[ุ่ขุ่นน้องเบอร์ตอง] ตอน เมืองไทยเมืองพุทธกับความเป็นคนที่หายไป




                    ขุ่นพี่ วันนี้ขุ่นน้องไม่มีอะไรทำช่ะ ก็เลยมารับจ๊อบนั่งติดเบอร์ตองสวย ๆ อยู่ที่สนามหลวง แต่ช่วงนี้อากาศมันร้อน ผู้มีอุปการะคุณใจดีเลยไม่ค่อยจะมี ขุ่นน้องเลยได้แต่นั่งเหงาเล่นเฟสบุ๊คไปพรางกินโอเลี้ยงไปพราง แล้วระหว่างที่ขุ่นน้องกำลังอ่านฟีดข่าวอยู่นั้นเอง นิ้วขุ่นน้องก็เลื่อนลงมาเจอกับภาพของศพเด็กตัวเล็ก ๆ ที่วางอยู่ท่ามกลางกองเงินหลายพันหลายหมื่น พร้อมกับแคบชั่นยอดนิยมช่วงวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน “กุมารทอง!!!” “กดไลค์กดแชร์ของให้รวย” “ขอให้ถูกหวย” อะไรประมาณนี้แหละค่ะ ขุ่นน้องก็ อู๊ยยยยย นิ่วสั่นระริก ๆ ๆ อยากจะกดแชร์ กดไลค์ กดเม้นท์ว่าสาธุรัว ๆ ๆ เพื่อจะได้รวย ถูกหวย มีเงินมีทองใช้กับเขาบ้าง (นี่ก็ไปเพิ่งสอยชุดใหญ่ 27 ใบมา เลขนี่ก็ไม่ใช่ว่าขูดหากันกะโหลกกะลาตามต้นมะขามสนามหลวงนะคะ เลขนี่เด็ดมากค่ะ!!! อาจารย์ที่นับถือกันมา ท่านให้ไว้บอกว่า “ตามไปเถอะ เดี๋ยวรวย” นี่ขุ่นน้องตามมาทุกงวดสองปีกว่ายังไม่ถูกเลยค่ะ ทุกวันนี้อีอาจารย์เดินเก็บขวดกับของเก่าขายอยู่ บอกว่าให้หวยดีจัด เลยมาเก็บขวดขายดีกว่า!!! ดวกมาก ๆ ค่ะ) แต่พอนิ้วกำลังจะจิ้มไปที่ปุ่มแชร์เท่านั้นแหละ อีสมองซีกต่ำตมขาดความเจริญงอกงามของศาสนามันก็คิดขึ้นมาแวบหนึ่งค่ะว่า “ถ้ากูตายไปแล้วมีคนเอาศพกูมาทำแบบนี้บ้างจะเป็นไงวะคะ?”




                    อู๋ย คิดได้แบบนั้นแล้วขุ่นน้องก็รีบยกมือท่วมหัวเลยค่ะ กลัวบาปกรรมจะทำให้นรกมากินกระบานสวย ๆ ของขุ่นน้องแล้วก็มานั่งถามตัวเองว่า “เอ๊ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันเป็นชาวพุทธนะ เป็นพุทธโทเรี่ยนอันดีงามมาตั้งแต่เกิด ความคิดแบบนี้มันมันไม่ถูกต้อง เวลามีใครให้เราสาธุ เราก็ต้องสาธุสิ เพื่อความเจริญงอกงามของสันติสุขทั่วโลกและความมั่นคงของสหประชาชาติ...” แต่แล้วอีสมองส่วนใฝ่หานรกมันก็พูดออกมาอีกค่ะว่า “แน่ใจเหรอว่าที่ทำนี่มันพุทธ...พุทธแน่เหรอ?”


