ถือว่า นำมาแชร์ละกันครับ เพราะไม่เคยเห็นใครให้มุมมองแบบนี้ เป็นการชี้ให้เห็นปัญหาในทาง technical และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้าของกิจการทุกท่าน (อาจจะเหมาะกับท่าน หรือไม่เหมาะ ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง)
ที่เอาตัวเลข 35 ล้านบาท (วันนี้คงเป็น 36 ล้านบาทแล้ว เพราะค่าเงินบาทอ่อน) ก็เพราะเมืองนอกเขาแบ่งความรวยเป็นระดับต่างๆ และระดับ High Net Worth Individual หรือมีทรัพย์สินที่ลงทุนได้ 1 ล้านเหรียญ คือ ระดับเริ่มต้นของคนมีเงิน บางท่านในบางกระทู้บอกว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่ไม่รวมบ้านหลังที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็ให้ถือว่านำมาคิดรวมได้ เอาเป็นว่า 35 ล้านบาท ก็คือ เป้าของเจ้าของกิจการในกรณีนี้ ซึ่งปีนี้ในเมืองไทยมีอยุ่ 90,700 คน จากข้อมูลล่าสุดของบางธนาคาร (แต่ระดับ 50 ล้านบาทขึ้นไปมี 18,000 คน)
ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้หมายถึงตัวผมเองนะครับ แต่เอาประสบการณ์ของเพื่อนๆมาเล่าให้ฟังว่า ถ้าเริ่มจาก 0 การเป็นเจ้าของกิจการแล้วมีทรัพย์สินระดับ 35 ล้านบาท หรือ 1 ใน 1000 คนไทย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย ผมเคยสงสัยว่า เพื่อนหลายคนยอดขายบริษัทหลายสิบล้าน ร้อยล้านก็มี แต่ก็ไม่รวยซักที แต่บางคนยอดขายไม่มาก แต่มีบ้าน คอนโด หลายหลัง รถหลายคัน เท่าที่รวบรวมข้อมูลมาได้เพราะเหตุผลดังนี้ครับ
1. ยอดขายมาก กำไรน้อย
สมมติยอดขาย 100 ล้าน กำไร 10 ล้าน หักภาษี อาจจะเหลือ 7-8 ล้าน ต้องทำ 5 ปี ถึงจะได้กำไร 35-40 ล้าน
แต่กว่าจะได้ 100 ล้าน/ปี คุณจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน และต้องให้ได้กำไรอย่างน้อย 7-8 ล้านบาท/ปี
2. operating cost สูง
ต่อจากข้างบน ถ้าคุณมียอด 100 ล้านบาท คุณคิดว่าจะมีพนักงานกี่คน ผมให้เก่งๆเลย 5 คน เงินเดือนคนละ 3 หมื่น ปีนึงคุณต้องจ่าย 2.1 ล้านสำหรับเงินเดือน ไม่รวมโบนัส สวัสดิการต่างๆ
คุณคิดว่าจะทำธุรกิจนี้อีกกี่ปี 5 ปีแล้วค่อยเลิก? ฉะนั้นคุณต้องจ่ายอีกประมาณ 10 ล้านบาทในอนาคต ไม่รวมเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น หรือการขยายตัวของธุรกิจ
จากที่คิดว่าจะได้ 35-40 ล้านบาท ก็จะเหลือ 25-30 ล้านบาท ถ้ามีค่าเช่าสำนักงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าต่างๆอีก ก็จะลดลงไปอีก ซึ่งอาจจะเหมือนมีพนักงานเพิ่มมากอีก 1-2 คนเป็นอย่างน้อย ซึ่งอย่างมากที่สุดจะเหลือ 23-28 ล้าน
