. นึง หมอถามว่าที่บ้านมีใครเป็นเก๊าท์ป่าว ผมก็บอกว่าอากงเป็น หมอเลยให้ผมไปตรวจเลือด ผลออกมาสรุปว่าเป็นเก๊าท์ครับ ค่า uric อยู่ที่ 12
หมอก็ให้ยา แก้ปวด กับ allopurinal 100 mg มาให้กินเช้า-เย็น ผมก็ดีขึ้นครับ หลังจากสองอาทิตย์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ผมกิน allopurinal ติดต่อกันไปหกเดือน พอช่วงธันวามีแต่คนบอกผมว่า กินยาเก๊าท์ (allopurinal) ทุกวันแบบนี้ เดี๋ยวก็ไตมีปัญหาบ้าง เป็นนิ่วบ้าง ให้มาออกกำลังกาย ลดน้ำหนักแทน ผมก็เลยเลิกกินยา ยาวมาจน กรกฏา ปีนี้ แต่น้ำหนักยังลดได้ไม่เยอะ
พอกรกฏาปี 58 ผมไปกินเลี้ยงวันเกิด กินตับไปประมาณ 7-8 ชิ้น พอตกดึกๆ เริ่มมีอาการ ครั้งนี้ผมไม่ได้ไปหาหมอทันที แต่ไปซื้อ cochicine กินเอง เพราะผมเคยอ่านมาว่า ถ้าเริ่มปวดให้รีบกิน cochicine ภายใน 24 ชม แล้วจะดีขึ้น
ผมก็รีบกินหลังอาหาร วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น แล้วเดินให้น้อยที่สุด ผ่านไปอาทิตย์นึงเริ่มใกล้หาย ยังปวดอยู่หน่อยๆ ผมเลยลดยาลง เหลือ 2เม็ด เช้า เย็น แล้วกิน allopurinal ไปด้วย วันละ สองเม็ด เช้า เย็น เช่นกัน แต่มีวันนึง ที่ผมต้องยกของหนัก ย้ายของ รุ่งขึ้นเลยปวดขึ้นมาอีก
ครั้งนี้ผมเลยไปหาหมอ แต่หมอคนเดิมไม่อยู่ เจอหมอคนใหม่ ผมก็เล่าให้หมอฟังไปตามนี้ หมอเลยให้ยาแก้ปวด ในกลุ่ม NSAIDs มา แล้วก็ให้ผมกินคู่ไปกับ chocicine และ allopurinal ที่ผมกินไปอยู่แล้ว แล้วอีกสองอาทิตย์ให้มาตรวจเลือด
สองอาทิตย์ต่อมา เวลาเดินผมไม่ค่อยปวดแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกนิดๆ แต่เวลาเอานิ้วโป้งกดนิ้วชี้ลงไปเยอะๆ ผมยังรู้สึกเจ็บอยู่ ผมไปเจาะเลือดตรวจ ผล uric อยู่ที่ 6 กว่าๆ หมอเลยให้ลด chocicine กับ allopurinal ลงอย่างละเม็ด หมอถามยังปวดอยู่รึเปล่า ผมก็บอกไปว่าปวดๆเวลากดแบบนี้ แล้วทำท่าให้หมอดู หมอเลยให้ยาแก้ปวด NSAIDs มาอีก
แล้วหมอก็นัดอีกที ตอนปลายปีครับยังไม่ถึงเวลานัด
แต่ทุกวันนี้ผมยังปวดนิดหน่อย ปวดมาสี่เดือนแล้วครับ ปวดน้อยๆเวลาเดิน เวลาเอานิ้วโป้งเท้ากดนิ้วชี้เท้าลงไปยังเจ็บอยู่เลย มันจะปวดจี๊ดๆ ซึ่งเท้าข้างซ้ายไม่เป็น ท่านใดพอจะทราบสาเหตุบ้างครับ หรือมันมีผลึก uric ยังค้างอยู่ข้างใน ทำยังไงถึงจะหายอ่ะครับ
ทุกวันนี้กิน chocicine วันละเม็ดตอนเช้า แล้วก็ allopurinal วันละเม็ดตอนกลางคืน
และแม่ผมให้ต้มน้ำ ใบรางจืด+ใบเตย กินทุกวัน วันละสองลิตร กินมาสองอาทิตย์ละครับ ก็ยังไม่หาย
รบกวนแชร์ประสบการณ์กันด้วยครับ และ รบกวนถามคุณหมอที่เข้ามาอ่านด้วยครับ ขอบคุณครับ
ปล ผมสูง 175 หนัก 96 ครับ
ตอนนี้ผมไม่กินเครื่องในมาตั้งแต่เริ่มปวดตอนกรกฏาครับ ส่วนไก่นี่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆก็มีกินบ้าง แต่ไม่เยอะ
ขอบคุณครับ