                    เท่านั้นแหละค่ะ ขุ่นน้องตาสว่างมองเห็นธรรมอย่างก๊ะฉากที่เจ้าแม่กวนอิมมาเทศสั่งสอนหงอคงในเรื่องไซอิ๋ว...แหม่ พูดแบบนี้มันก็เหมือนเว่อร์ไป ความจริงแล้วไอ้คำถามแบบนี้มันก็แวะมาทักทายขุ่นน้องเรื่อย ๆ แหละค่ะ ตอนเป็นเด็กอาจจะไม่บ่อยเหมือนเดี๋ยวนี้ โอ๊ย สมัยรุ่น ๆ นี่ขุ่นน้องเป็นชาวพุทธที่ดีเว่อร์นะคะ วัน ๆ ไล่ไหว้ดะไปเรื่อย เห็นวัดก็ไหว้ เห็นพระก็ไหว้ เห็นศาลพระภูมิก็ไหว้ เห็นศพก็ไหว้ หนักกว่านั้นบางครั้งก็ไปไหว้คนแต่งครอสเพลย์เทพฮินดูไปอี๊ก!!! แต่พอโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ได้ร่ำเรียน ศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะจากวิชาพระพุทธศาสนาที่สอนกันในโรงเรียน (ซึ่งได้ผลดีมากจริง ๆ ค่ะ!!!) แค่นั้นก็รู้แล้วค่ะว่าไอ้สิ่งที่เราไหว้ ๆ กันอยู่เนี่ย ไม่ใช่พุทธสักนิด...เอาจริง ๆ มันแทบไม่มีอะไรเป็นพุทธเลยเสียด้วยซ้ำ ทั้งไหว้ผี ไหว้เทพ ไหว้หมูสามหัว วัวสี่ขา ไหว้ลูกไฟที่มโนกันว่าผุดขึ้นมาจากน้ำ สาธุรัว ๆ ขอโชค ขอลาบ ของส้มตำ น้ำตก...มันไม่มีอะไรเป็นพุทธเลย ไม่สักนิด

แต่ทำไมคนไทยหลายคนถึงแยกไม่ออกล่ะ?



                    เอาจริง ๆ นะ ขุ่นน้องว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้ว่าอะไรคือพุทธแท้ อะไรไม่ใช่ พุทธโทเรี่ยนไม่ได้โง่ขนาดนั้น!!! แต่ที่ไหว้กันไป สาธุกันไปแบบนี้ก็เพราะศาสนาพุทธไม่ตอบโจทย์ในเรื่องพวกนี้ เรื่องโชคลาบ เงินทอง เพราะศาสนาพุทธเชื่อในการปล่อยวาง การละกิเลสและความโลภในใจเพื่อให้ไปถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งในความเป็นจริงมนุษย์ขี้เหม็นส่วนใหญ่มันทำไม่ได้หรอก ยิ่งในยุคสมัยปัจจุบันที่เงินคือปัจจัยทุกอย่างแบบนี้ยิ่งยากที่คนจะทำใจละเลิกกิเลสในเมื่อมันมีเรื่องปากท้องมาเกี่ยวด้วย พอศาสนาพุทธไม่ตอบโจทย์ก็ต้องหันหน้าไปพึ่งทางอื่นซึ่งบางครั้งความเชื่อพวกนี้ก็ไปบังหูบังตาคนเหล่านั้นจนลืมความเป็นเหตุเป็นผลและที่แย่ที่สุดคือลืมความเป็นคนไป


                    พอคิดมาถึงตรงนี้ทำให้ขุ่นน้องนึกถึงข่าวเมื่อสักอาทิตย์ก่อนขึ้นมาได้ ที่มีองค์กรพุทธออกมาเต้นเย้ว ๆ สะบัดผ้าเหลืองผ่านโซเชี่ยวเทศสั่งสอนกึ่งเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คิดแล้วก็นึกขำกับข้ออ้างร้อยแปดที่พระคุณเจ้ายกขึ้นมาอ้างโดยเฉพาะเรื่องจำนวนชาวพุทธในประเทศไทยที่มีเยอะกว่าศาสนาอื่น ๆ...เอาจริง ๆ ถ้าคิดด้วยตรรกะนี้ ขุ่นน้องว่าประเทศอันดีงามของเราไม่ได้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติหรอกค่ะ แต่เป็นศาสนาผี!!! ร้อยทั้งร้อยไหว้ผีกันทั้งนั้น ทั้งผีบ้านผีเรือน ผีพ่อแก่หัวโขน ผีพญานาค ผีเด็ก ผีวัยกลางคน ผีผู้ใหญ่ ผีคนแก่ ผีคอสเพลทรงเจ้าคนนั้นคนนี้เต็มบ้านเมืองไปหมด