3. จำนวนหุ้นส่วน
ถ้าคุณถือหุ้นคนเดียว คุณรับเงินเต็มๆ แต่ถ้าผู้ถือหุ้นมีมากกว่า 1 คน เงินก็ต้องถูกแบ่งออกไป จากข้อ 2 เงินที่ได้เข้ากระเป๋าก็จะเหลือ 12-14 ล้านบาท
ถ้าคุณต้องการ 35 ล้านบาท ก็ต้องทำแบบนี้ 3 รอบคือ 15 ปี ถึงจะกลายเป็น High Net Worth Individual
4. อันตรายจากคู่แข่ง Threat
ทุกปีมีการแข่งขันจากบริษัทต่างๆ ถ้าคุณเป็นบริษัทเล็ก โอกาสอยู่รอดในระยะ 5-15 ปี เป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ถึงจุด breakthrough คือ ติดลมบน บางปีอาจจะทำให้ยอดหดตัวลง แต่บางปีก็อาจจะขายได้มากขึ้น ผมเลยเฉลี่ยให้ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งเรียกว่า เริ่ม Year 1 ก็ได้ยอด 100 ล้านบาทเลย ซึ่งอย่างที่บอกกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่ายแน่นอน
ฉะนั้นในความเป็นจริง ถ้าคุณถือหุ้น 50% เพราะเริ่มจาก 0 เงินไม่มีลงทุนมาก ใช้เวลา 3 ปี กว่าจะได้ยอดขาย 100 ล้าน พนักงาน 5-6 คน ที่เก่งๆเลย กว่าจะมีเงินเก็บ 35 ล้านบาท(ไม่คิดเรื่อง Net Present Value นะครับ เอาแบบคร่าวๆง่ายๆ) ก็อาจจะใช้เวลา 15+3 ปี คือ 18 ปี ภายใต้ scenario ที่ผมบอกไป
ผมจึงไม่แปลกใจว่า เพื่อนผมหลายคนปีแรกๆเงินเยอะครับ ซื้อบ้านซื้อรถเลย เพราะกำไรเยอะ แต่ 2-3 ปีต่อมาเอาพนักงานออก และเงินหมดเกลี้ยง เพราะอาจจะลืมไปว่า เงินที่ได้มาต้องนำมาหมุน ยังไม่พอมีคู่แข่งเข้ามาเยอะขึ้น ยอดขายไม่ได้อย่างที่คิด จากคนมีเงินใน 2-3 ปีแรก กลายมาเริ่มต้นใหม่ คนแล้ว คนเล่า
แต่มีอีกมุมหรือทางแก้ครับ
1. ยอดขายน้อย แต่กำไรเยอะ (ทำธุรกิจที่มี margin สูง)
2. บริษัทเล็ก operating cost ก็น้อยครับ ใช้คนน้อย เช่นจาก 100 ล้านอาจจะกำไร 20 ล้าน ซึ่งผมถือว่า กำไรเยอะมาก อาจจะใช้คนเก่งซัก 2-3 คน
3. คิดเรื่อง exit strategy อยู่ตลอดเวลา บริษัทเล็กได้เปรียบเพราะยืดหยุ่น จากกรณีศึกษาคือ ทำได้ซักพักแล้วขายกิจการครับ โอนพนักงานให้บริษัทใหม่ สิ่งนี้คือ ที่สุดของการทำธุรกิจอย่างหนึ่งในความคิดของผมเลย เพื่อนผมคนนึงใช้เวลาแค่ 2-3 ปี ทำเงินเข้ากระเป๋าประมาณ 50 ล้านบาท แล้ว cut cost เลย คือ ได้เงินก้อน แถมยังไม่มีภาระในอนาคต แล้วก็นำเงินไปต่อยอดสั้นๆแบบนี้เรื่อยๆ
4. เพิ่มเติมเข้ามาตอนหลัง แต่สำคัญมากๆคือ พยายามถือหุ้นคนเดียว นอกจากจะรับเต็มๆลดเวลารวยได้มาก แล้วยังตัดปัญหาการทะเลาะกันของหุ้นส่วนด้วย