                    พอมองดูรูปเด็กคนนั้นอีกทีนึกแล้วก็ใจหาย...นี่เหรอเมืองพุทธ เมืองที่พระคุณเจ้าท่านเคลมว่าเป็นเมืองแห่งความสงบสุข เมืองแห่งร้อยยิ้ม เมืองคนจิตใจดีงาม ประเทศที่ประชาชนมีจิตใจสูงส่งประหนึ่งเมืองเทวดาชั้นฟ้า...แต่กลับเอารูปศพเด็กมาโพสลงโซเชี่ยวเพื่อเรียกไลค์และเม้นท์เนี่ยเหรอ? แล้วพอเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ด้านล่างก็ยิ่งประหลาดใจที่เห็นคนหลายสิบมาขอนั่นขอนี่ ขอเงินของทอง ของโชคขอลาบ ขอแม้กระทั้งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ...แล้วมาขอกับศพเด็กทารกเนี่ยนะ? มันเมคเซ็นซ์ตรงไหนวะ เอาเข้าจริง ๆ นี่ขุ่นน้องพูดกันในตรรกะจักรวาลมาร์เวลที่ว่าผีมีอยู่จริงนะ...คือ...เด็กตัวแค่นี้จะไปรู้เรื่องอะไรวะ? ต่อให้น้องกลายเป็นผีจริง แค่จะเข้าใจพี่พวกเราพูดกันน้องเขายังไม่เข้าใจเลย แล้วตลกสุดมีอยู่เม้นท์หนึ่งบอกว่าจะซื้อรถบังคับให้เล่นถ้าถูกหวย...บ้าป่ะวะคะ เด็กตัวแค่นี้เล่นรถบังคับเหรอ? นี่เลยเลี้ยงเด็กหรือเปล่า? เด็กตัวแค่นี้แค่ถอดผ้าอ้อมออกมาละเลงขี้เล่นได้นี่ก็ถือว่าอัจฉริยะแล้ว



                    และแน่นอน พอมีคนด่ามาก ๆ เข้าก็มีบางคนเข้ามาบอกว่ามันเป็นการเรี่ยไรเงินทำบุญ ศพเด็กคนนี้เป็นศพที่พบในงานล้างป่าช้า พอเสร็จแล้วก็เอาศพเด็กคนนี้ไปประกอบพิธีเผาอย่างถูกต้อง ส่วนเงินทำบุญก็เอาไป...นั้นแหละ... “ทำบุญ” เข้าใจไหมขุ่นพี่ แค่อ้างเรื่องบุญทุกอย่างก็จบ บ้าแล้ว!!! สรุปเงินที่ได้ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวน้องสักนิดเดียว ขนาดดารามาโชว์ตัวยังได้เงินค่าตัว ขุ่นน้องมานั่งติดเบอร์ตองยังได้เงินเลยค่ะ นี่ยังไม่ต้องคิดถึงว่าเงินที่ได้เอาไปไว้ไหน เอาไปทำอะไร ใครเป็นคนเก็บ...แล้วไอ้การที่เอาศพคนตายที่ไม่เน่าไม่เปื่อยมาเรียกร้องเงินจากคนอื่นนี่มันเรียกว่า “เรี่ยไรเงินทำบุญ” ตั้งแต่เมื่อไร? การเอาของแปลกมาโชว์เพื่อหวังเงินจากคนดูเรียกว่า “ทำบุญ” เหรอคะ? ถ้าขุ่นน้องเข้าใจถูกต้องตามนั้น แล้วมันต่างจากโชว์ของแปลกตามงานวัดอย่างไร?...



                    ขุ่นน้องเชื่อมาตลอดนะคะว่าคนเราทุกคนบนโลกใบนี้มีความเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นคน ๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะยากดีมีจน พิกลพิการหรือสมบูรณ์พร้อม ไม่ว่าเราจะเกิดหรือตายอย่างไรเราก็ย่อมมีความสำคัญและศักดิ์ศรีเท่ากันในความเป็นมนุษย์และควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไปและไม่ควรมีใครมาทำลายความเป็นมนุษย์นั้นและเปลี่ยนมันเป็นเครื่องมือหาประโยชน์เข้าตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าจะด้วยเหตุผลดีงามสักแค่ไหนก็ตาม


                    สำหรับขุ่นน้อง...เด็กคนนี้...เป็นคน ๆ หนึ่งค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่