จริงๆแล้ว บริษัทยอดขาย 100-700 ล้าน จำนวนไม่น้อยที่กำไรน้อยมากนะครับ บางบริษัทขาดทุนมหาศาลในบางปี ซึ่งผมทราบจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจที่สามารถเช็คได้ทุกบริษัทครับ บางท่านอาจจะบอกว่ามีการทำ 2 บัญชี แต่ถ้าขาดทุนเป็น 10 ล้านบ่อยๆ สรรพากรคงตรวจละเอียดยิบ หรือต่อให้รับเงินเดือนสูงๆในฐานะผู้บริหารก็ไม่ได้มากหรอกครับ เงินเดือน 1 แสนสำหรับผู้ถือหุ้นก็หรูแล้ว เงินเดือนมากก็โดนภาษีเต็มๆอีก
ยิ่งเศรษฐฏิจซบเซาแบบนี้ยิ่งหนักหนาสาหัส (ถือว่าโชคร้ายสำหรับคนที่ยังไม่รวยตอนนี้ก็ว่าได้ เพราะเวลาที่จะรวยถูกยืดไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี) ฉะนั้นผมถึงบอกว่า กว่าจะเป็น High Net Worth Individual มันไม่ง่าย ยิ่งเป็นได้ตอนอายุน้อยๆยิ่งยากไปใหญ่ อย่างรายการ 'อายุน้อยร้อยล้าน' ที่ยอดขายเป็นร้อยๆล้าน แต่เอาเข้าจริงๆ เงินที่เหลือติดกระเป๋าซัก 15 ล้าน อาจจะยากด้วยซ้ำ บางที่เล่นหุ้นอาจจะรวยเร็วกว่า (แต่อย่างว่า high risk high return และอาจจะไม่ได้เป็น someone ไม่ได้กล่อง ดูเหมือนเป็นคนว่างงาน)
ถือว่า เอาประสบการณ์ของเพื่อนๆหลายคนมาเล่าสู่กันฟังครับ
ปล มีอะไรทักท้วงได้ แชร์ได้ครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้าของกิจการมือใหม่
เจ้าของกิจการ กว่าจะกลายเป็น High Net Worth Individual (ทรัพย์สิน 35 ล้านบาท) ก็ไม่ง่าย
ที่เอาตัวเลข 35 ล้านบาท (วันนี้คงเป็น 36 ล้านบาทแล้ว เพราะค่าเงินบาทอ่อน) ก็เพราะเมืองนอกเขาแบ่งความรวยเป็นระดับต่างๆ และระดับ High Net Worth Individual หรือมีทรัพย์สินที่ลงทุนได้ 1 ล้านเหรียญ คือ ระดับเริ่มต้นของคนมีเงิน บางท่านในบางกระทู้บอกว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่ไม่รวมบ้านหลังที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็ให้ถือว่านำมาคิดรวมได้ เอาเป็นว่า 35 ล้านบาท ก็คือ เป้าของเจ้าของกิจการในกรณีนี้ ซึ่งปีนี้ในเมืองไทยมีอยุ่ 90,700 คน จากข้อมูลล่าสุดของบางธนาคาร (แต่ระดับ 50 ล้านบาทขึ้นไปมี 18,000 คน)
ขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้หมายถึงตัวผมเองนะครับ แต่เอาประสบการณ์ของเพื่อนๆมาเล่าให้ฟังว่า ถ้าเริ่มจาก 0 การเป็นเจ้าของกิจการแล้วมีทรัพย์สินระดับ 35 ล้านบาท หรือ 1 ใน 1000 คนไทย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย ผมเคยสงสัยว่า เพื่อนหลายคนยอดขายบริษัทหลายสิบล้าน ร้อยล้านก็มี แต่ก็ไม่รวยซักที แต่บางคนยอดขายไม่มาก แต่มีบ้าน คอนโด หลายหลัง รถหลายคัน เท่าที่รวบรวมข้อมูลมาได้เพราะเหตุผลดังนี้ครับ
1. ยอดขายมาก กำไรน้อย
สมมติยอดขาย 100 ล้าน กำไร 10 ล้าน หักภาษี อาจจะเหลือ 7-8 ล้าน ต้องทำ 5 ปี ถึงจะได้กำไร 35-40 ล้าน
แต่กว่าจะได้ 100 ล้าน/ปี คุณจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน และต้องให้ได้กำไรอย่างน้อย 7-8 ล้านบาท/ปี
2. operating cost สูง
ต่อจากข้างบน ถ้าคุณมียอด 100 ล้านบาท คุณคิดว่าจะมีพนักงานกี่คน ผมให้เก่งๆเลย 5 คน เงินเดือนคนละ 3 หมื่น ปีนึงคุณต้องจ่าย 2.1 ล้านสำหรับเงินเดือน ไม่รวมโบนัส สวัสดิการต่างๆ
คุณคิดว่าจะทำธุรกิจนี้อีกกี่ปี 5 ปีแล้วค่อยเลิก? ฉะนั้นคุณต้องจ่ายอีกประมาณ 10 ล้านบาทในอนาคต ไม่รวมเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น หรือการขยายตัวของธุรกิจ
จากที่คิดว่าจะได้ 35-40 ล้านบาท ก็จะเหลือ 25-30 ล้านบาท ถ้ามีค่าเช่าสำนักงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าต่างๆอีก ก็จะลดลงไปอีก ซึ่งอาจจะเหมือนมีพนักงานเพิ่มมากอีก 1-2 คนเป็นอย่างน้อย ซึ่งอย่างมากที่สุดจะเหลือ 23-28 ล้าน
3. จำนวนหุ้นส่วน
ถ้าคุณถือหุ้นคนเดียว คุณรับเงินเต็มๆ แต่ถ้าผู้ถือหุ้นมีมากกว่า 1 คน เงินก็ต้องถูกแบ่งออกไป จากข้อ 2 เงินที่ได้เข้ากระเป๋าก็จะเหลือ 12-14 ล้านบาท
ถ้าคุณต้องการ 35 ล้านบาท ก็ต้องทำแบบนี้ 3 รอบคือ 15 ปี ถึงจะกลายเป็น High Net Worth Individual
4. อันตรายจากคู่แข่ง Threat
ทุกปีมีการแข่งขันจากบริษัทต่างๆ ถ้าคุณเป็นบริษัทเล็ก โอกาสอยู่รอดในระยะ 5-15 ปี เป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ถึงจุด breakthrough คือ ติดลมบน บางปีอาจจะทำให้ยอดหดตัวลง แต่บางปีก็อาจจะขายได้มากขึ้น ผมเลยเฉลี่ยให้ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งเรียกว่า เริ่ม Year 1 ก็ได้ยอด 100 ล้านบาทเลย ซึ่งอย่างที่บอกกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ไม่ง่ายแน่นอน
ฉะนั้นในความเป็นจริง ถ้าคุณถือหุ้น 50% เพราะเริ่มจาก 0 เงินไม่มีลงทุนมาก ใช้เวลา 3 ปี กว่าจะได้ยอดขาย 100 ล้าน พนักงาน 5-6 คน ที่เก่งๆเลย กว่าจะมีเงินเก็บ 35 ล้านบาท(ไม่คิดเรื่อง Net Present Value นะครับ เอาแบบคร่าวๆง่ายๆ) ก็อาจจะใช้เวลา 15+3 ปี คือ 18 ปี ภายใต้ scenario ที่ผมบอกไป
ผมจึงไม่แปลกใจว่า เพื่อนผมหลายคนปีแรกๆเงินเยอะครับ ซื้อบ้านซื้อรถเลย เพราะกำไรเยอะ แต่ 2-3 ปีต่อมาเอาพนักงานออก และเงินหมดเกลี้ยง เพราะอาจจะลืมไปว่า เงินที่ได้มาต้องนำมาหมุน ยังไม่พอมีคู่แข่งเข้ามาเยอะขึ้น ยอดขายไม่ได้อย่างที่คิด จากคนมีเงินใน 2-3 ปีแรก กลายมาเริ่มต้นใหม่ คนแล้ว คนเล่า
แต่มีอีกมุมหรือทางแก้ครับ
1. ยอดขายน้อย แต่กำไรเยอะ (ทำธุรกิจที่มี margin สูง)
2. บริษัทเล็ก operating cost ก็น้อยครับ ใช้คนน้อย เช่นจาก 100 ล้านอาจจะกำไร 20 ล้าน ซึ่งผมถือว่า กำไรเยอะมาก อาจจะใช้คนเก่งซัก 2-3 คน
3. คิดเรื่อง exit strategy อยู่ตลอดเวลา บริษัทเล็กได้เปรียบเพราะยืดหยุ่น จากกรณีศึกษาคือ ทำได้ซักพักแล้วขายกิจการครับ โอนพนักงานให้บริษัทใหม่ สิ่งนี้คือ ที่สุดของการทำธุรกิจอย่างหนึ่งในความคิดของผมเลย เพื่อนผมคนนึงใช้เวลาแค่ 2-3 ปี ทำเงินเข้ากระเป๋าประมาณ 50 ล้านบาท แล้ว cut cost เลย คือ ได้เงินก้อน แถมยังไม่มีภาระในอนาคต แล้วก็นำเงินไปต่อยอดสั้นๆแบบนี้เรื่อยๆ
4. เพิ่มเติมเข้ามาตอนหลัง แต่สำคัญมากๆคือ พยายามถือหุ้นคนเดียว นอกจากจะรับเต็มๆลดเวลารวยได้มาก แล้วยังตัดปัญหาการทะเลาะกันของหุ้นส่วนด้วย
จริงๆแล้ว บริษัทยอดขาย 100-700 ล้าน จำนวนไม่น้อยที่กำไรน้อยมากนะครับ บางบริษัทขาดทุนมหาศาลในบางปี ซึ่งผมทราบจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจที่สามารถเช็คได้ทุกบริษัทครับ บางท่านอาจจะบอกว่ามีการทำ 2 บัญชี แต่ถ้าขาดทุนเป็น 10 ล้านบ่อยๆ สรรพากรคงตรวจละเอียดยิบ หรือต่อให้รับเงินเดือนสูงๆในฐานะผู้บริหารก็ไม่ได้มากหรอกครับ เงินเดือน 1 แสนสำหรับผู้ถือหุ้นก็หรูแล้ว เงินเดือนมากก็โดนภาษีเต็มๆอีก
ยิ่งเศรษฐฏิจซบเซาแบบนี้ยิ่งหนักหนาสาหัส (ถือว่าโชคร้ายสำหรับคนที่ยังไม่รวยตอนนี้ก็ว่าได้ เพราะเวลาที่จะรวยถูกยืดไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี) ฉะนั้นผมถึงบอกว่า กว่าจะเป็น High Net Worth Individual มันไม่ง่าย ยิ่งเป็นได้ตอนอายุน้อยๆยิ่งยากไปใหญ่ อย่างรายการ 'อายุน้อยร้อยล้าน' ที่ยอดขายเป็นร้อยๆล้าน แต่เอาเข้าจริงๆ เงินที่เหลือติดกระเป๋าซัก 15 ล้าน อาจจะยากด้วยซ้ำ บางที่เล่นหุ้นอาจจะรวยเร็วกว่า (แต่อย่างว่า high risk high return และอาจจะไม่ได้เป็น someone ไม่ได้กล่อง ดูเหมือนเป็นคนว่างงาน)
ถือว่า เอาประสบการณ์ของเพื่อนๆหลายคนมาเล่าสู่กันฟังครับ
ปล มีอะไรทักท้วงได้ แชร์ได้ครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้าของกิจการมือใหม่